เสียงฝีเท้าวิ่งไปอย่างไม่คิดชีวิต ฟู่ฟู่กำลังวิ่งใปให้ถึงที่หมายซึ่งเป็นท่าเรือ นางจับย่ามไว้แน่นและวิ่งจนผ้าสะบัดพลิ้วไปตามลม สองข้างทางเต็มไปด้วยบ้านเรือนและผู้คนซึ่งออกมาใช้ชีวิตกันเป็นปกติ ทั้งยังมีขอทานนั่งอยู่ตามมุมไม่เว้น แต่ที่น่าหวั่นกลัวคือพวกทหารต่างหาก
หญิงวัยแรกแย้มวิ่งหลบไปตามซอกซอยแคบ ๆ เพื่อหลบให้พ้นพวกทหารที่อาจวิ่งตามมา ทางลัดที่คุ้นเคยทำให้นางมาถึงท่าเรือจนได้ ใบหน้าผินมองรถม้าที่เหมยลี่ได้กำชับไว้ เมื่อเห็นว่ามีอยู่จริงดังว่า นางจึงรีบวิ่งไปด้วยอาการหอบเล็กน้อย
“ข้าจักไปวัดหลินจิง”
“สองตำลึง” บุรุษตรงหน้าพูด เขาคือเจ้าของเกวียนรถม้านั่นเอง บุรุษโพกผ้าพันศีรษะตัวสูงอย่างชายชาตรี อายุน่าจะมากกว่าฟู่ฟู่อยู่ไม่น้อย แต่ดูไม่มากเกินไปจากหน้าตาที่ดูยังหนุ่มแน่น
คนคิดหนีไม่เกลี่ยงราคานางรีบมอบอัดให้ “นี่ข้าให้สี่ตำลึง รีบพาข้าไปที”
คิ้วหนาขมวดเล็กน้อย มองนางด้วยความสงสัย จากการแต่งกายดูไม่น่าจะมีอัดมากมายขนาดนี้ แต่เขาไม่ถามไถ่เพียงแต่โยนอัดในมือเล่นพลางมองสาวงามผู้นี้อย่างไม่ลดสายตา
“ข้าจะไปส่งเจ้า เชิญเถิดแม่นาง”
ชายแปลกหน้าพูดพลางเปิดม่านบนรถเกวียนให้ ฟู่ฟู่จึงเดินขึ้นไปนั่งอย่างไม่คิดอะไร ม่านที่ถูกเปิดออกได้ปิดลงจึงทำให้ภายในเกวียนมีเพียงนางที่ไม่รับรู้ถึงโลกภายนอกใด ๆ เพียงแต่รู้สึกว่าเกวียนนี้กำลังเคลื่อนที่ไปตามทางด้วยความเร็วที่มากกว่าปกติเล็กน้อย
ฟู่ฟู่รู้สึกระแวงและไม่อาจไว้ใจ นางจึงแอบแง้มม่านเล็กน้อยเพื่อให้แน่ใจว่า ชายผู้นี้จะไม่พานางออกนอกเส้นทาง
“กลัวว่าข้าจักพาเจ้าเข้าป่ารึ” พลขับที่นั่งอยู่นอกเกวียนพูดขึ้น ใบหน้าคมคายผินมามองเล็กน้อย
“ข้าแค่อยากรู้ว่าเมื่อไหร่จะถึงที่หมาย” ฟู่ฟู่แสร้งพูดไปเช่นนี้ ทั้งที่สายตาของนางกำลังมองไปยังสองข้างทาง ซึ่งยังคงอยู่ในเส้นทางที่นางคุ้นชิน
“อีกไม่กี่เพลาก็ถึงที่หมายวางใจเถอะแม่นาง”
ฟู่ฟู่ยอมกลับไปนั่งตามเดิม ไม่ใช่เพราะว่าเชื่อใจอีกฝ่าย แต่นางแค่มาแง้มม่านที่อยู่อีกฝ่ายต่างหาก
“ป่านนี้เจี่ยเจียจักเป็นเช่นไรบ้างนะ” พลางห่วงคิดถึงหญิงรับใช้ซึ่งไม่รู้ว่าชะตากรรมตอนนี้เป็นเช่นไรบ้าง
ในช่วงเวลาเดียวกันเหมยลี่ได้หนีจากท่านแม่ทัพนางจึงรีบวิ่งมาหาคุณหนูฟู่ฟู่ที่นัดแนะกันไว้ ทว่าเมื่อมาถึงนางกลับไม่เห็นอีกฝ่ายเสียแล้ว สายตากวาดมองไปรอบทิศอย่างนึกเป็นห่วง
“คุณหนูฟู่ฟู่ ข้าหวังว่าท่านจะไปถึงวัดได้อย่างปลอดภัย” เหมยลี่ยังไม่คิดจะตามไปตอนนี้ เพราะกลัวว่าจะถูกไล่ตามจนฟู่ฟู่เป็นอันตรายได้ นางจึงลงเรือเพื่อหมายหนีไปยังแคว้นอื่นแทน
เหมยลี่ย่างกรายก้าวพ้นขอบเรือพร้อมจับชายกระโปรงให้สูงขึ้นเล็กน้อย นางมองไปยังแม่น้ำเบื้องหน้าที่ไกลสุดลูกหูลูกตาจึงไม่ทันได้สังเกตเลยว่ามีม้าเร็วกำลังควบมา และบุรุษร่างสูงกำลังวิ่งขึ้นเรือตาม ๆ กัน
ตึก ตึก ตึก
เสียงฝีเท้ากระทบกับท้องเรือดังแทบประชิดกาย เหมยลี่หันไปมองตามเสียงด้วยความตกใจพลันตาเบิกโพลงเมื่อเห็นว่าคนที่ขึ้นมาบนเรือไม่ใช่ฝีพายแต่เป็นแม่ทัพมู่หยาง ขณะที่เรือลำนี้ได้ออกจากท่าเป็นที่เรียบร้อย
“เจ้าจะหนีไปที่ใด” มู่หยางจับข้อมือหญิงอัปลักษณ์ไว้แน่นดั่งเขี้ยวง้อ
“โอ๊ย ท่านปล่อยข้านะ” นางร้องด้วยความเจ็บจนน้ำตาเล็ด มองชายที่มีดวงตาดุดันน่ากลัวยิ่งกว่าปีศาจ
“เจ้าคือสมบัติของข้าที่ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งยกให้ เจ้ามิมีสิทธิ์ทำการใดตามอำเภอใจทั้งนั้น” มู่หยางพูดพร้อมใบหน้าบึ้งตึงด้วยความโกรธ ต่อให้สมบัติชิ้นนี้ไร้ค่าเหมือนเศษกระเบื้องเพียงใด เขาก็ยังต้องเก็บเศษกระเบื้องที่ได้จากองค์เหนือหัวไว้อยู่ดี
“ของไม่มีราคาเช่นข้า ท่านยังอยากเก็บไว้เป็นสมบัติอีกรึ ท่านควรปล่อยข้าไปเสียจักได้ไม่ถูกตราหน้าว่ามีภรรยาอัปลักษณ์เช่นข้า”
“ใครว่าข้าจะเอาเจ้าเป็นเมีย หญิงอัปลักษณ์เช่นเจ้าเป็นได้แค่ข้ารับใช้รองมือรองเท้าข้าก็เท่านั้น” มู่หยางขยะแขยงหญิงอัปลักษณ์เป็นที่สุด กล้าดีอย่างไรถึงได้คิดว่าเขาจะรับนางไว้ในฐานะภรรยา พร้อมบีบข้อมมือเล็กให้แน่นกว่าเดิมจนเหมยลี่ร้องด้วยความเจ็บ ก่อนผลักให้นางกระเด็นจนศีรษะชนกับขอบเรือ
“โอ๊ย” เหมยลี่รู้สึกเจ็บ นางยกมือไปลูกบริเวณที่ปูดนูน เมื่อรู้ว่าไม่ได้เลือดตก นางจึงคิดที่จะกระโดดลงน้ำไปตายเอาดาบหน้า
ฉึบ!
ทว่าปลายดาบยาวแหลมคมจี้คอระหงอย่างรวดเร็วจนนางตกใจกลัว
“อย่าคิดหนี ไม่อย่างนั้นข้าจะปาดคอเจ้าแล้วจับโยนลงน้ำเสีย” ใบหน้าเหี้ยมโหดหลุบตามองสตรีไม่มีทางสู้ แม่ทัพอย่างมู่หยางมีใจเด็ดเดี่ยว น้ำมือของเขาฆ่าผู้คนมานับไม่ถ้วน หากจะปลิดชีพนางไปอีกคนจึงไม่คณามือนัก
“ท่านก็ฆ่าข้าเลยสิ ท่านเกลียดข้ามากไม่ใช่” เหมยลี่หมดหนทางหนี นางร้องไห้ด้วยความเศร้าสร้อยน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตาที่ต้องพบพาน
“เก็บเจ้าไว้รองรับอารมณ์ของข้ามันน่าจะดีกว่า มานี่” มู่หยางลากร่างอรชรจนตัวปลิว เข้าไปข้างในเรือซึ่งมุงหลังคาโค้งทำเป็นห้องรับรองไว้
“ปล่อยข้านะ” เหมยลี่ร้องโวยวายพลันใจสั่นกลัว นางไม่เคยต้องมือชายผู้ใดมาก่อนจึงคิดไปต่าง ๆ นานาว่าท่านแม่ทัพจักทำการที่ล่วงเกิน
“ท่านวิปลาสไปแล้วหรือถึงได้คิดจะทำเรื่องอย่างนี้กับข้า”
“เจ้าคิดว่าข้าจะทำอันใด” มู่หยางจ้องเขม็ง
“ท่านอยากให้ข้าอุ่นเตียงให้มิใช่หรือ”
“ฮ่า ๆ เจ้านี่มันไม่เจียมกะลาหัวเอาเสียเลย หน้าตาอย่างกับศพเน่าอย่างเจ้า ใครจะไปพิศวาสลงได้” มู่หยางหัวเราะ ก่อนสะบัดมือออกอย่างไม่ไยดี ก่อนยืนมองด้วยสายตาหยามเหยียด
“หรือว่าเจ้าเห็นว่าข้ารูปงามจึงกำหนัดจนกายสั่น”
“มิใช่ข้ามิเคยคิดเช่นนั้น ท่านคิดจะทำอันใดกับข้ากันแน่” หยดน้ำตาของเหมยลี่ไหลริน นางมองแม่ทัพที่มีจิตใจอำมหิตด้วยความไม่เข้าใจ และไม่คิดจะเข้าใจด้วย
“ข้าแค่เมื่อยกาย อยากให้เจ้ามานวดให้ข้าก็เท่านั้น หรือว่าเจ้าอยากให้ข้าทำการอื่น”
“ไม่ ข้าจะนวดให้ท่าน เชิญท่านแม่ทัพ” เหมยลี่รวบรวมสติ พลางลุกขึ้นยืนจ้องท่านแม่ทัพด้วยดวงตาเปียกปอน
มู่หยางสะบัดชายเสื้ออย่างอารมณ์เสีย ก่อนนั่งลงบนตั่งให้หญิงอัปลักษณ์มานวดให้ด้วยใบหน้านิ่งเฉย เหมยลี่ใจกล้า ๆ กลัว ๆ เดินไปด้วยอาการสั่นเทาอย่างระแวดระวังภัย และต้องฝืนปรนนิบัติท่านแม่ทัพจนกว่าจะถึงฝั่ง
แววตาแห่งความสะใจฉายให้เห็นในความมืด อู๋ท่งยืนมองอยู่หลังกอไผ่ก่อนเดินย่างกรายออกมาเพื่อชื่นชมคนขับรถม้า“เจ้าทำได้ดีมาก นางตายแล้วรึไม่” อู๋ท่งพูดเสียงเบาราวกระซิบ“ข้ามิแน่ใจ แต่ผาสูงชันเช่นนี้หากมิตายก็คงพิการ แต่ถ้านางรอดกลับมาพวกเราจักไม่เป็นภัยดอกรึ” ชายขี้ขลาดตาขาวพูด เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าควรมีจิตสำนึกที่ดี“มิเป็นเยี่ยงนั้นดอก ใครจักไปเชื่อคำของหญิงอัปลักษณ์เพียงผู้เดียวกัน เจ้ากับข้ารีบกลับไปยังเรือนตระกูลกู้ก่อนเถิด มิเช่นนั้นจักโดนท่านแม่ทัพสงสัยเอาได้” อู๋ท่งพูดพร้อมเดินกลับไปยังรถม้าอย่างมิคิดกลับหลัง ทำให้ชายผู้เป็นคนลงมือตามคำสั่งต้องเร่งฝีเท้าตามไปหน้าผาชันเป็นเหวลึกแต่ก็ยังมีพื้นที่ให้ร่างของหญิงอัปลักษณ์ตกลงมาบนต้นไม้ใหญ่ก่อนกลิ้งไปตามพื้นแล้วสลบลงไป เหมยลี่เจ็บและจุกกายจนขยับไปไหนมิได้ นางพยายามปรือตามองผ่านความมืดมิดก่อนที่เปลือกตาจะดับสนิทไปในไม่ช้าทางด้านเซียวจ้านที่เร่งควบม้าตามหาหญิงอัปลักษณ์ด้วยความร้อนใจ เขาได้พบกับรถม้าซึ่งมีตราประจำตระกูลกู้ติดอยู่ นั่นทำให้บุรุษบนหลังม้ารีบไปไปดักหน้าขวางทางไว้โดยพลันเสียงม้าร้องลั่นเมื่อถูกเชือกดึงรั้งอย่างกะทันหัน คนขับร
แม่ทัพมู่หยางเดินทางกลับมาด้วยความร้อนใจ ถึงเขาจักยินดีเมื่อได้รู้ข่าวว่าภรรยาเอกได้ตั้งครรภ์แล้วก็ตาม ทว่าอีกใจหนึ่งก็นึกอยากกลับไปถามหญิงคนลวงให้รู้แล้วรู้รอด ว่านางลวงหลอกสมอ้างเป็นบุตรสาวคนเล็กของผู้ครองแคว้นอันรึไม่เมื่อเดินทางมาถึงยังเรือนตระกูลกู้ บุรุษร่างสูงพลันจ้ำเท้าเข้าไปอย่างมิรีรอ เพื่อมุ่งหน้าไปหาหญิงอัปลักษณ์ โดยมิสนใจต้าเหนิงเลยด้วยซ้ำ“ท่านพี่จักไปที่ใดรึเจ้าคะ” ต้าเหนิงเห็นหน้าสามีที่ผ่านเลยไป ราวกับเห็นนางเป็นเพียงอากาศธาตุก็ยิ่งเจ็บแค้นใจอยู่มิน้อย ทั้งที่นางตั้งหน้าตั้งตารอถึงเพียงนี้ และในท้องของนางก็ยังมีบุตรของตระกูลอีกด้วย“ข้า...” มู่หยางมิสามารถพูดออกมาได้“ท่านพี่มิดีใจรึเจ้าคะที่ข้าตั้งท้องบุตรของเรา” ภรรยาเอกเยี่ยงนางถูกลดความสำคัญลงไปอย่างเห็นได้ชัด แล้วเยี่ยงนี้จักให้นางอยู่นิ่งเฉยได้เยี่ยงไร“ข้าดีใจ ดีใจที่สุด” มู่หยางเดินมาหาต้าเหนิง“ถ้าเช่นนั้นท่านพี่ก็จงรีบไปหาท่านแม่ และขุนนางท่านอื่นที่มารอร่วมยินดีกับพวกเราเถอะเจ้าค่ะ” ต้าเหนิงรีบดึงแขนสามีมู่หยางปรายตามองไปยังหลังเรือนอีกหน ก่อนเดินตามภรรยาเอกไป พลางคิดว่าไม่ช้าก็เร็วเขาคงมีเวลาได้คุยกับหญิ
“เจ้าควรพักนะต้าเหนิง” ฮูหยินชิงชิงเดินเข้ามาหา เมื่อเห็นว่าสะใภ้เอกกำลังวุ่นอยู่กับการเตรียมงาน“ท่านแม่ ข้าอยากให้งานในวันนี้ออกมาดีเจ้าค่ะ อีกอย่างวันนี้ท่านพี่ก็ได้กลับมาเสียที” ต้าเหนิงพูดด้วยรอยยิ้ม นางดีใจอย่างหาที่สุดมิได้ เพราะต้องการเห็นสีหน้าของสามีว่าจักดีใจเช่นไรเมื่อรู้ว่านางตั้งครรภ์แล้ว“แต่เจ้ายังท้องอ่อน ๆ อยู่ มิควรขยับตัวมากมายเช่นนี้ ไปพักเสียทางนี้ข้าเป็นคนจัดการเอง”“เจ้าค่ะท่านแม่” ต้าเหนิงจำเป็นต้องเชื่อคำ นางจึงเดินเข้าไปพักในห้องของตัวเองส่วนฮูหยินชิงชิงได้เป็นคนดูแลสถานที่ให้เรียบร้อยเพื่อเตรียมต้อนรับผู้มาเยือน ก่อนหันไปหานางรับใช้คนสนิทเพื่อวานบางอย่าง“เจ้าอู๋ท่ง”“เจ้าคะ?” อู๋ท่งรีบตอบรับ“หาเรื่องให้หญิงอัปลักษณ์ผู้นั้นออกไปให้พ้นเรือนเสีย ข้ามิอยากให้นางต้องมาขวางหูขวางตาแถวนี้ เดี๋ยวคนอื่นคงได้หวาดกลัวจนสาปแช่งเรือนข้าให้ป่นปี้”“เจ้าค่ะ แต่หากท่านแม่ทัพถามหาล่ะเจ้าคะ”“ก็จงบอกว่านางหนีตามชู้ไปแล้ว เจ้าคงรู้ใช่ไหมว่าต้องพานางไปให้ไกลเพียงใด”“เจ้าค่ะ”อู๋ท่งรับคำอย่างว่าง่าย แล้วรีบเดินไปหาหญิงอัปลักษณ์โดยทันที ส่วนฮูหยินชิงชิงทำพียงมองนางรับใช้แค่ห
สายตาคู่หนึ่งแอบจดจ้องมองสองสามีภรรยาอยู่หลังพุ่มไม้ เมื่อเห็นว่าทั้งสองคุยกันจนเสร็จพลางพากันเข้าไปในบ้าน ปลายเท้าจึงขยับออกแล้วหันหลังกลับ คิ้วหนาขมวดเป็นปมด้วยความสงสัย ดวงตาเหม่อมองไปเบื้องหน้า พลางคิดสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจเมื่อได้ยินชื่อของสตรีผู้น้อยมาจากที่แห่งใดมู่หยางจึงแอบสะกดรอยตามจางเหว่ยมาถึงบ้าน ด้วยความอยากรู้อยากเห็นนั่นเอง และชื่อของหญิงผู้นี้คุ้นหูซะจนต้องสืบหาความจริงให้กระจ่าง“ข้าว่าข้าต้องรู้จักนาง” มู่หยางพึมพำกับตัวเอง พลางเดินกลับไปยังฐานทัพ เพื่อสืบหาความจริงที่ว่า มิรู้เป็นเพราะเหตุใดกันแน่ถึงอยากเสาะหาความจริงในเรื่องนี้ ทั้งที่มิจำเป็นและมีสิ่งที่สำคัญกว่านั่นคือการปราบกบฏเหมือนอย่างคราวที่ไปสู้รบยังแคว้นอัน จนปราบผู้ครองเมืองได้สำเร็จ“แคว้นอัน!” เมื่อนึกถึงแคว้นอันขึ้นมา มู่หยางก็เริ่มคิดว่ากำลังใกล้ความจริงเข้ามาทุกที เขาจึงเดินไปค้นสมุดบันทึกรายชื่อวงศ์ตระกูลของแคว้นอันมากางดูสายตาคมมองตัวหนังสือที่ถูกเขียนด้วยปลายพู่กัน จนหยุดสายตามาเจอกับชื่อหนึ่งเข้าซึ่งชื่อตรงกับสตรีผู้น้อยคนนั้นมิมีผิด “บุตรสาวคนเล็กเยี่ยงนั้นรึ” ดวงตาของท่านแม่ทัพเบิกกว้างด้วยค
ฟู่ฟู่นิ่งค้างไปชั่วขณะ นางมิคิดเลยว่าท่านแม่ทัพจักลั่นวาจานี้ออกมา หรือว่าเขาจักรู้แล้วว่านางคือคนจากแคว้นอัน ใบหน้านวลมีเหงื่อผุดด้วยความวิตกกังวลเป็นอย่างมาก นางมิรู้จักแก้ต่างว่าเยี่ยงไรดี แต่คงต้องปฏิเสธออกไปหน้าตาเฉยเพื่อมิให้อีกฝ่ายจับได้“มิใช่ข้าเกิดละโตที่นี่ ท่านอย่ามาตามตื๊อข้าให้เสียเวลาเลย ข้าขอตัว” ฟู่ฟู่รีบเดินหนี ทว่าคนขายาวขยับตัวคล่องแคล่วมายืนขวางทางนาง“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ควรเล่าให้ข้าฟังได้” มู่หยางมองใบหน้าสตรีอ่อนเยาว์อย่างพินิจ ขณะที่ฟู่ฟู่เอาแต่ก้มหน้าหลบสายตาเขาข้าจักทำเช่นไรดีฟู่ฟู่คิดในใจนางกำลังตกที่นั่งลำบากและเหมือนถูกท่านแม่ทัพกำลังต้อนให้ติดกับหากเป็นเช่นนั้นความลับทั้งหมดคงได้แตกแน่ นางมิอยากกลับไปเป็นภรรยารองของผู้ใดในเมื่อมีจางเหว่ยอยู่แล้วทั้งคน“เจ้าคิดจักทำอันใดกับภรรยาข้า!” ในที่สุดก็มีเสียงสวรรค์เปิดทางให้นางจางเหว่ยส่งเสียงเข้มพร้อมเดินมาขวางบุรุษแปลกหน้าซึ่งเขาพินิจดูแล้วว่าเป็นผู้ใด จึงคอยกันให้ฟู่ฟู่หลบไปอยู่ด้านหลังเขา สายตาเอาเรื่องจ้องไปยังท่านแม่ทัพที่ยามนี้แต่งกายเหมือนคนธรรมดา แต่ความมีสง่าราศีปกปิดความสูงศักดิ์ไว้มิมิด“ขออภัยท่า
เช้าวันต่อมาร่างอรชรเปลือยเปล่าอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาถูกวงแขนของชายอันเป็นที่รักสวมกอดไว้อย่างหลวม ๆ เมื่อคืนจางเหว่ยได้พิสูจน์แล้วว่าเขามิได้อ่อนหัดอย่างที่สตรีผู้น้อยดูถูกไว้ เขาทำให้ฟู่ฟู่หมดแรงจนยังมิลืมตา ชายเปลือยเปล่าบนเตียงจึงค่อย ๆ ขยับกาย พลางหอมไหล่มนอย่างแผ่วเบาด้วยความทะนุถนอม ต่อจากนี้จางเหว่ยต้องดูแลฟู่ฟู่ในฐานะภรรยาอันเป็นที่รักสมใจปรารถนา“อื้ม” เสียงครางเบา ๆ เอ่ย เมื่อถูกรบกวน ฟู่ฟู่ค่อย ๆ ลืมตาเพื่อรับแสงเช้าวันใหม่ แต่พอจักขยับกายกลับรู้สึกเจ็บระบมพลันทำหน้าเหยเก“เจ็บมากรึไม่ ข้าควรถนอมเจ้ามากกว่านี้” จางเหว่ยได้พรากพรหมจรรย์ไปจากนาง ร่องรอยบนเตียงยังหลงเหลือไว้ เขามิควรกระทำกับนางรุนแรงเกินไปนัก แต่อารมณ์กำหนัดทำให้บุรุษผู้นี้ขาดความยับยั้งชั่งใจ“มิเป็นอันใดดอก” ฟู่ฟู่เหนียมอายพลันหลบสายตาสามีหมาด ๆ“หญิงอันเป็นที่รักของข้า เจ้าพักผ่อนเถิดข้าจักไปหาข้าวมาให้เจ้ากิน”จางเหว่ยดึงผ้าห่มคลุมกายนางไว้เช่นเคยพลางลูบศีรษะเบา ๆ แล้วลุกขึ้นสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนเดินออกไปร่างสูงเดินเข้าไปในครัวก็พบกับมารดาซึ่งกำลังทำความสะอาดเหมือนเช่นทุกวัน จางเหว่ยชั่งใจอยู่มิน้อยก