“คุณพ่อเรียกหาฉัตรหรือครับ” ฉัตรเกล้าเดินเข้ามาในห้องทำงานของบิดา ภายในมีแม่ของเขานั่งอยู่ด้านขวามือของพ่อและพี่ปกเกล้ายืนกอดอกพิงตู้เก็บใบประกาศนียบัตรและเหรียญรางวัลต่าง ๆ ของครอบครัวอยู่
คุณชนาละมือที่กอดเอวภรรยาออก ตบพื้นที่ข้างตัวสองสามที “ใช่ มานั่งข้างพ่อสิลูก” เอ่ยเรียกลูกชายคนเล็กเสียงนุ่ม ปกเกล้าอดไม่ได้ที่จะเบ้ปาก เสียงอ่อนโยนนั่นล่าสุดที่ใช้คุยกับเขาก็เกือบสิบปีได้แล้วกระมัง มองแก้วตาผู้เป็นมารดาเคียงข้างชนาราวหงส์คู่มังกรยิ่งรู้สึกหงุดหงิด อึดอัดในอกแทบจะระเบิดออกมา “อยู่พร้อมหน้าเชียว มีอะไรหรือเปล่าครับ” ฉัตรเกล้าเดินไปนั่งข้างบิดาก่อนจะเอ่ยปากถาม “ก็แค่อยากคุยกับลูกน่ะ ว่าจะเอายังไงหลังเรียนจบ” “พ่อเขาไม่ได้จะรบเร้าหรือรีบเร่งอะไรนะฉัตร เรามีความเห็นตรงกันอยากให้ลูกพักก่อน” คุณหญิงแก้วตาว่ายิ้ม ๆ “ความจริงแล้วก็ว่าจะพักสักเดือนน่ะครับ แล้วค่อยทำงาน” “เดือนเดียวจะไปพออะไรเล่า พักปีนึงเลย เที่ยวสนุกให้เต็มที่ หลังจากนั้นค่อยมาช่วยงานเอกสารให้พ่อ หรือจะลองมาเป็นเลขาพ่อก็ได้ พ่อจะให้ทิวาสอนงาน” “เป็นเลขาหรือครับ” ฉัตรเกล้าเลิกคิ้ว “ไม่สนงั้นหรือ” “…” “ถ้าอยากทำก็ค่อยทำ เรียนรู้งานไว้ ในอนาคตจะได้ช่วยพี่ปกเขาได้” คุณชนาเอ่ยพร้อมลูบหัวบุตรชาย ปกเกล้าได้ยินชื่อตัวเองก็เงยหน้าไปมอง ชายหนุ่มมีรอยยิ้มยียวนเกิดขึ้นบนหน้า กำลังจะเอ่ยปากเย้าแหย่ตามประสาหากแต่คุณแม่ของเขาเอ่ยขัดเสียก่อน “ตาปกยังเอาตัวไม่รอดเลยค่ะคุณ” คุณหญิงแก้วตาเหลือบมองปกเกล้าแวบเดียว ก่อนจะพูดเสียงนิ่ง บางทีปกเกล้าก็สงสัยว่าพวกเราใช่แม่ลูกกันหรือเปล่า ทุกวันนี้เวลาเจอหน้ากัน มารดาจะต้องทำหน้าราวเห็นขยะเน่าอยู่ทุกครั้ง ปกเกล้าลอบถอนหายใจ รอยยิ้มบนหน้าหายวับ “คุณแม่ก็เลี้ยงผมไปตลอดได้นี่ครับ สมบัติเราเยอะแยะ” พูดกับมารดาเสียงนิ่งเรียบ แต่เพราะความนิ่งเรียบนี้ ในสายตาของคุณหญิงแก้วตามองว่ามันช่างกวนโอ๊ยเหลือเกิน ไม่สนใจหรอกว่าคำพูดของเธอทำให้ลูกชายรู้สึกอย่างไร “ดูสิคะคุณ” หันไปคว้าแขนสามี พยักพเยิดหน้าให้ดูพฤติกรรมของลูกชายตัวดี คุณชนาอยากจะขำก็ขำไม่ออก ด้วยรู้ดีว่าเหตุใดแม่ลูกคู่นี้ถึงไม่ค่อยลงรอยกัน แต่ตราบใดที่ภรรยายังแสดงท่าทางแบบนี้กับลูกชายคนโตอยู่ ก็นับว่าความลับจะยังคงเป็นความลับต่อไป “เอาน่า สองคนนี้…อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันสิตาปก” เขาพูดประนีประนอมก่อนเอ่ยรั้งลูกชายคนโตไว้ “ไม่ล่ะครับ ผมนัดกับเพื่อนไว้” ปกเกล้าส่ายหน้า ความจริงก็ไม่ได้มีนัดอะไรหรอก แต่ให้อยู่ทานข้าวด้วยก็กลัวมารดาจะกินไม่ลงกับกลัวตัวเองอดทนไม่ไหว เผลอพูดสิ่งที่ทำให้ไพศาลภิรมย์รักษ์ไม่เหมือนเดิมตลอดกาล น้องชายพึ่งกลับมาจากเมืองนอกเสียด้วย ยังไม่อยากทำลายความสุขของฉัตรเกล้าเร็วนัก แต่แน่นอนว่าปกเกล้าไม่ปล่อยเรื่องนี้ไว้เฉย ๆ แน่ แค่ทุกวันนี้กว่าจะข่มตาหลับกว่าจะผ่านพ้นวันคืน ช่างยากเย็นแสนเข็ญ “ก็คงพากันไปทำเรื่องงามหน้าอีกสิท่า” เสียงผู้หญิงคนเดียวในห้องเอ่ยด้วยน้ำแสงซอนแซะ ปกเกล้ายิ้มกริ่ม ใบหน้าที่เรียบนิ่งแปรเปลี่ยนเป็นทะเล้นทันที “เรื่องงามหน้าที่คุณแม่หมายถึงคืออะไรหรือครับ” เสียงนุ่มทุ้มตามแบบฉบับคุณชายที่สาว ๆ หมายปองถามกลับ คุณหญิงแก้วตาขมวดคิ้ว “อย่าทำเป็นไม่รู้เรื่อง” “เปล่าครับ…เพียงแต่ ผมทำเรื่องไว้เยอะมาก เลยนึกไม่ออกว่าเรื่องงามหน้าที่ว่าจะหมายถึงอะไร” ราวพูดเรื่องดินฟ้าทั่วไป ไม่รู้ร้อนรู้หนาว “ตาปก!” คุณหญิงแก้วตาแทบอยากกรี๊ดให้ลืมกิริยาเสียให้ได้ “หึ ผมไปนะครับ ไว้สักสองสามวันจะกลับมา” ความเงียบจางลงชั่วคราวหลังปกเกล้าเดินออกจากห้องไปแล้ว แต่ครู่เดียวคุณหญิงแก้วตาก็หันไปพูดกับสามีด้วยความไม่พอใจ “คุณให้ท้ายจนลูกเคยตัวหมดแล้วนะคะ” เธอว่า “คุณก็ตำหนิลูกจนมองหน้ากันไม่ติดแล้วคุณหญิง” คุณชนาตอบกลับด้วยน้ำที่เสียงอ่อนกว่า “ก็ดูที่ตาปกทำตัวสิคะ จะไม่ให้แก้วดุได้อย่างไร” “วัยรุ่นก็แบบนี้แหละคุณ ปล่อย ๆ แกไปบ้าง ไม่จำเป็นต้องเคร่งเครียดเหมือนอย่างอาจารย์กับลูกศิษย์หรอก” “ตาปกอายุยี่สิบแปดแล้วนะคะ อายุปูนนี้ควรจะทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันได้แล้ว” “อีกหน่อยก็ได้ตบแต่งกับหนูหลินนี่ไงคุณ” “ระวังนะคะ ลูกชายคุณไปไข่ไว้ทั่วขนาดนี้ สักวันจะมีแม่หญิงอุ้มเด็กมาบอกว่าตาปกเป็นพ่อของลูกหล่อน” เธอกอดอกว่า หากเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นมาจริง ๆ เธอจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ได้ขายหน้าชาวบ้านกันทั้งวงศ์ตระกูลน่ะสิ “ผู้ชายน่ะ เจ้าชู้นิดเจ้าชู้หน่อยจะเป็นอะไรไป” นักธุรกิจหนุ่มใหญ่พูดกลั้วหัวเราะไม่ทุกข์ร้อน ทว่าหากเลือกได้ใครจะอยากให้คนรักมีหญิงอื่นกันล่ะ ใจคนเราจะได้ไหวได้อย่างไรกัน ฉัตรเกล้าที่นั่งฟังอยู่คิดในใจ วันแรกในรั้วบ้านไพศาลภิรมย์รักษ์ไม่ได้สวยงามหรือราบเรียบ แต่ก็เป็นสิ่งที่ฟ้าครามคาดไว้อยู่ก่อนแล้ว อดีตเสือเลื่องชื่อเคยคิดว่าการเริ่มต้นชีวิตใหม่เขาตั้งใจอย่างยิ่งที่จะเป็นคนใหม่ ลืมเลือนตัวตนในอดีตและใช้ชีวิตปกติอย่างคนทั่วไป ทว่าการเคยเป็นโจรเป็นเสือ เป็นคนคุกมาก่อน ก็คงยากสำหรับคนอื่นที่จะยอมรับ ซึ่งตัวเขาเองก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากก้มหน้ารับชะตากรรมหลังจากนี้ ฟ้าครามเคยชินกับความยากลำบาก ความอัปยศอดสู ความหม่นหมอง ความไม่ยินยอมพร้อมใจมามากพอจะไม่รู้สึกอะไรกับการที่โดนแค่ไม้เล็ก ๆ ตีเข้าที่ศีรษะ ร่างกายไม่สะทกสะท้าน ยิ่งไม่มีความรู้สึกใดสะท้อนออกมาเลยสักนิด “หัวแข็งใช้ได้นี่หว่ามึง กูตีไปที หัวไม่แตกแต่ไม้กูเสือกแตก” คนตีเขาก็คนเดียวกับที่ตั้งท่าดูแคลนตั้งแต่คุณชนาแนะนำในบ้านเมื่อวาน ท่าจะเป็นรองหัวหน้าคนงานที่ชื่อไม้กระมัง “ฮ่าฮ่าฮ่า” พวกลูกล้อที่หัวเราะสนุกสนานสามสี่คน ฟ้าครามยังจำไม่ได้ว่าใครชื่ออะไรบ้าง “เฮ้ย เป็นใบ้หรือวะไอ้คนคุก” “เจอพี่รับน้องก็คงขวัญหนีดีฝ่อไปแล้วมั้งพี่ไม้” “ฮ่าฮ่าฮ่า” “แม่งโคตรป๊อดเลยว่ะ ปอดแหกฉิบหาย ไอ้จัญไร ถุย” ไม้มันด่าฟ้าคราม ล้อสนุกสนานกับลูกน้องคนอื่น ๆ ที่มักชอบเลียแข้งเลียขามันจนได้เป็นลูกน้องคนโปรด คนถูกด่ายืนเฉย มองกิริยาสถุลต่ำตมที่มาจากจิตใจโดยแท้จริงของพวกคนตรงหน้า ฟ้าครามไม่ได้โกรธแต่อย่างใด เพราะสิ่งที่พวกมันทำกับเขาก็ถือเป็นผลจากการกระทำในอดีตของเขาเอง ต่ำกว่านี้ สถุลกว่านี้ ล้วนผ่านตามาหมดแล้วทั้งนั้น “มึงกวนตีนจังวะ” ไม้เห็นฟ้าครามยืนนิ่ง ไม่โต้ตอบ มันรู้สึกเสียหน้าจึงเข้ามาผลักอกร่างสูงครั้งหนึ่ง ทว่าคนที่กระเด็นถอยหลังจนเกือบล้มกลับเป็นมันเสียเอง “มึงจะเอาหรอวะ!” มันพูดอย่างโมโห ตั้งตัวได้ก็เตรียมยกเท้าจะเข้ามาถีบ ฟ้าครามเหลือบสายตามองไปทางด้านหลังของตน คิ้วคมขมวดน้อย ๆ เมื่อรู้สึกได้ถึงมือของบริวารมายันหลังเขาไว้ตอนที่โดนผลัก นั่นทำให้เขาไม่ขยับเลยสักนิดทั้งที่โดนไม้ใส่เต็มแรง แต่ต่อให้ทองดำจะไม่มาช่วย เขาก็คงถอยหลังไม่เกินสองก้าว ดูจากขาผอม ๆ นั่นแล้ว “พี่ไม้ จะทำอะไรน่ะ” ก่อนที่จะโดนถีบจริงและก่อนที่บริวารของฟ้าครามจะได้ทำอะไร เสียงหวานของหญิงสาวคนหนึ่งก็ดังขัดเสียก่อน “ศรีแพร…” อันตพาลก่อนหน้าเสียงอ่อนลงทันทีที่เจอนางในดวงใจ สาวเจ้ารีบวิ่งเข้ามาเพราะเห็นจากไกล ๆ ว่าไม้ทำอะไรฟ้าคราม เธอพาฟ้าครามมาหาพวกพี่ไม้ที่วันนี้ไม่ได้ไปช่วยงานที่โกดังสินค้า พวกเขาจึงมักจะรวมตัวเล่นหรือดื่มเหล้ากันในสวนมะม่วงหลังบ้าน หลังจากงานอื่น ๆ เสร็จสิ้น และศรีแพรก็เพียงกลับไปที่เรือนครู่เดียวเท่านั้น กลับมาก็เห็นไม้กับพวกพ้องรังแกพี่ครามเสียได้ “สั่งสอนมันนิด ๆ หน่อย ๆ เองจ้ะ มันหัวแข็ง มาฝากตัวทำงานด้วยแต่ไม่ไหว้ใครสักคน” ไม้เอ่ย จะเดินเข้าไปหาศรีแพรแต่เจ้าหล่อนเดินมาหาฟ้าครามเสียก่อน “พี่ครามเป็นอะไรไหมจ๊ะ ฉันน่าจะพาพี่ไปหาลุงบุญ ขอโทษทีจ้ะ” “ไม่ใช่ความผิดเอ็ง” ฟ้าครามบอกไม่มองหน้า “ศรีแพร อย่าไปใกล้มัน มาหาพี่” ไม้กัดฟันกรอด รู้สึกเลือดขึ้นหน้า เพราะนางในดวงตามีสายตาห่วงหาให้ไอ้คนคุกเสียเหลือเกิน ดูก็รู้ว่าศรีแพรสนใจมัน ศรีแพรที่มันชอบมาตั้งนาน “ทำไมฉันต้องไปหาพี่ด้วยจ้ะ” เธอหันไปพูดกับพี่ชายของเพื่อนเสียงนิ่ง “…มึง ไอ้คราม กูขอเตือนว่าอย่ายุ่งกับศรีแพร ผู้หญิงคนนี้เป็นของกู” ไม้มันกัดฟันกรอด หันไปชี้หน้าจะเอาเรื่อง “พูดอะไรของพี่ ฉันไม่ได้เป็นของใครทั้งนั้น” ศรีแพรปฏิเสธเสียงดัง พอดีกับที่ไหม คนงานสาวอีกคนวิ่งหน้าตื่นเข้ามาหา “พี่ไม้! พี่ไม้!” “มีอะไรอีไหม กูไม่ว่าง” หันไปพูดอย่างหัวเสีย “โอ๊ย ว่างไม่ว่างก็ช่างปะไร ไปดูนังมะลิหน่อยพี่ มันเป็นอะไรไม่รู้อยู่ ๆ ก็ล้มป่วยเสียอย่างนั้น” “มึงว่าไงนะ ใครแกล้งน้องกู” “ใครจะไปแกล้งมัน ไปเถอะพี่ มันเพ้อหนักแล้ว” “จิ๊ กูฝากไว้ก่อนเถอะมึง” หันมาชี้หน้าฟ้าครามอีกครั้งก่อนจะรีบวิ่งตามไหมไป คนงานชายที่เหลือ พอลูกพี่มันไปแล้วก็เลิกสนใจเขาราวก่อนหน้าไม่ได้ร่วมหัวเราะเยาะเย้ยไปด้วย พวกมันแยกย้ายไปคนละทางจึงเหลือเพียงเขาละสตรีร่างบาง “พี่ไปพักที่ห้องก่อนเถอะจ้ะ อีกสักพักเลยถึงจะได้เวลากินข้าว เดี๋ยวฉันไปเรียกพี่ก็ได้” “เดี๋ยวข้ามาเอง บอกเวลาให้ข้าก็พอ” “หกโมงก็ตั้งวงแล้วจ้ะ” “…” ฟ้าครามพยักหน้ารับ “ไปจ้ะ ฉันเดินไปเป็นเพื่อน ขาดเหลืออะไรบอกฉันได้นะจ๊ะ” “ไม่ต้อง ขอบใจเอ็งมาก” พูดจบก็เดินตรงไปยังเรือนพักของตนทันที ช่วงเวลาอาหารไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นมากนัก รู้สึกได้ถึงสายตารังเกียจอยู่บ้าง แต่ฟ้าครามก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เขาปลีกตัวนั่งกินข้าวคนเดียวเงียบ ๆ แต่ก็มิวายพลับพลึงเดินมานั่งด้วย สาวเจ้ากลิ่นกายหอมกรุ่นด้วยหล่อนอาบน้ำใส่แป้งก่อนจะมากินข้าว เสื้อผ้าที่ตอนกลางวันว่าเปิดเผยแล้วพอตกค่ำหญิงสาวใส่เพียงชุดบาง ๆ สีขาวแทบจะเห็นไปทุกส่วนด้านใน เป็นสาวงามคนเดียวที่กล้าแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาว่าหมายตาฟ้าครามเพียงใด ศรีแพรและไหมก็มองร่างสูงเช่นกัน เพียงแต่ทั้งสองทำได้แค่ลอบมองเงียบ ๆ ส่วนไอ้ไม้ มันที่เกลียดฟ้าครามอยู่แล้ว พอเห็นว่าศรีแพร หญิงสาวที่มันรักสนใจเขา มันยิ่งทวีความเกลียดขึ้นไปอีก หากไม่ติดว่ามันกังวลใจที่มะลิป่วยหนักกะทันหัน ไอ้คนคุกคงไม่ได้กินข้าวอย่างสงบ ๆ ฉัตรเกล้ากลับมาจากห้างสรรพสินค้าก็ตอนเย็นแล้ว หอบข้าวสองเต็มสองมือลงจากรถโดยไม่ให้คนงานช่วยเหลือ เดินขึ้นบันไดเพื่อเก็บของและอาบน้ำก่อนจะลงมาทานข้าวเย็น ในตอนที่บิดามารดาย้ายที่นั่งจากห้องอาหารไปห้องนั่งเล่นริมสวนที่อยู่อีกฟาก ฉัตรเกล้าจึงขนของทั้งหมดที่ซื้อมาเดินลัดเลาะตามทางไปยังเรือนคนงานบุรุษหลังบ้าน ตอนกลางคืนมืดไม่น้อยเลยเนื่องจากเป็นคืนเดือนดับ ความสว่างจากไฟที่ติดไว้ตามทางพอช่วยให้เขายังเดินถูก แม้จะเป็นบ้านเขาเอง แต่ปกติก็ไม่ได้มีธุระอะไรกับส่วนนี้มากนัก ยิ่งช่วงเย็นแทบนับครั้งได้ที่มาเหยียบ วังเวงไม่น้อยเลยทีเดียว ก๊อก ก๊อก ฉัตรเกล้าเคาะประตูห้องซ้ายสุดของเรือนไม้ ยืนเพียงครู่เดียวประตูก็เปิดออก “คุณหนู?” เจ้าของห้องเลิกคิ้วทันทีที่เห็นว่าเป็นเขา ฟ้าครามยังอยู่ในชุดเดิม ศีรษะของเขาเปียกโชกและผมที่สั้นลง เปิดเผยใบหน้าคมคายมากยิ่งขึ้น “มีอะไรงั้นหรือ” ร่างสูงถาม มือก็เสยผมที่ยังไม่หมาดดีของตัวเองขึ้น ฉัตรเกล้าลมหายใจสะดุด ได้สบสายตากันชัด ๆ เป็นครั้งแรก เนตรพยัคฆาคมกล้ากว่าที่เคยจินตนาการ พาลเอาหัวใจเต้นระรัว ตกในภวังค์ถูกขังด้วยมนต์พยัคฆ์ที่เจ้าตัวเขายังไม่ทันเอ่ยคาถาสักครึ่งคำ คุณชายเล็กกะพริบตาปริบ รีบดึงสติของตัวเองกลับมา ส่ายหน้าเบา ๆ ให้หลุดจากห้วงความคิด โดยทุกอย่างอยู่ในสายตาของฟ้าคราม พ่อเสือใหญ่ลอบมองเงียบงัน แก้มแดงปลั่งถูกเก็บไว้ในความทรงจำ ปากสีสดทรงสวยดึงดูดให้ทอดมอง “เอาของมาให้น่ะครับ...เอ่อ ขอเข้าไปสักครู่ได้ไหม” ถามเสียงไม่แน่ใจเท่าไหร่นักว่าร่างสูงจะอนุญาตหรือเปล่า “เชิญ” ฟ้าครามเบี่ยงตัวหลบและผายมือให้เจ้านาย ข้าวของเครื่องใช้ ไม่ว่าจะเป็นสบู่ ยาสีฟันมียี่ห้อ แปรงสีฟัน ขันตักน้ำ ผ้าเช็ดตัว หวี ตลอดจนเสื้อยืดสีดำสองตัว เสื้อกล้ามสองตัวและกางเกงขายาวอีกสามตัว แม้กระทั่งกางเกงชั้นใน ฉัตรเกล้าซื้อมาทุกอย่าง ที่คิดว่าครบแล้วจริง ๆ “ไม่รู้ว่าใส่ได้ไหมนะครับ ผมก็กะ ๆ เอา” พูดถึงเสื้อผ้า แอบหูแดงเล็กน้อยเมื่อเหลือบไปเห็นกล่องกางเกงชั้นในมียี่ห้อที่ซื้อติดมาด้วย “…ข้าใส่ได้” ฟ้าครามหยิบเสื้อและกางเกงขึ้นดูครู่หนึ่งก็ตอบ ใส่ได้แบบพอดีตัวเกินไปหน่อย “ทิวาจะเอาเสื้อผ้ามาให้วันไหนหรือครับ“ “เขาไม่ได้บอกไว้” “ถ้าอย่างนั้น พรุ่งนี้ผมไปซื้อเพิ่มให้ดีกว่า” คุณชายเล็กของบ้านบอก แอบเห็นตอนที่ฟ้าครามยกเสื้อขึ้นมาก็พอจะดูออกว่าตัวเล็กเกินไปสักหน่อย คงต้องขยับเพิ่มอีกไซซ์หนึ่งหรือสองไซซ์ “ไม่ลำบากคุณหนูหรอก แค่นี้ก็พอแล้ว” สามชุดก็พอใส่แล้วนั่นแหละ เขาซักทุกวันได้ไม่มีปัญหาอะไร “ไม่ได้หรอก จะมีแค่สามชุดได้อย่างไรครับ” “…ขอบน้ำใจ” สุดท้ายฟ้าครามก็ไม่ขัด ลอบมองใบหน้าขาวนวลตรงหน้า ปกติแล้วเจ้านายที่ชาติตระกูลสูงส่งจะปฏิบัติกับคนงานดีเช่นนี้เลยหรือ ยิ่งเป็นคนงานที่มาจากคุกอย่างเขา กับคนงานด้วยกันยังโดนดูถูกสารพัด แต่คุณหนูตรงหน้าดันทำตรงกันข้าม สัมผัสได้แต่ความรู้สึกชื่นบานและความยินดีปรีดา ถ้ารู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของพ่อเสือใหญ่ จะเกลียดชังกันมากหรือเปล่า “พี่ครามตัดผมเองหรือครับ” เลียบเคียงถาม ร่างสูงพยักหน้า “ใช้อะไรตัดหรือ” “มีด” “อ้อ ผมซื้อกรรไกรมาด้วย...” ฉัตรเกล้าพูดมือก็รื้อถุงหาของที่ว่า “…” “ให้ผมช่วยจัดทรงไหมครับ” ถามเผื่อว่าพี่เขาจะอนุญาต เส้นผมสีดำอีกาดูหนานุ่ม เผื่อว่าจะมีโอกาสได้สัมผัส ส่วนฟ้าครามชะงักเล็กน้อยหลังได้ยิน เดิมทีศีรษะนี้ไม่มีใครได้แตะต้องหากเขาไม่อนุญาต และมันเป็นอย่างนั้นมานานมากแล้ว เขามีวิชาอาคม นั่นก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ไม่ควรให้ใครเล่นหัว “ขอบใจ แต่ข้าตัดเองได้” จำใจปฏิเสธออกไป ได้เห็นสีหน้าผิดหวังเล็กน้อยแต่คุณชายตัวขาวก็ปรับสีหน้ากลับมารวดเร็ว พอมองพี่เขาอีกครั้ง ก็ดูไม่ออกเลยว่าคิดอะไรอยู่ เด็ดเดี่ยวกล้าหาญ อึมครึมไร้ชีวิตชีวา ราวราชสีห์ที่อยู่บนจุดสูงสุด ทว่ากลับโดดเดี่ยวไร้ฝูงห้อมล้อม ‘…เขาเรียกกันว่าเสือคราม เป็นเด็กกำพร้าข้างถนนที่เสือแหวนเก็บมาเลี้ยง พอโตขึ้นมันก็ออกปล้นฆ่าไปทั่วกับชุมของมัน…’ คำพูดของเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวเด้งเข้ามาในหัว อดีตเสือร้ายกาจที่ในตอนนี้ ถอดเขี้ยวถอดเล็บออกแล้ว? ฉัตรเกล้าไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าเขารู้สึกอย่างไร มันปั่นป่วนขึ้นมาแปลก ๆ บางครั้ง เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองเป็นบุรุษกระมัง ออกนอกหน้านอกตาเช่นนี้ พี่เขาคงจะไม่ชอบใจและรังเกียจเอา TBC