งานเลี้ยงนี้เป็นธรรมเนียมที่ชาวบ้าน จัดขึ้นให้มีขึ้นภายหลังที่พวกเขาตัดสินใจที่จะละทิ้งอดีต รับชายหนุ่มและหญิงสาวที่มาจากภาภายนอก ได้มาคบหาและสร้างครอบครัวกับคนหนุ่มสาว และรวมไปถึงพ่อหม้ายแม่หม้ายในหมู่บ้านด้วยเช่นกัน พวกเขาจะสร้างธรรมเนียม จัดงานเลี้ยงรับขวัญสมาชิกใหม่ในหมู่บ้านขึ้นมา ด้วยการล่าสัตว์มาทำอาหาร เลี้ยงฉลองในตอนกลางคืน ให้ผู้ที่เข้ามาใหม่นั้น ได้ทำความรู้จักและฝากเนื้อฝากตัว กับชาวบ้านในหมู่บ้านคนอื่นๆ
“แต่ข้ากับเฉียนเอ๋อร์ มาเพื่ออาศัยหลบภัยชั่วคราวเท่านั้น นี่จะไม่เป็นการรบกวนพวกท่าน ให้ต้องเหนื่อยกันหรอกหรือ อีกอย่างหากไม่นับเฉียนเอ๋อร์ ที่มีเลือดของท่านแม่ทัพอยู่ครึ่งหนึ่ง ตัวข้าเองก็นับว่าเป็นคนนอก”
“ฮูหยินกล่าวอะไรเช่นนั้นขอรับ ท่านเป็นฮูหยินของท่านแม่ทัพ เช่นนั้นแล้ว ท่านก็คือคนสำคัญของพวกเราด้วยนะขอรับ”
จินซีจ่าวกล่าวขึ้นมาด้วยความสัตย์จริง เพราะในเวลานี้มีเพียงฮูหยินและคุณชายน้อยเท่านั้น ที่เป็นคนในครอบครัวสกุลฉือสายหลัก ของท่านแม่ทัพ ที่เหลืออยู่เพียงแค่สองคน
“เอาเถิด เมื่อทุกคนยืนยันเช่นนั้น ข้าเองจะไม่ปฏิเสธ ดีเสียอีก ข้ากับพวกท่านป้า และท่านน้าสาวทั้งหลาย จะได้ร่วมมือปักลายลงบนผ้า เอาไว้ตัดชุดใส่ในงานวันนั้นกัน พวกท่านว่าดีหรือไม่”
“ดีเจ้าค่ะฮูหยิน”
ทั้งบ่ายวันนั้นที่บ้านของผู้นำหมู่บ้าน จึงเต็มไปด้วยสมาชิกในหมู่บ้าน ช่วยกันลงมือแล่เนื้อสัตว์ เอาใช้ในวันงานเลี้ยงต้อนรับ พร้อมกับนำส่วนที่เหลือแจกจ่ายให้กับชาวบ้าน ส่วนอีกด้านก็ช่วยกันปักลายดอกไม้ที่ตนเองชื่นชอบลงบนผ้า เพื่อที่จะได้เอาไว้ใส่ในงานเลี้ยง เวลาล่วงเลยมาถึงตอนเย็น ก็ถึงเวลาที่ทุกคนจะต้องแยกย้าย กลับไปยังเรือนของตน ฉือฟางอินตอนเองก็เช่นกัน แต่ก่อนที่นางจะกลับไปที่เรือน นางจะแวะไปดูอาการ ของเจ้าหมาน้อยที่โรงหมอก่อน นางจึงจัดการใช้ข้างหนึ่งอุ้มบุตรชาย และใช้มืออีกข้างถือห่อเนื้อหมู ที่จินซือโจวแบ่งมาให้จำนวนหนึ่ง เดินไปทางโรงหมอของหมู่บ้าน
“ท่านหมอ ข้ามาดูอาการของเจ้าลูกหมาสีดำ ที่ท่านน้าลู่ซือพามาให้ท่านดูอาการเจ้าค่ะ” ฉือฟางอินกล่าวกับชายชราอยู่ในชุดขาวสะอาด ที่กำลังตรวจดูสมุนไพรอบแห้งในกระจาดอยู่
“นั่นพวกเจ้าคือฮูหยินน้อยฉือฟางอิน กับคุณชายน้อยเฟิ่งเฉียนใช่หรือไม่”
“ใช่เจ้าค่ะ”
“เข้ามาข้างในก่อนสิ”
“เจ้าค่ะ”
“ต้องขอโทษด้วยที่ข้าไปต้อนรับพวกเจ้า พร้อมกับชาวบ้านคนอื่นๆ พอดีว่าข้ากำลังยุ่งอยู่กับการคัดเลือกสมุนไพร ที่พึ่งได้รับมาจากด้านนอกน่ะ”
“มิเป็นไรเลยเจ้าค่ะ ข้าต่างหากที่ต้องเป็นคนกล่าวขอโทษ ที่มารบกวนให้พวกท่านช่วยดูแล”
“เจ้านี่ ขี้เกรงใจผู้อื่นอย่างที่ซีจ่าวกล่าวไว้จริงๆ ว่าไงเจ้าหนู จ้องข้าไม่วางตาเชียว มิเคยเห็นคนแก่เครายาวมาก่อนหรือ ฮ่าๆๆ”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ เฉียนเอ๋อร์ยังไม่เคยพบคนแก่ที่มีอายุเท่าท่านมาก่อนเลยเจ้าค่ะ”
นับตั้งแต่เฉียนเอ๋อร์เกิดมา คงจะมีแต่แม่นมหลี่กับพ่อบ้านหม่าเท่านั้น ที่เป็นผู้มีอายุมากที่สุดที่เฉียนเอ๋อร์เคยพบ ซึ่งแม่นมหลี่เองก็ไม่ได้อายุเยอะเท่ากับท่านหมอ หากให้เทียบก็คงจะแก่กว่าท่านป้าซีหลันขึ้นไปอีกหน่อยเห็นจะได้
“นั่นสินะ ท่านปู่กับท่านย่าของเจ้าก็จากโลกนี้ไปตั้งแต่พวกเขายังอายุไม่มาก ส่วนทวดทั้งสองของเจ้าที่เป็นสหายรักของข้า หากพวกเขายังมีชีวิตอยู่ ก็คงจะผมขาวเครายาวเช่นข้านี่ล่ะ เช่นนั้นก็ถือเสียว่าตัวข้าฉิวหว่านอี้
เป็นทวดของเจ้าตัวน้อย แล้วก็เป็นปู่ของเจ้าอีกคนหนึ่งก็แล้วกัน”“เจ้าค่ะ ท่านหมอ”
“อื้อ…แอ๊”
“ฮ่าๆๆ ตัวเท่านี้ก็รู้จักความเสียแล้ว มาสิ ข้าจะพาเจ้าไปดูเจ้าหมาน้อยตัวนั้น”
ชายชรายื่นแขนทั้งสองข้างมาหาเฉียนเอ๋อร์ ที่นั่งอยู่บนตักของฉือฟางอินด้วยท่าทางใจดี เจ้าตัวน้อยมองหน้าชายชราอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เริ่มยิ้มและเอนตัวไปข้างหน้า ฉือฟางอินเองที่เห็นว่าคนตรงหน้ายังแข็งแรงดีอยู่ นางจึงได้ยกเฉียนเอ๋อร์ ให้ท่านหมอฉิวหว่านอี้อุ้มพาเดินนำไปทางด้านหลังโรงหมอเล็กๆ แห่งนี้
‘หงิงงง หงิงง…โฮ่ง! โฮ่ง!’
เสียงร้องและเสียงเห่าดังขึ้นมาทันที ที่เจ้าหมาน้อยรับรู้ได้ว่ากำลังมีคนเดินเข้าไปหา เมื่อฉือฟางอินเดินไปถึงนางก็เห็นว่า ท่านหมอฉิวหว่านอี้ได้สร้างคอกเล็กๆ เอาไว้ให้เจ้าหมาน้อยได้อยู่เป็นอย่างดี
“ตัวข้าเองไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องการรักษาสัตว์ แต่ถามสหายที่เชี่ยวชาญมาแล้ว เจ้าหมาตัวนี้ยังเล็กมากนัก ใช้แค่ไม้ดามขาเอาไว้สักพักก็จะดีขึ้นเอง ตอนนี้ได้กินข้าวอิ่มทุกมือ จนเริ่มมีเนื้อหนังขึ้นมาบ้างแล้วล่ะ อีกไม่นานก็คงจะหายดี”
“ขอบคุณท่านหมอมากเจ้าค่ะที่เป็นธุระให้ อย่างไรแล้วเรื่องค่ารักษา ท่านสามารถลงบัญชีให้ข้าได้เลยนะเจ้าคะ”
“ไม่ต้องหรอกข้าไม่คิดเงิน กับคนที่นี่ข้ายังไม่คิด แล้วกับหมาตัวแค่นี้ จะให้ข้าคิดได้อย่างไรกัน”
“รับไว้เถิดเจ้าค่ะ เผื่อว่าท่านจะได้เอาไว้ใช่จ่าย ยามที่ท่านต้องเดินทางไปเสาะหาสิ่งของ ที่หายากจากข้างนอกมาไว้ใช้ที่นี้”
“ฮูหยินน้อย ตัวข้าไม่จำเป็นต้องเดินทางไปที่ไหนเพื่อเสาะหาสิ่งใดหรอก จวนของข้าที่อยู่ด้านนอกมีทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว”
“จวนข้างนอก หมายความว่าท่านหมอ อาศัยอยู่ข้างนอกหรือหรือเจ้าคะ”
"ใช่แล้ว ข้าเป็นอดีตหมอหลวง จากสำนักหมอหลวงในวัง ที่เดินทางมาที่แดนตะวันออก พร้อมกับหั้วชินอ๋องตามรับสั่งของฝ่าบาท”
ฉิวหว่านอี้เป็นสหายคนสนิท ของท่านปู่และท่านย่าของฉือหย่งหลิง เหมือนดั่งเช่นที่บิดาของฉือหย่งหลิง เป็นสหายรักของหั้วชินอ๋อง พวกเขาทั้งหมดจึงนับได้ว่า อยู่ฝ่ายเดียวกันมาตั้งแต่ต้น เมื่อหั้วชินอ๋องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ในการชิงอำนาจจากองค์รัชทายาท และต้องมาฟื้นฟูพื้นที่แดนตะวันออก ตามราชโองการของฮ่องเต้
ฉิวหว่านอี้จึงลาออกจากสำนักหมอหลวง ตามมาช่วยเหลือหั้วชินอ๋องที่แดนตะออกแห่งนี้ ด้วยการเปิดโรงหมอประจำอยู่ที่นี่ และยังเปิดสำนักศึกษา ให้ผู้ที่อยากเป็นหมอ ได้เข้ามาศึกษาและเรียนรู้ความรู้เบื้องต้น เพื่อนำไปต่อยอดการศึกษาอย่างจริงจัง ที่สำนักหมอหลวงที่ตั้งอยู่ในเขตเมืองหลวง
“เช่นนั้นเองหรือเจ้าคะ แล้วอย่างนี้ที่นี่…”
“ข้ามีพวกลูกศิษย์ที่ไว้ใจได้ คอยแวะเวียนมาประจำการ ส่วนข้าจะคอยแวะเวียนมาในยามที่มีเรื่องสำคัญ”
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” ฉือฟางอินพูดคุยกับหมอชราต่ออีกครู่หนึ่ง ก่อนจะขอตัวกลับไปยังเรือนของตนเอง
ยามซื่อ ณ หอประจำการของหมู่บ้าน
ฉือหย่งหลิงที่ออกจากหมู่หั้วห่าว ไปช่วยกองกำลังสำรองต่อสู้กับกลุ่มโจรกบฏชายแดนในเมืองอี้ พร้อมกับอยู่วางแผนใช้วิธี ที่จะใช้จัดการกบฏเหล่านั้นมาตั้งแต่ในช่วงสายของวัน หลังจากจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้ว เขาจึงได้มายืนรับลม อยู่ที่ระเบียงชั้นบนสุดของหอประจำการ จินซีจ่าวที่เห็นดังนั้น จึงอดไม่ได้ที่จะเข้ามาหยอกเย้า
“อะแฮ่ม! ท่านแม่ทัพยืนมิเข้าไปพักผ่อนหรือขอรับ วันนี้ท่านออกไปสู้กับพวกโจรกบฏมาทั้งวัน เหตุใดถึงได้มายืนมองหลังคาเรือนฮูหยินอยู่เช่นนี้ล่ะขอรับ”
“พูดอะไรของเจ้า ข้าไปมองหลังคาเรือนใคร ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
“อ้อ งั้นหรือขอรับ ข้าคิดว่าท่านกำลังรอเวลา ให้เรือนหลังหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ท้ายหมู่บ้าน ดับตระเกียงอยู่เสียอีกขอรับ”
“ทำไมข้าต้องรอ เรือนไหนจะดับไฟเมื่อใด ก็มิเห็นจะเกี่ยวกับข้า เจ้านั่นแหละ อยากถูกข้าลงโทษมากใช่หรือไม่ ถึงได้พูดจากวนอารมณ์ข้าตั้งแต่เมื่อเช้า หรืออยากให้ข้ารายงานพฤติกรรมของเจ้า ให้บิดาเจ้ารับรู้หรือไม่”
“อย่าเลยขอรับ ข้าน้อยมิกล้าแล้วขอรับ” จินซีจ่าวรีบปฏิเสธทันควัน เมื่อได้ยินฉือหย่งหลิงเอ่ยถึงจินซือโจวผู้เป็นบิดาของเขาออกมา
จินซือโจวเป็นคนรักษาขนบธรรมเนียม และกฎระเบียบอย่างเป็นอย่างมาก ขืนเรื่องที่ตัวเขาชอบหยอกล้อท่านแม่ทัพเล่นเช่นนี้ คงได้ถูกใช้ให้ไปให้อาหารจั่งอาวสุนัขดุร้าย สัตว์เลี้ยงที่หั้วชินอ๋องเอามาฝากเลี้ยงเอาไว้ในป่าบนภูเขาเป็นแน่
“หึ” ฉือหย่งหลิงหัวเราะให้กับท่าทาง ของลูกน้องคนสนิท ก่อนตั้งท่าจะเดินจากไป แต่ทว่าก็ถูกจินซีจ่าวกล่าวรั้งเอาไว้ก่อน
“มีอะไร”
“ข้าแค่จะบอกท่านว่าวันพรุ่งนี้ ท่านพ่อจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับฮูหยิน และคุณชายน้อยเฟิ่งเฉียนขอรับ”
“อืม พวกเจ้าจัดการกันไปเถิด ข้าจะดูอยู่ห่างๆ”
“แต่ว่า…”
“มีอะไรอีก”
“เมื่อครู่มีนกพิราบส่งสารจากแดนเหนือ บินมาที่นี่ขอรับ เป็นสารจากท่านอ๋องฝากมาถึงท่านว่า ได้เวลาที่ท่านต้องกลับไปยังสนามรบ ที่แดนเหนือแล้วขอรับ"
“นี่พวกเราไม่ได้จะกลับบ้านกันหรอกหรือเจ้าคะ”ฉือฟางอินเอ่ยถามขึ้นมา เพราะเห็นว่าที่ที่ฉือหย่งหลิงพาตัวนางกับเฉียนเอ๋อร์มานั้น คือท่าเรือแคว้นหลูแทนที่มุ่งหน้า เดินกลับจวนสกุลฉือตามกำหนดการ ฉือหย่งหลิงไม่ได้อธิบายในทันที แต่กลับเดินนำหน้านางไปที่เรือลำหนึ่ง ที่ตกแต่งไปด้วยผ้าสีแดงสวยงาม ราวกับมีงานมงคลอยู่บนเรือลำนั้น แล้วหันมายื่นมือรอให้นางเดินเข้าไป เพื่อที่ได้พยุงนางกับลูกขึ้นเรือ“นี่อย่างไร จะพากำลังจะพาเจ้ากลับบ้าน”ความแปลกใจของฉือฟางอินยิ่งทวีขึ้น เมื่อเดินเข้ามาด้านในเรือแล้วพบว่า ด้านในของเรือลำนี้ได้ถูกจำลอง ให้เหมือนกับงานพิธีสมรสอย่างไรอย่างนั้น“นี่มันอะไรกันเจ้าคะ ทำในนี้ถึงได้...”“ฮูหยิน เมื่อสามปีก่อนที่เราแต่งงานกัน เป็นข้าที่ปฏิบัติกับเจ้าไม่ดี ไม่ให้เกียรติ์เจ้าในฐานะภรรยา แม้แต่เกี้ยวเจ้าสาวดีดี ก็ไม่ได้หาให้เจ้า ในวันนี้ที่ข้าสำนึกผิดแล้ว จึงอยากจะขอแก้ตัวกับเจ้าใหม่ ฮูหยิน ได้โปรดแต่งงานกับข้าอีกครั้งได้หรือไม่ ครั้งนี้ข้าสัญญาด้วยชีวิต ว่าเจ้าจะไม่เสียใจที่ได้แต่งงานกับคนอย่างข้าอีก เหมือนเมื่อสามปีที่แล้วอย่างแน่นอน
“ด้วยนิสัยเดิมของบุตรชายข้าคนนี้ ที่นอกจะไม่เอาไหนแล้ว เขามักจะชอบลักเล็กขโมยน้อย สิ่งของคนที่เขาเคยได้สนทนาด้วยเสมอพะย่ะค่ะ”พรึ่บชวี่ซุนเหลียนขาอ่อนล้มพับลงไปนั่งกับทันที เมื่อนางเห็นพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ประจำตัวของนางอยู่ในมือของฮ่องเต้ พู่ตราสัญลักษณ์นี้ เป็นสิ่งที่ติดตัวนางมาตั้งแต่เด็ก ด้วยความผูกพันกับของสิ่งนี้ ทำให้แม้จะเข้ามาเป็นอนุภรรยาในสกุลชวี่แล้ว นางก็ยังคงห้อยพู่ตราสัญลักษณ์สกุลรุ่ย ไว้กับตัวอยู่ตลอดเวลา ชวี่ซุนเหลียนไม่รู้ว่าตัวเองทำมันหล่นหายไปตอนไหนจนเข้าใจไปว่านางอาจจะทำพู่นั่น ตอนที่ไปอารามหวั่งสุ่ยกับจินหู่อดีตสาวใช้ ที่ถูกนางผลักตกเขาไปเมื่อสามปีก่อน เพราะจินหู่เป็นคนเดียวที่อยู่กับนาง ทั้งตอนวางแผนและตอนที่นางไปพบกับหลี่หมิงด้วยตัวเอง ชวี่ซุนเหลียนจึงจำต้องกำจัดนาง ตามคำสั่งของกู้ชินอ๋อง เพราะไม่อยากเกิดปัญหาตามมาในอนาคต หลังจากผ่านคืนนั้นไปไม่นาน ขณะที่ชวี่เจียงโหลวนำทัพไปทำสงคราม ชวี่ซุนเหลียนจึงออกอุบายกับจินหู่ ว่าตัวนางนั้นอยากจะไปสงบจิตใจ จากเรื่องที่พึ่งผ่านพ้นไป ด้วยการไปไหว้พระที่อารามหวั่งสุ่ยและต้องการไ
เกิดเสียงฮือฮาไปทั่วทุกสารทิศ ว่าเหตุใดชวี่เจียงโหลวถึงได้มาขออย่าขาดกับชวี่ซุนเหลียน ต่อหน้าธารกำนัลในวันสำคัญเช่นนี้ แม้แต่กู้ชินอ๋องเองก็ต้องถึงกับลุกขึ้นจากที่นั่ง เพราะไม่ได้คาดคิดถึงการกระทำเช่นนี้ ของชวี่เจียงโหลวมาก่อน“ท่านพี่ นี่มันอะไรกันเจ้าคะ”“นั่นสิแม่ทัพชวี่ วันดีๆ แบบนี้ เหตุใดเจ้าถึงขออย่ากับนางต่อหน้าข้าและคนอื่นๆ”“นั่นก็เพราะว่าข้า มิอาจอยู่ร่วมชายคา กับสตรีชั่วช้าคนนี้ได้อีกต่อไปแล้วพะย่ะค่ะ”“เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน”“พระองค์คงจะไม่รู้ว่าเมื่อสามปีที่แล้ว มีสิ่งใดเกิดขึ้นในจวนของกระหม่อมบ้าง”ทันทีที่ได้ยินชวี่เจียงโหลวกล่าวเช่นนั้น กู้ชินอ๋องและชวี่ซุนเหลียนต่างก็ตาเบิกกว้าง พร้อมกับหันหน้ามาสบตากัน เรื่องเมื่อสามปีที่แล้วจะเป็นเรื่องใดได้อีก หากไม่ใช่เรื่องที่ชวี่ซุนเหลียนวางแผน แย่งคู่หมั้นของฉือฟางอินมาให้บุตรสาว และหมายจะให้คนงานหอนางโลม เข้ามาทำมิดีร้ายกับฉือฟางอินถึงในเรือนของนาง“กระหม่อมสู้อดทน สืบหาเบาะแสผู้ที่อยู่เบื้องหลังมาตลอด จนได
“แล้วเขาให้ความร่วมมือหรือไม่ขอรับ”“ย่อมต้องเป็นอย่างนั้น”หลังจากที่รู้ให้คนพาตัวหลี่เฉินมาที่ค่ายทหาร ชวี่เจียงโหลวแสดงตนต่อหน้าเขา พร้อมทั้งบอกให้เขาได้รู้ว่า คุณหนูที่สตรีชนชั้นสูงนิรนามคนนั้น จ้างวานให้เขามาทำมิดีมิร้ายคือบุตรสาวของตน เท่านั้นก็ทำให้ลี่เฉินตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า เพราะความโง่เขลา“ท่านแม่ทัพชวี่ เรื่องนี้ ข ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ ป เป็น เป็นบุตรชายของข้า ที่แอบรับงานนั้นด้วยตัวเอง ข้าไม่เกี่ยวนะขอรับ”“คนตายไปแล้วจะพูดอะไรได้ หากเจ้าบอกว่าเจ้าไม่เกี่ยวกับข้องเรื่องนี้ แต่ทันทีที่พบของพวกนี้ เจ้ากลับจะนำไปทำลาย นี่หรือที่เจ้าบอกว่าไม่เกี่ยวข้อง”“ม ไม่ใช่ ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับท่านแม่ทัพ ที่ข้าคิดจะเอาของพวกนี้ไปทิ้ง ก็เพราะว่าข้ากลัวข้า กับคนในครอบครัวที่เหลือที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ต้องโดนหางเลขไปด้วยขอรับ”“งั้นก็แสดงว่าเจ้ารู้แล้วอย่านั้นหรือ ว่าของสองอย่างนี้เป็นของใคร”“ยังไม่ทราบแน่ชัดขอรับ แต่คนผู้นั้นน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับสกุล
“อื้อ แอ้! คิกๆ”“ฮ่าๆ เฉียนเอ๋อร์ ขาเจ้าเล็กแค่นี้ แต่พละกำลังมากเหลือเกิน แม่เจ้าคงเลี้ยงเจ้ามาอย่างดีเลยสินะ”ชวี่เจียงโหลวกล่าวอย่างอารมณ์ดี ขณะที่กำลังให้หลานชาย ใช้ขาอวบทั้งสองข้าง ยันหน้าขากระโดดเด้งขึ้นเด้งลง ส่งเสียหัวเราะคิกคักด้วยความสนุกสนาน โดยมีฉือฟางอินและฉือหย่งหลิง นั่งอยู่ใกล้ๆ คอยมองสองตาหลาน เล่นด้วยกันด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม หลังจากทานมื้อค่ำด้วยกันแล้ว ชวี่เจียงโหลวได้ชักชวนบุตรสาวและบุตรเขย มานั่งพูดคุยถามสารทุกข์ตลอดหลายปีที่ไม่ได้พบหน้ากัน ซึ่งแน่นอนว่าการพูดคุยในครั้งนี้นั้น ไม่มีอนุเหลียนตามมาด้วย“เฉียนเอ๋อร์ เจ้าเล่นเบาๆ หน่อยเถิด เดี๋ยวท่านตาของเจ้าจะเจ็บเอาได้”“ไม่เป็นไรๆ ปล่อยให้เขาได้เล่นตามใจเถิด แรงเพียงเท่านี้ จะทำข้ากับได้อย่างไร เฉียนเอ๋อร์เจ้าเหนื่อยหรือยัง ให้ตาจับเจ้าโยนเล่นบนอากาศดีหรือไม่”“อื้อ แอ๊!”แม้จะพบหน้ากันเป็นวันแรก แต่สองตาหลานก็ดูจะเข้ากันดีจนคนเป็นแม่อย่างฉือฟางอินอดที่จะแปลกใจไม่ได้ เพราะที่ผ่านมา เฉียนเอ๋อร์ไม่ค่อยได้พบเจอคนอื่
“เชิญพวกเจ้าพักผ่อนกันให้หายเหนื่อยเถิด ขาดเหลืออะไรก็บอกคนรับใช้ เดี๋ยวสักครู่ข้าจะต้องเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้คงไม่ได้อยู่ถามสารทุกข์สุขดิบของพวกเจ้า เอาไว้พบกันตอนค่ำก็แล้วกัน”“เจ้าค่ะท่านพ่อ ท่านไปเตรียมตัวเถิดเจ้าค่ะ ไม่ต้องห่วงทางนี้”หลังจากที่พาบุตรสาวและบุตรเขย มาส่งยังเรือนเก่าของฉือฟางอิน ที่ชวี่เจียงโหลวยังคงให้คนรับใช้เข้ามาทำความสะอาดทุกวัน เหมือนเมื่อครั้งที่บุตรสาวอาศัยอยู่ที่นี่ เจ้าตัวก็ต้องรีบเดินทางไปยังวังหลวงเพื่อส่งรายงาน สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการทำศึกรวบรวมดินแดน ที่ชวี่เจียงโหลวเป็นผู้นำทัพ และสามารถคว้าชัยชนะมาได้เมื่อหลายเดือนก่อนด้านฉือฟางอินที่พึ่งจะตกปากรับคำที่บิดาไป แต่นางกลับมีความคิดจะออกไปข้างนอก แทนที่จะพักผ่อนตามที่บิดาบอก เหตุเห็นว่าไหนๆ ตนเองก็เดินทางมาถึงจวนสกุลชวี่ เร็วกว่าเวลาที่คำนวณเอาไว้มาก ประกอบกับที่นางไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้า จากการเดินทางที่ผ่านมาเลยสักนิด นางจึงอยากจะเดินทางไปเยี่ยมชมกิจการเลี้ยงหม่อน ที่เคยวางแผนว่าจะไปที่นั่นใน หลังจากผ่านไปแล้วสองถึงสามวัน หลังจากที่ถึงจวนสกุลชวี