Share

บทที่ 11 แยกครอบครัว

Author: ฮวาฮวาน่งหยวี่
เมื่อทั้งสองคนกลับจากภูเขาก็เกือบจะค่ำแล้ว

เนื่องจากซูจื่อหังได้รับบาดเจ็บ ถูซินเยว่จึงช่วยประคองเขาตลอดทางกลับบ้าน

เมื่อมาถึงประตูบ้าน ซูจื่อหังก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า "ซินเยว่ เจ้าเอาหมูป่าไปซ่อนไว้ก่อน ถ้าท่านย่าและท่านป้าเห็นเข้า พวกเขาต้องโวยวายเป็นแน่ หลังจากขายได้เงินแล้ว ค่อยเอาไปให้พวกท่านสักขานึง”

อย่างไรแล้วแม่เฒ่าตระกูลซูก็คือย่าของเขา แม้ว่าวันนี้ทั้งสองคนจะทะเลาะกันรุนแรงแค่ไหน แต่ซูจื่อหังก็ยังคงนึกถึงความดีที่มีอยู่บ้างของพวกเขา

จึงคิดจะเก็บขาหมูไว้ให้พวกเขาสองคนเพื่อแสดงความกตัญญู

ถูซินเยว่พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

แต่ทันทีที่เขาผลักประตูไม้ของลานบ้านเปิดออก ใบหน้าของซูจื่อหังก็เต็มไปด้วยความตระหนก หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็วิ่งเข้าไปในลานบ้านโดยไม่สนใจอาการบาดเจ็บ

"ท่านแม่ ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม"

เกิดอะไรขึ้น?

ถูซินเยว่รู้สึกงุนงง จึงเดิมตามหลังซูจื่อหังไป

เมื่อเธอเห็นนางหยูนอนเหยียดอยู่ที่ทางเข้าลานบ้าน ก็ตกใจเช่นเดียวกัน

ก่อนไปยังเห็นนางหยูนอนอยู่บนเตียงในห้องอยู่เลยนี่นา ทำไมจู่ ๆ นางถึงไปนอนอยู่ที่หน้าประตูลานบ้านได้ล่ะ?

เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็เห็นแม่เฒ่าแห่งบ้านตระกูลซูยืนอยู่ใต้ต้นพุทราที่คดงอ ด้วยสีหน้าเมินเฉย โบกพัดใบลานอยู่ในมือ

เมื่อเห็นซูจื่อหังและถูซินเยว่กลับมา แม่เฒ่าตระกูลซูก็พูดขึ้นว่า "จื่อหังเรื่องแยกครอบครัวเจ้าพูดขึ้นมาเอง เมื่อครู่ข้าเพิ่งหารือกับคุณปู่ของเจ้าแล้ว หากเจ้าต้องการจะแยกครอบครัว ได้ แยกก็แยก แต่ว่าพื้นที่ทั้งหมดของบ้านตระกูลซูเป็นของพวกข้า เจ้าจะอยู่ที่นี่ไม่ได้”

“ทำไมเราจะอยู่ที่นี่ไม่ได้?” ถูซินเยว่ชะงัก ขบฟันแน่น “ถ้าท่านไล่พวกข้าออกไป แล้วพวกข้าจะไปอยู่ที่ไหน? ลูกสะใภ้ของท่านยังบาดเจ็บอยู่ ทำไมท่านถึงได้ใจไม้ไส้ระกำเช่นนี้” เธอเหลืออดเต็มทน ไม่เคยเห็นเรื่องบ้า ๆ เช่นนี้มาก่อน นางหยูรับใช้นางเยี่ยงวัวเยี่ยงควายมากว่าสิบปี แต่นางกลับไม่สนใจใยดีชีวิตของนางหยูเลยแม้แต่น้อย

แม่เฒ่าแห่งบ้านตระกูลซูจ้องมองเธอด้วยดวงตาขุ่นมัว ไม่ตอบอะไร

เสียงเย็นชาและประชดชันของซูเฟิ่งอี๋ดังลอยมาจากห้องด้านข้าง เมื่อหันไปก็เห็นนางเดินย่ำออกมาจากห้องของนางหยู โยนผ้าห่มในมือลงบนพื้น จากนั้นมองไปที่ถูซินเยว่ยิ้มเยาะพลางพูดว่า"โอ้โห นางอ้วนหายสติไม่ดีแล้วรึ?”

เรียกเธอว่านางอ้วนอีกแล้ว อ้วนบ้านแกสิ!

ถ้าไม่ใช่ว่าแบกหมูป่าไว้อยู่บนหลัง ถูซินเยว่คงอยากจะขว้างขวานในมือใส่ใบหน้าเรียวแหลมที่ดูโหดร้ายของซูเฟิ่งอี๋ให้ผ่าออกเป็นสองส่วน

ซูเฟิ่งอี๋พูดจาถากถางถูซินเยว่ไปอีกสองสามคำ จากนั้นจึงเดินไปหาซูจื่อหังแล้วพูดด้วยรอยยิ้มอย่างภาคภูมิใจ "ข้าเก็บข้าวของทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว วันนี้พวกเจ้าก็ย้ายออกจากบ้านตระกูลซูไปได้เลย ในเมื่ออยากจะแยกครอบครัว ก็ต้องทำให้มันถูกต้อง เจ้าจะอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้ ข้างหน้านู่นมีเพิงมุงใบจากเก็บของอยู่ ต่อไปพวกเจ้าก็ย้ายไปอยู่กันที่นั่น"

เธอเดินไปที่ประตูแล้วชี้ไปทางคันนา

ถูซินเยว่มองตามนิ้วมือของอีกฝ่าย และแทบจะกระอักเลือดออกมา

ห่างออกไปจากลานบ้านของตระกูลซูประมาณห้าสิบเมตร มีกระท่อมใบจากตั้งอยู่จริง ๆ แต่เพิงโทรม ๆ ที่เอียงกระเท่เร่ จะพังมิพังแหล่แบบนี้ใครจะไปอยู่ได้ พื้นที่ทั้งหมดก็มีขนาดแค่ประมาณฝ่ามือเท่านั้น ไม่มีห้องครัว หรือห้องน้ำ ไม่ต่างอะไรจากบ้านของขอทาน

ตระกูลซูโหดร้ายเกินไปแล้วจริง ๆ

ใบหน้าของซูจื่อหังก็ดูแย่พอ ๆ กัน สายตาของเขาจับจ้องไปที่ใบหน้าของแม่เฒ่าตระกูลถู พูดขึ้นด้วยเสียงเย็นชา "พวกท่านจำเป็นต้องบีบให้พวกข้าจนตรอกเช่นนี้เลยหรือ?"

ซูเฟิ่งอี๋คงทำได้แค่พูด แต่คนที่เป็นผู้นำในการตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ของบ้านตระกูลซูก็คือแม่เฒ่าและพ่อเฒ่าตระกูลซู พ่อเฒ่าตระกูลซูกระดูกกระเดี้ยวไม่ค่อยดี ตลอดทั้งปีไม่สามารถออกจากห้องได้ บุคคลเพียงผู้เดียวที่สามารถตัดสินใจกิจการงานต่าง ๆ ในบ้านก็คือแม่เฒ่าของตระกูลซู

ซู่เฟิงอี้คงไม่กล้าพูดแบบนี้หากไม่ได้รับอนุญาตจากแม่เฒ่าตระกูลซู

ซูจื่อหังรู้สึกชาไปทั้งตัว ผิดหวังอย่างแรงกับบุคคลในสายเลือดของตัวเองถึงสองคน

แม่เฒ่าตระกูลซูเหลือบมองเขา จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นอย่างช้า ๆ "ย้ายออกไปเถอะ"

"บอกให้ย้ายออกไปไง ยังไม่รีบไสหัวไปอีก!"

ซูเฟิ่งอี๋รบเร้าเสียงดัง ในใจรู้สึกเปี่ยมสุข

เมื่อซูจื่อหังพูดถึงเรื่องการแยกครอบครัวในตอนแรก ที่นางไม่เห็นด้วย ไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่นใดเลย แต่เป็นเพียงเพราะหลานชายคนนี้สามารถส่งเงินจำนวนห้าร้อยอีแปะให้ได้ทุกเดือน ซึ่งสามารถครอบคลุมหนึ่งในสามของค่าใช้จ่ายของครอบครัวทั้งหมด

แต่ตอนนี้นางหยูกลายเป็นผักไปแล้ว นางไม่เพียงแต่ไม่สามารถเอาเงินมาจากซูจื่อหังได้อีกต่อไป ไม่แน่ว่าอาจต้องควักเนื้อจ่ายค่ายาให้นางอีก สุดท้ายก็ต้องอดตายไปด้วยกัน

แน่นอนว่าซูเฟิ่งอี๋ผู้เห็นแก่ตัวจะไม่เห็นด้วยอย่างเด็ดขาด

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือแม่ของนางบอกว่าหากแยกครอบครัวไป ห้องที่ว่างอยู่ก็จะตกเป็นของนาง ถึงตอนนั้นนานก็สามารถให้ลูกชายกลับมาอยู่ได้ ซึ่งดีกว่าต้องทนเห็นสีหน้าของผู้คนที่บ้านลูกสะใภ้

ยิ่งคิดซูเฟิ่งอี๋ก็ยิ่งรู้สึกดีใจ อยากจะโยนข้าวของของซูจื่อหังออกไปให้รู้แล้วรู้รอด และหวังว่าพวกเขาจะหายสาบสูญไปในพริบตา

ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น ถูซินเยว่ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ จู่ ๆ ก็เหยียดเท้าออกมาเตะก้นใหญ่ ๆ ของซูเฟิ่งอี๋

การเคลื่อนไหวของหญิงสาวกะทันหันเสียจนไม่มีใครได้ทันตั้งตัว

เมื่อพวกเขาหันมา ซูเฟิ่งอี๋ก็ล้มลงอย่างแรงบนธรณีประตู

“นางอ้วน เจ้าจะต้องไม่ตายดี อยากตายนักใช่ไหมถึงกล้ามาเตะข้า?”

เสียงตะโกนร้องของนางดังสะเทือนแก้วหู

แต่ถูซินเยว่ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เธอนั่งลงบนร่างของซูเฟิ่งอี๋โดยมีตะกร้าอยู่บนหลัง น้ำหนักของเธอบวกกับน้ำหนักของหมูป่าด้วยนั้นน่าจะราว ๆ สองร้อยกิโลกรัม เกือบจะทำเอาอาหารที่กินไปเมื่อวานสำรอกออกมา

“นังอ้วนอัปลักษณ์ ลงไปเดี๋ยวนี้นะ เจ้าจะทำอะไร?"

เมื่อเห็นดวงตาที่ดุร้ายของถูซินเยว่ ในที่สุดซูเฟิ่งอี๋ก็รู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อย

ชื่อเสียงของถูซินเยว่ในหมู่บ้านต้าเย่ไม่ดีนัก การทุบตีผู้คนและลักขโมยของถือเป็นเรื่องปกติ ได้ยินมาว่าคราวที่แล้วก็ทุบตีชายคนหนึ่งที่อยู่หมู่บ้านข้าง ๆ จนดั้งจมูกหัก นางหญิงอ้วนนี่คงไม่สติแตกจนตบหน้าตนเข้าให้หรอกนะ?

ขณะที่นางกำลังคิดเรื่องนี้อยู่ ถูซินเยว่ก็เงื้อมือออกไปตบหน้าเธอจริง ๆ

“ว้าย!” ซูเฟิ่งอี๋กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่เธอจะได้ทันโต้ตอบ ถูซินเยว่ก็เงื้อมือขึ้นอีกครั้ง

“เพียะ... เรียกข้าว่านังอ้วนนักเหรอ"

“อีนังไม่ตายดี...."

"ยังจะกล้าด่าอีกเหรอ!" ตบเข้าอีกฉาด

"ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย!"

"สารเลวนัก...เพียะ!"

"เพียะ ๆ ๆ!"

มือกว้างราวกับพัดใบลานของหญิงสาวรัวตบเข้าที่ใบหน้าของซูเฟิ่งอี๋ติดต่อกันกว่าสิบครั้ง ผ่านไปครู่ใหญ่ ใบหน้าของซูเฟิ่งอี๋ก็บวมเป่งเท่าหัวหมู มุมปากของนางฉีก และแม้กระทั่งฟันของนางก็เกือบถูกถูซินเยว่ตบจนหลุดออกมา

“ยังกล้าเรียกข้าว่านางอ้วนอัปลักษณ์อยู่ไหม" ถูซินเยว่ขบฟันถาม

“ไม่กล้าแล้ว ฮือ ๆ ๆ ๆ ไม่กล้าแล้ว...." ต่างจากท่าทางอวดเก่งในตอนแรกโดยสิ้นเชิง ซูเฟิ่งอี๋หวาดหวั่น นางร้องไห้และร้องขอความเมตตาไปพร้อม ๆ กัน กลัวว่าจะถูกถูซินเยว่ทุบตีจนตาย

“ไม่กล้าแล้วก็ดี ถ้าครั้งหน้าข้าได้ยินเจ้าด่าข้าว่าอ้วนอัปลักษณ์อีกล่ะก็ ข้าจะเอาเจ้าถึงตาย!" ถูซินเยว่โบกหมัดไปมา ลุกขึ้นจากร่างของซูเฟิ่งอี๋
Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • หญิงอ้วนทำนา กับสามีบนเขาจอมขี้แกล้ง   บทที่ 381 ช่างคล้ายคลึงนัก

    ทั้งคู่เดินถึงหน้าประตู ปะเหมาะเวลานี้ จวนแม่ทัพหลิ่วก็มีคนเดินออกมาเช่นกัน"คนนี้ก็คือใต้เท้าซูที่เจ้าชอบอย่างงั้นหรือ" ฮูหยินหลิ่วเหลียวมองบุตรีซึ่งอยู่ข้างกาย สื่อเป็นนัยให้อีกฝ่ายอย่าได้วู่วามทุกวันนี้คราใดที่หลิ่วโหรวโหรวเห็นถูซินเยว่กับซูจื่อหังเดินมาด้วยกัน ด้วยท่าทีรักใคร่ปรองดอง นางจะรู้สึกเดือดดาลในใจ ราวกับภูเขาไฟที่ใกล้ระเบิดกระนั้นนางทำเสียงฮึดฮัด "ถูซินเยว่มีวันนี้ได้ ก็เพราะอาศัยบารมีซูจื่อหัง แต่คอยดูไปเถิด หญิงบ้านนอกเช่นนาง ใหม่ ๆ ยังพอทำให้ซูจื่อหังพอใจได้บ้าง แต่พอนานวันเข้า ได้เห็นสาวงามในเมืองหลวงมากมาย ความรักของพวกเขายังมั่นคงเหมือนแต่ก่อนได้อีก ก็แสดงว่าผิดมนุษย์แล้ว"ฮูหยินหลิ่วแสดงท่าทีนิ่งเฉยแต่บุตรีพูดก็มีเหตุผล ผู้ชายในโลกนี้น้อยนักที่จะไม่คิดได้ใหม่ลืมเก่า ยกตัวอย่างเช่นสามีของนาง ในอดีตก็เคยให้คำมั่นสัญญา ว่าแม้เป็นหรือตายก็จะขอรักอดีตคนรักเพียงผู้เดียว แต่พอบ้านเขาประสบภาวะเดือดร้อน สุดท้ายก็มาเลือกแต่งงานกับตน จนบัดนี้ลืมหน้านังคนแพศยานั่นไปถึงไหนต่อไหนแล้วแสดงว่าความจริงใจของผู้ชายคือสิ่งที่ไร้ประโยชน์ปกติเสแสร้งทำเป็นรักมั่นจริงใจ แต่พอเอ

  • หญิงอ้วนทำนา กับสามีบนเขาจอมขี้แกล้ง   บทที่ 380 ลูกสาวจอมโง่เขลา

    หากซูจื่อหังไม่รังเกียจถูซินเยว่แล้วล่ะก็ งั้นต่อให้หลิ่วโหรวโหรววทุ่มเทแรงกายแรงใจมากแค่ไหนก็ตาม เกรงว่าก็คงไม่สามารถเข้าไปในจวนสกุลซูได้ดั่งใจปรารถนาหรอกแต่น่าขําที่ลูกสาวคนนี้ของนางกลับไม่รู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้เลย รู้แต่ไปเหยียดหยามถูซินเยว่อย่างโง่เขลาเท่านั้นนี่ถ้าทําให้ถูซินเยว่อับอายต่อหน้าทุกคนก็ว่าไปอย่าง แต่นี่กลับยังโดนถูซินเย่วตอบโต้กลับมาจนขายหน้า นี่ไม่ใช่เป็นการตบหน้าตัวเองหรือไง?เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฮูหยินหลิ่วก็ไม่อยากเห็นหน้าลูกสาวคนนี้แม้แต่นิดนางขมวดคิ้ว จู่ ๆ ก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้และอดไม่ได้ที่จะพูดว่า "ใช่แล้ว เรื่องนี้ข้ายังไม่ได้บอกพ่อเจ้า ถ้าพ่อเจ้ารู้ ดูสิว่าเขาจะสั่งสอนเจ้ายังไง เจ้าระวังตัวหน่อย"ภายใต้การเกลี้ยกล่อมและคําเตือนของฮูหยินหลิ่ว ในที่สุดหลิ่วโหรวโหรวก็หลับตาลง นางนั่งอยู่บนที่นั่งของตัวเองอย่างเซ็ง ๆ ทั้งหน้ามีแค่อารมณ์เดียวนั่นก็คือ นางไม่มีความสุขฮูหยินหลิ่วถอนหายใจอย่างจนใจ แล้วเงยหน้ามองฝั่งตรงข้าม ตําแหน่งของนาง มีเพิงดอกไม้อยู่ตรงกลางบดบังร่างของถูซินเยว่พอดี ดังนั้นนางจึงเห็นเพียงโครงร่างผ่านเถาวัลย์อย่างคลุมเครือเท่

  • หญิงอ้วนทำนา กับสามีบนเขาจอมขี้แกล้ง   บทที่ 379 จางเยียนหรัน

    วันนี้ตระกูลจางเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงเชิญตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง ก่อนมาซูจื่อหังเคยพูดกับนางว่า เขากับตระกูลจางเข้ากันได้ดีในราชสํานัก ดังนั้นวันนี้ ถูซินเยว่ก็ไม่อยากสร้างปัญหาอะไรให้กับตระกูลจาง เพื่อไม่ให้คนอื่นรู้สึกว่าพวกเขาไม่มีมารยาทเห็นเหล่าฮูหยินกับหลิ่วโหรวโหรวเพิ่งเยาะเย้ยเธอเมื่อครู่ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ถูซินเยว่ก็สบายใจไม่น้อย ก้มหน้าก้มตากินอาหารด้วยตัวเองไม่สนใจใครทั้งนั้นในขณะที่เธอกําลังกินอย่างมีความสุข จู่ ๆ ก็มีคนผลักแขนของเธอเบา ๆถูซินเยว่นิ่งงันไปพักหนึ่ง หันหน้ากลับไปอย่างสงสัยใคร่รู้ เห็นหญิงสาวในชุดสีเหลืองคนหนึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ กําลังใช้ดวงตากลมโตจ้องมองเธออย่างอยากรู้อยากเห็นดวงตาของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและไร้เดียงสา แต่กลับไม่มีเจตนาร้ายเลยแม้แต่น้อยถูซินเยว่เคยเห็นคนมามากมาย เรื่องเหล่านี้เธอยังพอสามารถมองออกได้ตั้งแต่แรกเห็นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีเจตนาร้าย ท่าทีของเธอก็อ่อนโยนลงมาก"ไม่ทราบว่าแม่นางมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?"ถ้าเธอจําไม่ผิด คนที่นั่งข้างเธอเมื่อกี้น่าจะเป็นผู้หญิงที่เยาะเย้ยเธ

  • หญิงอ้วนทำนา กับสามีบนเขาจอมขี้แกล้ง   บทที่ 378 หน้าแตก

    ถูซินเยว่ชะงัก และรู้สึกตลก เมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายก็รู้สึกประหลาดใจ ตอนที่ออกจากมาตอนเช้า เธอได้สวมใส่เครื่องประดับมาหลายชิ้นจริงๆแต่ระหว่างทาง ถูซินเยว่รู้สึกว่าต่างหูระเกะระกะเกินไป จึงแอบถอดมันออกและวางไว้บนรถม้าคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าในงานเลี้ยงจะมีคนไม่กินไม่ดื่ม แต่หันมาจับจ้องที่เครื่องหัวของตนเองแทนถูซินเยว่ยื่นมือไปจับที่ผมของตนเองอัตโนมัติ จากนั้นก็พูดเสียงราบเรียบว่า "ในเมื่อวันนี้ตระกูลจางเป็นเจ้าภาพ แขกสำคัญจึงเป็นตระกูลจาง แล้วเหตุใดข้าจักต้องแต่งตัวให้ดูดีขนาดนั้น""จนก็ยอมรับว่าจนเถอะ จะหาเหตุผลอะไรมาอ้างมากมายไปทำไม ในที่นี้ใครไม่รู้บ้างว่าพวกเจ้ามาจากบ้านนอก ข้าเองก็แค่รู้สึกเสียดายแทนใตเท้าซูเท่านั้น ทั้งที่มีมีอนาคตอันดี หากแต่งงานกับบุตรสาวขุนนางสักคน ก็คงยิ่งช่วยส่งเสริมให้เจริญก้าวหน้า แต่กลับเลือกจะเฝ้าอยู่แค่หญิงชาวบ้านเฉกเช่นเจ้า..."ประโยคหลังแม้ว่าจะไม่ได้พูดต่อจนจบ แต่ก็สามารถเข้าใจได้ถึงแม้บนใบหน้าของถูซินเยว่จะแสดงสีหน้าใดๆ แต่สาวรับใช้ที่อยู่ข้างๆ สีหน้าย่ำแย่มากแล้วนางอาศัยอยู่ที่ตระกูลซูมานาน ก็พอจะรู้ว่าถูซินเยว่ไม่ได้ไม่มีเงิน และเงินส่วนใ

  • หญิงอ้วนทำนา กับสามีบนเขาจอมขี้แกล้ง   บทที่ 377 ดูถูก

    ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในหมู่บ้านต้าเย่ เพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หรือเพราะผลประโยชน์อันน้อยนิด แม้เป็นครอบครัวเดียวกัน ก็ยังสามารถโกรธแค้นกันจนตัดญาติขาดมิตรไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นใด แค่ในตระกูลถู เพียงเพื่อสินสอดของตระกูลเหลียง ถูชิวหลานก็ดันทุรังจะสับเปลี่ยนตัวเธอกับลูกสาว ภายหลังยังไม่ยอมรับด้วย แถมยังผลักไสความผิดทุกอย่างไปที่เจ้าของร่างหากเธอไม่ได้ข้ามิติมาอยู่ในร่างของเจ้าของร่างซื่อบื้อคนนั้น นางจะใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลซูอย่างไร เกรงว่าคงเหลือแต่เสี้ยววิญญาณแล้วอย่างด้านซูเฟิ่งอี๋ในตระกูลซู ตอนนั้นพวกเขาเองก็หวงแหนเงินเล็กๆ น้อยๆ เห็นชีวิตนางหยูกำลังตกอยู่ในอันตรายก็ยังไม่ยอมรักษาให้นางเรื่องราวของญาติสนิทมิตรสหายที่ทำร้ายคนใกล้ตัวเพียงเพื่อผลประโยชน์และเงินทองมีมากมายเกินกว่าจะพูด ขนาดบ้านเธอยังเป็นเช่นนี้ แล้วต้าฉีที่มีบ้านสกุลมากมายขนาดนี้ล่ะชาวบ้านธรรมดาทั่วไป อาจทำไปเพื่อเงินทอง แต่องค์ชายสามกับองค์ชายใหญ่ กลับทำเพื่อแก่งแย่งแผ่นดิน ขนาดที่เป็นการต่อสู้เพื่อความเป็นความตาย และไม่มีใครยอมอ่อนข้อให้ใคร ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้"ชีวิตคนเรามีหลายเรื่องที่มักไม่เป็นดังที่หวัง ข

  • หญิงอ้วนทำนา กับสามีบนเขาจอมขี้แกล้ง   บทที่ 376 อิจฉา

    "วันนี้เป็นงานเลี้ยงของตระกูลจาง ข้าก็นึกว่าเจ้าจะพูดคุยเรื่องอะไรกับข้า คาดไม่ถึงว่าจะใช้เรื่องนี้มาข่มขู่ข้าในที่ๆ ไม่มีคนเช่นนี้?"ชายผู้นั้นหัวคิ้วกระตุก รีบก้มศรีษะลงแล้วพูดว่า "กระหม่อมมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่กระหม่อมทราบว่าองค์ชายสามเป็นคนเฉลียวฉลาด แต่ไหนแต่ไรมา การที่บุตรสายตรงรับสืบราชบัลลลังก์ต่อก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แล้วไฉนองค์ชายสามจึงมิตั้งใจเป็นข้าราชบริพานบริสุทธิ์ คอยค้ำจุนเสด็จพี่ของพระองค์เล่าพ่ะย่ะค่ะ?"ฉีหวานหัวดราะเสียงดัง น้ำเสียงเย็นเยือกลงฉับพลัน เขาสะบัดแขนเสื้อ พร้อมสีหน้าเย็นชา "แม่ทัพหลิ่วพูดเช่นนี้ ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ตอนที่ข้าพบกับมือสังหารไล่เอาชีวิตตอนที่รีบเดินทางกลับมาจากเป่ยเจียงอันไกล แม้วันนี้ข้าไม่พูด เชื่อว่าท่านแม่ทัพเองก็คงทราบดีว่าเป็นฝีมือของใคร?"ถูซินเยว่ที่นั่งอยู่ในศาลาชะงักงัน ที่แท้คนที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับฉีหวานก็คือแม่ทัพหลิ่วนี่เอง หากนางจำไม่ผิดละก็ ก่อนหน้านี้ที่หน้าประตูตระกูลจาง ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ หลิ่วโหรวโหรวก็คือแม่ทัพหลิ่วผู้นี้สินะ?เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ถูซินเยว่ก็รู้สึกเซ็งขึ้นมา ถ้ารู้แต่แรกว่าพวกเขาจะคุยกันเรื่

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status