สองวันผ่านไป…
วันนี้ฉือฟางอินตื่นขึ้นมาก่อนบุตรชาย ที่ยังนอนหลับตาพริ้มซุกอกอุ่นของนางอยู่ เหตุของการตื่นเช้าในวันนี้ ก็เพราะว่าวันนี้นางจะได้ลงมือเข้าครัว ที่คนงานทำเสร็จไปเมื่อวานนี้ ตามกำหนดเวลาสองวันอย่างที่พวกเขาได้บอกเอาไว้ นางค่อยๆ ดันตัวเองลุกขึ้นจากที่นอน ไม่ให้รบกวนเจ้าก้อนหมั่นโถวที่ยังคงหลับใหล คงอีกสักพักใหญ่กว่าที่เขาจะตื่น ตอนนี้นางจะต้องไปล้างหน้าล้างตา แล้วรีบไปเตรียมหุงข้าวเอาไว้ก่อน
หลังจากจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้ว ฉือฟางอินก็เดินตรงมายังห้องครัว เปิดดูถุงข้าวสารถุงเล็ก หนึ่งในเสบียงของแห้งที่จินซือโจว นำมามอบให้กับนางเมื่อค่ำวานนี้ ส่วนที่เหลือเป็นเครื่องปรุง ผักอีกสองสามอย่าง ไก่หนึ่งตัวและเนื้อหมูน้ำค้างอีกหนึ่งชั่ง ตอนที่ได้ร่วมโต๊ะอาหารกับจินซือโจว ทำให้นางได้ทราบความเป็นมาของหมู่บ้านหั้วห่าว และได้ทราบรายละเอียดวิถีชีวิต ของชาวบ้านในหมู่บ้านมากขึ้น จากคำบอกเล่าของเขา วิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของคนชาวบ้านที่นี่ ส่วนใหญ่แล้วมักจะทำการเกษตรเอาไว้กินกันเอง ส่วนที่เหลือก็จะเอาแลกเปลี่ยนกัน เนื้อสัตว์ที่นำมาทำอาหาร จะสลับกันเป็นช่วงๆ ระหว่างสัตว์ที่ชาวบ้านเลี้ยงเองกับการล่าสัตว์ป่า เนื่องจากพื้นที่ในหมู่บ้านค่อนข้างจำกัด ทำให้ในบางช่วงสัตว์ที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้ ไม่สามารถขยายพันธุ์ให้ทันกินได้
ของใช้จำเป็นอย่างเครื่องนอน หรือของใช้ในบ้านเรือน จะเป็นทางฝ่ายของหั้วชินอ๋องให้คนขนมาให้ รวมไปถึงเครื่องนุ่งห่มที่จำเป็นบางอย่างด้วยเช่นกัน ชุดที่ชาวบ้านสวมใส่จึงเป็นสีเดียวกันแทบจะหมด แตกต่างจากชาวบ้านที่อาศัยอยู่ด้านนอก ที่สามารถเลือกซื้อผ้าสีสันหลากหลาย มาตัดเย็บเป็นชุดเอาไว้สวมใส่
“อื้อ แง๊!! ฮรึก ฮือออ”
ขณะที่กำลังนึกถึงเรื่องที่ได้พูดคุย กับท่านผู้นำหมู่บ้านไป เฉียนเอ๋อร์ที่เมื่อครู่ กำลังนอนหลับอยู่ในห้องนอน ก็ส่งเสียงแผดร้องขึ้นมาลั่นห้อง ฉือฟางอินจึงได้ละออกมาจากครัว แล้วรีบเดินไปหาเฉียนเอ๋อร์ทันที พอไปถึงก็พบกับเจ้าก้อนหมั่วโถว ที่กำลังร้องไห้โยเยและดิ้นไปมาอยู่บนเตียง
“โอ๋ๆ เฉียนเอ๋อร์ แม่อยู่นี่ลูก ไม่ได้หนีเจ้าไปไหน”
“ฮือออ ฮรึก ฮือออ”
“ชู่วว เด็กดีไม่ร้องนะ มาๆ กินนมเสีย”
ฉือฟางอินรีบจัดการคลายชุดของนางออก ส่วนเจ้าตัวน้อยเองก็รีบผวารับเอาเต้าของมารดาไว้ และยังคงสะอื้นเบาๆ อยู่เป็นพักๆ สลับกับส่งเสียงอื้ออึงอย่างผ่อนคลาย ยามที่ได้กินนมจากอกมารดา ฉือฟางอินใช้นิ้วเกลี่ยแพรขนตา ที่เปียกชื้นไปด้วยน้ำตาของเขาอย่างเบามือ และกดหอมที่กระหม่อมน้อยๆ ของบุตรชาย ซึมซับและจดจำช่วงเวลาเหล่านี้เอาไว้ ทั้งเวลาตื่น เวลานอนและเวลากินนมของเขา นี่จะเป็นกิจวัตรประจำวันของนางไปสักพักใหญ่ ก่อนที่นางจะได้เห็นพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ ของบุตรชายในอนาคต
“แม่สัญญา ว่าชาตินี้แม่จะมีชีวิตอยู่เลี้ยงดูเจ้า และอยู่ดูเจ้าเติบโตเป็นผู้ใหญ่ให้ได้”
ฉือฟางอินให้นมเฉียนเอ๋อร์อยู่ครู่ใหญ่ จากนั้นจึงได้เริ่มกิจวัตรประจำสองแม่ลูกอีกครั้ง แต่วันนี้มีสิ่งใหม่เพิ่มขึ้นมา นั่นก็คือการที่ฉือฟางอินจะต้องเข้าครัวทำอาหารด้วยตัวเอง มื้อเช้าวันนี้มีน้ำแกงหนึ่งอย่าง พร้อมผัดถั่วแขกอีกหนึ่งจาน เป็นอันจบมื้อเช้าอันแสนเรียบง่ายไปได้อีกวัน
ในช่วงสายขณะที่ฉือฟางอิน ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไร นางจึงพาเฉียนเอ๋อร์เข้ามาที่ห้องทำงานของฉือหย่งหลิง เพื่อหาดูว่าในห้องนี้พอจะมีหนังสืออะไร ที่นางพอจะอ่านให้เฉียนเอ๋อร์ฟังได้บ้าง แต่ทว่าในตู้หนังสือหลังนี้ กลับมีแต่หนังสือ สงคราม และตำราเรียนในราชสำนัก ที่ต่อให้นางจะอ่านออก แต่เฉียนเอ๋อร์ยังเล็กอยู่มาก หนังสือพวกนี้จึงไม่เหมาะที่จะอ่านให้เขาฟัง
สุดท้ายเมื่อไม่มีหนังสือเล่มไหนในห้องนี้ ที่พอจะอ่านให้บุตรชายฟังได้ นางจึงพาเขาออกไปเดินเล่นที่ชาน และในระหว่างนั้น ก็ดูเหมือนว่าหญิงสาวจะนึกอะไรขึ้นมาได้
“หรือว่าเราจะออกไปชมบรรยากาศรอบๆ หมู่บ้านกันดีกว่า”
“อื้อ แอ๊”
“จริงสิ เจ้าหมาน้อยหิวโซตัวนั้น นี่ก็สองวันแล้วที่ฝากท่านน้าพามันไปที่โรงหมอ อย่างนั้นพวกเราไปถามไถ่อาการของมัน ที่โรงด้วยดีกว่า”
“อู๊ววว”
“คิก เฉียนเอ๋อร์ เจ้าเข้าใจที่แม่พูดด้วยอย่างนั้นหรือ”
“แอ๊!”
ฉือฟางอินหัวเราะให้กับท่าทางของเจ้าตัวน้อย ที่ส่งเสียงตอบรับคำพูดของนางทุกคำ จนนางอดที่จะก้มลงไปหอมแก้มเขาด้วยความหมั่นเขี้ยวไม่ได้ นางจัดการเปลี่ยนชุดใหม่ให้เฉียนเอ๋อร์ จากนั้นก็อุ้มพาเขาลงจากเรือน เดินไปตามเสียงพูดคุยกันของชาวบ้าน ที่ดังแว่วอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้เท่าไรนัก
เมื่อเดินมาเรื่อยๆ สายตาของนางมองเห็นบุรุษหลายคน กำลังยืนล้อมวงคุยกันอยู่ข้างหน้า และหนึ่งในนั้นก็มีฉือหย่งหลิง ที่ยังคงอยู่ในชุดพรางตัวยืนอยู่ด้วย
“โอ้ะ! ฮูหยิน!”
เป็นจินซีจ่าวที่ตะโกนเรียกฉือฟางอินออกมาเสียงดัง ทันทีที่หันมาเห็นว่านาง กำลังเดินเข้าไปใกล้พวกเขา ชายหนุ่มจึงรีบปรี่เข้าไปจับตัวฉือหย่งหลิงให้หันหลัง แล้วดันให้เขาไปยืนหลบอยู่หลัง ชายฉกรรจ์ที่เหลือ ที่ก็กำลังเร่งรีบตั้งแถวเรียงหน้ากระดานอยู่เช่นกัน
‘โถ คิดว่าข้ายังไม่รู้ล่ะสิ ว่าคนผู้นั้นคือฉือหย่งหลิง หากข้าเป็นศัตรู ป่านนี้เขาคงได้ตายคามือข้าไปแล้ว แต่ช่างเถอะ ทำไมข้าต้องเอาเรื่องของคนผู้นั้นมาใส่ใจด้วย เขาจะทำอะไรก็ทำไปเถิด ข้าไม่สนใจหรอก ชิ!’
“นี่พวกเราไม่ได้จะกลับบ้านกันหรอกหรือเจ้าคะ”ฉือฟางอินเอ่ยถามขึ้นมา เพราะเห็นว่าที่ที่ฉือหย่งหลิงพาตัวนางกับเฉียนเอ๋อร์มานั้น คือท่าเรือแคว้นหลูแทนที่มุ่งหน้า เดินกลับจวนสกุลฉือตามกำหนดการ ฉือหย่งหลิงไม่ได้อธิบายในทันที แต่กลับเดินนำหน้านางไปที่เรือลำหนึ่ง ที่ตกแต่งไปด้วยผ้าสีแดงสวยงาม ราวกับมีงานมงคลอยู่บนเรือลำนั้น แล้วหันมายื่นมือรอให้นางเดินเข้าไป เพื่อที่ได้พยุงนางกับลูกขึ้นเรือ“นี่อย่างไร จะพากำลังจะพาเจ้ากลับบ้าน”ความแปลกใจของฉือฟางอินยิ่งทวีขึ้น เมื่อเดินเข้ามาด้านในเรือแล้วพบว่า ด้านในของเรือลำนี้ได้ถูกจำลอง ให้เหมือนกับงานพิธีสมรสอย่างไรอย่างนั้น“นี่มันอะไรกันเจ้าคะ ทำในนี้ถึงได้...”“ฮูหยิน เมื่อสามปีก่อนที่เราแต่งงานกัน เป็นข้าที่ปฏิบัติกับเจ้าไม่ดี ไม่ให้เกียรติ์เจ้าในฐานะภรรยา แม้แต่เกี้ยวเจ้าสาวดีดี ก็ไม่ได้หาให้เจ้า ในวันนี้ที่ข้าสำนึกผิดแล้ว จึงอยากจะขอแก้ตัวกับเจ้าใหม่ ฮูหยิน ได้โปรดแต่งงานกับข้าอีกครั้งได้หรือไม่ ครั้งนี้ข้าสัญญาด้วยชีวิต ว่าเจ้าจะไม่เสียใจที่ได้แต่งงานกับคนอย่างข้าอีก เหมือนเมื่อสามปีที่แล้วอย่างแน่นอน
“ด้วยนิสัยเดิมของบุตรชายข้าคนนี้ ที่นอกจะไม่เอาไหนแล้ว เขามักจะชอบลักเล็กขโมยน้อย สิ่งของคนที่เขาเคยได้สนทนาด้วยเสมอพะย่ะค่ะ”พรึ่บชวี่ซุนเหลียนขาอ่อนล้มพับลงไปนั่งกับทันที เมื่อนางเห็นพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ประจำตัวของนางอยู่ในมือของฮ่องเต้ พู่ตราสัญลักษณ์นี้ เป็นสิ่งที่ติดตัวนางมาตั้งแต่เด็ก ด้วยความผูกพันกับของสิ่งนี้ ทำให้แม้จะเข้ามาเป็นอนุภรรยาในสกุลชวี่แล้ว นางก็ยังคงห้อยพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ไว้กับตัวอยู่ตลอดเวลา ชวี่ซุนเหลียนไม่รู้ว่าตัวเองทำมันหล่นหายไปตอนไหนจนเข้าใจไปว่านางอาจจะทำพู่นั่น ตอนที่ไปอารามหวั่งสุ่ยกับจินหู่อดีตสาวใช้ ที่ถูกนางผลักตกเขาไปเมื่อสามปีก่อน เพราะจินหู่เป็นคนเดียวที่อยู่กับนาง ทั้งตอนวางแผนและตอนที่นางไปพบกับหลี่หมิงด้วยตัวเอง ชวี่ซุนเหลียนจึงจำต้องกำจัดนาง ตามคำสั่งของกู้ชินอ๋อง เพราะไม่อยากเกิดปัญหาตามมาในอนาคต หลังจากผ่านคืนนั้นไปไม่นาน ขณะที่ชวี่เจียงโหลวนำทัพไปทำสงคราม ชวี่ซุนเหลียนจึงออกอุบายกับจินหู่ ว่าตัวนางนั้นอยากจะไปสงบจิตใจ จากเรื่องที่พึ่งผ่านพ้นไป ด้วยการไปไหว้พระที่อารามหวั่งสุ่ยและต้องการไ
เกิดเสียงฮือฮาไปทั่วทุกสารทิศ ว่าเหตุใดชวี่เจียงโหลวถึงได้มาขออย่าขาดกับชวี่ซุนเหลียน ต่อหน้าธารกำนัลในวันสำคัญเช่นนี้ แม้แต่กู้ชินอ๋องเองก็ต้องถึงกับลุกขึ้นจากที่นั่ง เพราะไม่ได้คาดคิดถึงการกระทำเช่นนี้ ของชวี่เจียงโหลวมาก่อน“ท่านพี่ นี่มันอะไรกันเจ้าคะ”“นั่นสิแม่ทัพชวี่ วันดีๆ แบบนี้ เหตุใดเจ้าถึงขออย่ากับนางต่อหน้าข้าและคนอื่นๆ”“นั่นก็เพราะว่าข้า มิอาจอยู่ร่วมชายคา กับสตรีชั่วช้าคนนี้ได้อีกต่อไปแล้วพะย่ะค่ะ”“เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน”“พระองค์คงจะไม่รู้ว่าเมื่อสามปีที่แล้ว มีสิ่งใดเกิดขึ้นในจวนของกระหม่อมบ้าง”ทันทีที่ได้ยินชวี่เจียงโหลวกล่าวเช่นนั้น กู้ชินอ๋องและชวี่ซุนเหลียนต่างก็ตาเบิกกว้าง พร้อมกับหันหน้ามาสบตากัน เรื่องเมื่อสามปีที่แล้วจะเป็นเรื่องใดได้อีก หากไม่ใช่เรื่องที่ชวี่ซุนเหลียนวางแผน แย่งคู่หมั้นของฉือฟางอินมาให้บุตรสาว และหมายจะให้คนงานหอนางโลม เข้ามาทำมิดีร้ายกับฉือฟางอินถึงในเรือนของนาง“กระหม่อมสู้อดทน สืบหาเบาะแสผู้ที่อยู่เบื้องหลังมาตลอด จนได
“แล้วเขาให้ความร่วมมือหรือไม่ขอรับ”“ย่อมต้องเป็นอย่างนั้น”หลังจากที่รู้ให้คนพาตัวหลี่เฉินมาที่ค่ายทหาร ชวี่เจียงโหลวแสดงตนต่อหน้าเขา พร้อมทั้งบอกให้เขาได้รู้ว่า คุณหนูที่สตรีชนชั้นสูงนิรนามคนนั้น จ้างวานให้เขามาทำมิดีมิร้ายคือบุตรสาวของตน เท่านั้นก็ทำให้ลี่เฉินตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า เพราะความโง่เขลา“ท่านแม่ทัพชวี่ เรื่องนี้ ข ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ ป เป็น เป็นบุตรชายของข้า ที่แอบรับงานนั้นด้วยตัวเอง ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ”“คนตายไปแล้วจะพูดอะไรได้ หากเจ้าบอกว่าเจ้าไม่เกี่ยวกับข้องเรื่องนี้ แต่ทันทีที่พบของพวกนี้ เจ้ากลับจะนำไปทำลาย นี่หรือที่เจ้าบอกว่าไม่เกี่ยวข้อง”“ม ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับท่านแม่ทัพ ที่ข้าคิดจะเอาของพวกนี้ไปทิ้ง ก็เพราะว่าข้ากลัวข้า กับคนในครอบครัวที่เหลือที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ต้องโดนหางเลขไปด้วยขอรับ”“งั้นก็แสดงว่าเจ้ารู้แล้วอย่านั้นหรือ ว่าของสองอย่างนี้เป็นของใคร”“ยังไม่ทราบแน่ชัดขอรับ แต่คนผู้นั้นน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับสกุล
“อื้อ แอ้! คิกๆ”“ฮ่าๆ เฉียนเอ๋อร์ ขาเจ้าเล็กแค่นี้ แต่พละกำลังมากเหลือเกิน แม่เจ้าคงเลี้ยงเจ้ามาอย่างดีเลยสินะ”ชวี่เจียงโหลวกล่าวอย่างอารมณ์ดี ขณะที่กำลังให้หลานชาย ใช้ขาอวบทั้งสองข้าง ยันหน้าขากระโดดเด้งขึ้นเด้งลง ส่งเสียหัวเราะคิกคักด้วยความสนุกสนาน โดยมีฉือฟางอินและฉือหย่งหลิง นั่งอยู่ใกล้ๆ คอยมองสองตาหลาน เล่นด้วยกันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม หลังจากทานมื้อค่ำด้วยกันแล้ว ชวี่เจียงโหลวได้ชักชวนบุตรสาวและบุตรเขย มานั่งพูดคุยถามสารทุกข์ตลอดหลายปีที่ไม่ได้พบหน้ากัน ซึ่งแน่นอนว่าการพูดคุยในครั้งนี้นั้น ไม่มีอนุเหลียนตามมาด้วย“เฉียนเอ๋อร์ เจ้าเล่นเบาๆ หน่อยเถิด เดี๋ยวท่านตาของเจ้าจะเจ็บเอาได้”“ไม่เป็นไรๆ ปล่อยให้เขาได้เล่นตามใจเถิด แรงเพียงเท่านี้ จะทำข้ากับได้อย่างไร เฉียนเอ๋อร์เจ้าเหนื่อยหรือยัง ให้ตาจับเจ้าโยนเล่นบนอากาศดีหรือไม่”“อื้อ แอ๊!”แม้จะพบหน้ากันเป็นวันแรก แต่สองตาหลานก็ดูจะเข้ากันดีจนคนเป็นแม่อย่างฉือฟางอินอดที่จะแปลกใจไม่ได้ เพราะที่ผ่านมา เฉียนเอ๋อร์ไม่ค่อยได้พบเจอคนอื่
“เชิญพวกเจ้าพักผ่อนกันให้หายเหนื่อยเถิด ขาดเหลืออะไรก็บอกคนรับใช้ เดี๋ยวสักครู่ข้าจะต้องเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้คงไม่ได้อยู่ถามสารทุกข์สุขดิบของพวกเจ้า เอาไว้พบกันตอนค่ำก็แล้วกัน”“เจ้าค่ะท่านพ่อ ท่านไปเตรียมตัวเถิดเจ้าค่ะ ไม่ต้องห่วงทางนี้”หลังจากที่พาบุตรสาวและบุตรเขย มาส่งยังเรือนเก่าของฉือฟางอิน ที่ชวี่เจียงโหลวยังคงให้คนรับใช้เข้ามาทำความสะอาดทุกวัน เหมือนเมื่อครั้งที่บุตรสาวอาศัยอยู่ที่นี่ เจ้าตัวก็ต้องรีบเดินทางไปยังวังหลวงเพื่อส่งรายงาน สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการทำศึกรวบรวมดินแดน ที่ชวี่เจียงโหลวเป็นผู้นำทัพ และสามารถคว้าชัยชนะมาได้เมื่อหลายเดือนก่อนด้านฉือฟางอินที่พึ่งจะตกปากรับคำที่บิดาไป แต่นางกลับมีความคิดจะออกไปข้างนอก แทนที่จะพักผ่อนตามที่บิดาบอก เหตุเห็นว่าไหนๆ ตนเองก็เดินทางมาถึงจวนสกุลชวี่ เร็วกว่าเวลาที่คำนวณเอาไว้มาก ประกอบกับที่นางไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้า จากการเดินทางที่ผ่านมาเลยสักนิด นางจึงอยากจะเดินทางไปเยี่ยมชมกิจการเลี้ยงหม่อน ที่เคยวางแผนว่าจะไปที่นั่นใน หลังจากผ่านไปแล้วสองถึงสามวัน หลังจากที่ถึงจวนสกุลชวี