ร่างกายของเสี่ยวเหลียนดีขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน หญิงสาวรู้สึกตัวในเช้าวันถัดมาเป็นเวลาเดียวกันกับที่เจียอินเข้ามาในห้องพอดี อีกฝ่ายมองนางแวบเดียวแล้วนั่งลงบนโต๊ะรินน้ำชาจิบ
“เอ่อ หลินเฟยไปไหนหรือ”
“ล้างหน้าล้างตา”
นางพยักหน้ารับแล้วเงียบไปอย่างทำตัวไม่ถูก เพราะไม่เคยพูดคุยหรืออยู่ตามลำพังกับศิษย์พี่ของหลินเฟยมาก่อน
เจียอินเองก็ไม่เอ่ยสิ่งใดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นลอยๆ พลางจิบชา
“เป็นเพียงภูตรับใช้ แต่กลับบนนอนเตียงอย่างสบาย ปล่อยให้เทพเซียนต้องนั่งหลังขดหลังแข็ง ทั้งที่ออกไปตะลอนข้างนอกมาหลายชั่วยาม”
เสี่ยวเหลียนรู้ตัวในทันใดว่าถูกตำหนิ เพราะตนยังนั่งบนเตียง ร่างเล็กขยับลงจากเตียงและหลินเฟยก็เข้ามาพอดี
“อ้าว ฟื้นแล้วหรือเสี่ยวเหลียน”
“อื้อ”
“ไปล้างหน้าสิจะได้สดชื่นขึ้น ข้าพบท่านขุนพลข้างนอก เห็นบอกว่าได้เรื่องแล้ว หลังทานข้าวเช้ากันแล้วค่อยมาวางแผนกันว่าจะทำอย่างไรต่อไป”
เมื่อสหายสนิทบอกเช่นนั้นเสี่ยวเหลียนก็รีบพยักหน้าแล้วไปทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยโดยเร็ว เพราะมีเพียงตนที่ไม่ได้ออกไปช่วยคนอื่นๆ เมื่อวาน เกรงว่าจะมีคนไม่พอใจ
“เจ้าให้ความสำคัญกับภูตรับใช้เกินไปแล้ว”
เสียงของเจียอินทำให้เสี่ยวเหลียนหยุดลงทั้งที่เพิ่งก้าวออกจากห้อง
“นางเป็นสหายข้า”
“หึ สหาย เจ้ายอมทนนั่งพิงหัวเตียงหลับ ให้นางนอนบนเตียงอย่างนี้ทุกคืนหรือ”
หลินเฟยเงียบไม่ตอบ หากเป็นเสียงของเจียอินที่พูดต่อ
“แต่ข้าจะไม่ยอมทนให้มีครั้งต่อไปแน่ อย่าลืมว่าอย่างไรข้าก็เป็นศิษย์พี่ของเจ้า ส่วนภูตดอกบัวนั่น ข้าไม่จำเป็นต้องเสียสละให้นาง”
เสี่ยวเหลียนก้มหน้าเดินต่อไปให้ไกลจากห้องนี้ นางรู้แก่ใจว่าหลินเฟยผูกพันและเป็นห่วงตนมาก แต่หากเจ้าตัวต้องถูกศิษย์พี่ตำหนิ นางก็ไม่สบายใจ ต่อไปคงไม่กล้านอนบนเตียงอีก
“เฉิงเคอปลอมตัวเป็นบุตรชายของนายอำเภอ อีกไม่กี่วันจะเข้าพิธีแต่งงานกับบุตรสาวของคหบดีที่รวยที่สุดของเมืองนี้”
ห้าวอี้บอกเมื่อทั้งหมดมารวมตัวกันยังห้องของฝ่ายชายที่พักด้วยกัน
“เมิ่งจือหยวนติดการพนัน วันๆ เอาแต่เข้าบ่อน นิสัยไม่เอาถ่าน เฉิงเคอคงจัดการกับเขาไปแล้ว”
“ท่านรู้แล้วว่าเขาคือผู้ใด ไยไม่จับตัวเขามาเสียเลยเล่า”
หลี่ไห่ฉินถาม
“ข้าเองก็อยากทำเช่นนั้น แต่ไม่ต้องการให้เขาลงมือกับผู้ใดอีก คนบริสุทธิ์ต้องมาล้มตายเพราะฝีมือเหล่าเทพเซียน น่าขายหน้านัก ข้าคิดว่าเราควรปล่อยเวลาให้เขาวางใจไปสักหน่อย ว่าไม่มีผู้ใดตามตัวเจอแล้ว คิดว่าตัวเองจะได้เสวยสุข อยู่อย่างสุขสบายมีทรัพย์สินเงินทองใช้ในโลกมนุษย์ไม่ขาดมือ แล้วยังสามารถฝึกวิชาในคัมภีร์ได้อย่างเงียบๆ โดยไม่มีผู้ใดรู้เห็น”
เทียนเหวินฟังแล้วก็เห็นด้วยกับห้าวอี้
“ปล่อยเวลานานไป หากเฉิงเคอฝึกวิชาสำเร็จเล่า”
หลี่ไห่ฉินยังไม่วางใจ และไม่คิดว่าแผนนี้จะออกมาดี ทว่าห้าวอี้กลับยิ้มมุมปาก
“คัมภีร์จันทราใช่จะฝึกสำเร็จง่ายดาย หากปราณเซียนยังไม่ถึงขั้น อย่างน้อยศิษย์น้องของเจ้าก็ต้องใช้เวลาอีกหลายหมื่นปี หรือไม่อาจหลายแสนปี”
นี่เป็นสิ่งที่น้อยคนจะรู้ นับประสาอะไรกับเทพเซียนรุ่นหลังที่เคยได้รับฟังเพียงตำนานของคัมภีร์จันทรา
ได้รู้เช่นนั้นหลี่ไห่ฉินเองก็อึ้งไปเหมือนกัน
“และข้าก็คิดไว้แล้วว่า หากจะเข้าถึงตัวเฉิงเคอได้อย่างแนบเนียน โดยที่ไม่ทำให้เขานึกสงสัยหรือเอะใจได้อย่างไร”
ห้าวอี้เอ่ยด้วยความมั่นอกมั่นใจ
“คืนวันแต่งงาน”
แล้วก็เป็นเทียนเหวินที่เอ่ยต่อ เขาเดาได้ไม่ยากนัก
“แม้ปลอมเป็นผู้คนในจวนของนายอำเภอ เฉิงเคอที่ไม่ได้สนิทสนมคุ้นเคยกับผู้ใดแต่แรกย่อมระวังตัว แต่คืนแต่งงานผู้คนเข้าออกจวนมากมาย และเขาไม่มีเวลาสงสัยผู้ใด เราลักลอบเข้าไปในวันนั้นสะดวกที่สุด”
“ที่ท่านชายพูดมานั้นถูกแล้ว แต่ข้ามีวิธีที่รวดเร็วและง่ายดายมากขึ้นไปอีก”
แต่ละคนต่างก็มองห้าวอี้ด้วยแววตาอยากรู้ว่าอีกฝ่ายมีวิธีใด
“คงต้องรบกวนแม่นางเจียอินในเรื่องนี้”
“ข้าหรือ?”
ขุนพลสวรรค์พยักหน้าก่อนเฉลย
“ผู้ใดจะเข้าถึงตัวเจ้าบ่าวได้มากไปกว่าเจ้าสาว”
ระหว่างรอให้ถึงวันแต่งงานของเมิ่งจือหยวนกับอู๋ชิวอิ่งบุตรสาวของอู๋หย่งฉีคหบดีใหญ่ ห้าวอี้ เทียนเหวินและหลี่ไห่ฉินคอยจับตาดูเฉิงเคออยู่ห่างๆ นอกจวน แม้กลบเกลื่อนปราณเทพเซียนแล้วแต่กันไว้ย่อมดีกว่า ส่วนทางด้านว่าที่เจ้าสาว เจียอิน รวมทั้งหลินเฟยกับเสี่ยวเหลียนก็มาดูลาดเลาเช่นกัน
“นางดูไม่ค่อยอยากแต่งนัก”
หลินเฟยเอ่ยในสิ่งที่ทั้งหมดต่างก็มองออก ทั้งสามอำพรางกายตามติดหญิงสาวอย่างไม่ต้องกังวลใจใดๆ เพราะมนุษย์ย่อมไม่รับรู้ในพลังของเซียน
ใบหน้าสวยจิ้มลิ้มนั้นดูไม่มีความสุขแม้ในยามลองชุดแต่งงานแสนสวย ทว่าผู้เป็นมารดากลับชื่นชมและภาคภูมิใจที่บุตรสาวจะได้แต่งงานกับบุตรชายของนายอำเภอ
“เกิดมาเป็นสตรีก็ยากจะเลือกเส้นทางชีวิตตัวเองได้ อย่างไรก็ต้องตบแต่งกับผู้ที่บิดามารดาเลือกให้และเห็นว่าเหมาะสม”
เจียอินกล่าวพลางยักไหล่
“แต่งกับคนที่ไม่รัก กับการได้ลงเอยกับคนที่รัก แต่เขาไม่รักเรา สิ่งใดเจ็บปวดน้อยกว่ากัน”
ครั้งนี้เหมือนหลินเฟยพึมพำกับตนเอง ทว่าเสี่ยวเหลียนคิดว่าพูดถึงอู๋ชิวอิ่งจึงเอ่ยในสิ่งที่คิด
“หากพวกเราจับเฉิงเคอได้ นางก็ไม่ต้องลงเอยกับคนไม่ดี”
นางไม่เคยมีบิดามารดา และเคยมองหลินเฟยในยามที่ออดอ้อนบุพการี ทั้งพวกท่านก็รักตามใจนาง ด้วยความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่ตนเป็นดอกบัวโดดเดี่ยวเดียวดาย ไม่รู้ว่าหากเป็นตนถูกบังคับให้ต้องแต่งงานไปอยู่กับผู้อื่น จะยินยอมโดยดีหรือบอกบิดามารดาตามตรงว่าไม่อยากแต่ง
ทว่าเป็นครั้งแรกที่เสี่ยวเหลียนรู้สึกว่าการมีเพียงตนเองเท่านั้น นับว่าเป็นเรื่องดีอยู่บ้าง
“ข้าจะจัดการเฉิงเคอในทันทีที่เขาก้าวเข้าห้องหอ”
เจียอินบอกขณะกอดอกมองว่าที่เจ้าสาวผู้น่าสงสาร
ขุนพลสวรรค์ตั้งใจจะให้เจียอินปลอมตัวเป็นอู๋ชิวอิ่งในคืนแต่งงาน หญิงสาวเองก็มั่นใจในฝีมือของตน แม้ห้าวอี้จะบอกว่าเขาจะมาแอบซ่อนตัวอยู่ในห้องหอด้วย
ด้านหลินเฟยกับเสี่ยวเหลียน อีกฝ่ายยังไม่ได้บอกว่าต้องทำสิ่งใดในวันนั้น
=====
เสี่ยวเหลียนน้อยใจที่ตัวเองโดดเดี่ยวมาตลอด ฮือ…สงสารน้อง T^T
ต่างฝ่ายต่างแตะต้องกันและกัน มือกระด้างบีบนวดผิวบางในทุกสัดส่วน มือนุ่มก็เคล้นไปตามกล้ามแน่น ทั้งแขนกำยำ แผงอกกว้าง หน้าท้องแกร่ง รวมถึงต้นขาชายหนุ่มที่แข็งแรงชวนให้ต้องกลืนน้ำลาย ยิ่งยามที่มืออุ่นทาบทับแนบดอกไม้แสนงาม หญิงสาวก็เกาะกุมตัวตนแกร่งร้อนไว้ในมือตนเช่นกันสองหนุ่มสาวแบ่งปันห้วงอารมณ์วาบหวาม เร่งเร้านำพาให้ร่างกายทั้งคู่ค่อยๆ พลุ่งพล่านขึ้น ตาสบตา ขณะที่ต่างก็หอบหนัก เอินเอินรู้สึกได้ว่ามือตนแทบไหม้ทีเดียว อึดใจต่อมาร่างสูงใหญ่จึงขยับมาชิดบดเบียดเรือนกายเสียดสีเร้าใจเปลือกตาบางปิดลงพร้อมครางเสียงหวานข้างใบหูชายหนุ่ม สองแขนเรียวกอดร่างหนา กางกรงเล็บเล็กเกาะเกี่ยวข่วนบางเบาบนแผ่นหลังอีกฝ่าย ทั้งฟันเล็กยังกัดใบหูชายหนุ่มยั่วเย้า“อา คนดีของข้า เจ้าทำให้ข้าร้อนยิ่งกว่าร้อนแล้วในตอนนี้”เทียนเหวินเสียวสยิวไปทั้งกาย เพราะร่างที่แนบชนิดทั้งหอมกรุ่นและนุ่มนิ่ม ทั้งเจ้าตัวยังรู้ดีว่าต้องปลุกเร้าตนเช่นไร นานวันที่ได้ร่วมรัก เอินเอินสั่งสมประสบการณ์มาอย่างโชกโชน เขากระตุ้นนาง นางก็กระตุ้นกลับไม่แพ้กัน หากนั่นก็ทำให้ชายหนุ่มยิ่งพอใจในคนรักของตน เพราะหญิงสาวเร่าร้อนได้ถึงเพียงนี้ก็เพื่อ
ณ ศาลาริมสระน้ำตำหนักเทียนหลันอีกหมื่นปีต่อมาปลายนิ้วเรียวงามกรีดไปตามเส้นสายบรรเลงพิณตามที่ผู้เป็นเจ้าของตำหนักชี้แนะอย่างช้าๆ ด้วยความตั้งใจ ดวงหน้างามมีความจริงจังจนคิ้วขมวดมุ่น ริมฝีปากอิ่มเม้มจดจ่อร่างสูงใหญ่ที่เพิ่งก้าวเข้ามาหยุดยืนกอดอกพิงต้นไม้ใหญ่ห่างออกมา ทอดสายตามองภาพที่คล้ายตนเคยฝันถึง ทว่าในเวลานั้นเทพธดาจันทราผิงเชี่ยนบรรเลงพิณได้ไพเราะยิ่ง ขณะที่เอินเอินไม่เคยแตะต้องมาก่อน เวลานี้หญิงสาวกำลังเรียนรู้ในสิ่งที่มารดากับท่านยายของเขาสอนสั่งเอินเอินต้องฝึกฝนตนให้เหมาะสมกับที่กำลังจะเป็นสตรีที่เคียงข้างทายาทสวรรค์ ด้วยอีกไม่นานองค์จักรพรรดิสวรรค์จะแต่งตั้งเทียนเหวินขึ้นเป็นรัชทายาท เนื่องจากชายหนุ่มอุทิศตนในหน้าที่ของตนมาตลอดหมื่นปีมานี้จนกระทั่งได้ตำแหน่งหนึ่งในแม่ทัพสวรรค์ นับว่าเป็นเวลาเหมาะสมแล้วที่ชายหนุ่มจะเข้าไปช่วยงานราชกิจของเทพสงครามกับองค์จักรพรรดิเต็มตัวและงานอภิเษกขององค์รัชทายาทก็จะตามมา แม้จะไม่เร็ววันนี้ก็ตาม เพราะเอินเอินสำเร็จเซียนขั้นสูงแล้ว หญิงสาวจึงฝึกหัดสิ่งที่สตรีชาววังสรรค์ต้องสามารถทำได้ไปพลางยืนมองจนพอใจแล้วเทียนเหวินก็ก้าวเข้าไปที่ศาลา และผู้
“ข้าต้องการเจ้า”ชุดบางลอยเหนือผิวน้ำแทบไม่ปกปิดร่างกายงดงาม เทียน เหวินเองก็ใส่เพียงกางเกงตัวเดียว สองเรือนกายแทบเปลือยเปล่า เมื่อโอบกอดเสียดสี ความรุ่มร้อนย่อมก่อเกิด แรงบดเคล้าจากตัวตนเบียดสะโพกอวบ มือกร้านกระด้างวนเวียนเหนือเกสรอ่อนบางทำเอาร่างอรชรอ่อนระทวยแทบทรงกายไม่ได้เพียงอึดใจต่อมาแรงแทรกลึกก็ล่วงล้ำอย่างรวดเร็ว เสียงหวานครางแผ่วอย่างหมดแรงต้านทาน จิตใจหญิงสาวหวั่นไหวไปพร้อมกับหัวใจที่เต้นระทึกกับสถานที่อันแปลกใหม่ ได้เพียงรับกายแกร่งไว้ยามอีกฝ่ายส่งตัวตนดุนดันแนบสะโพก สองมือหนาย้ายมาโอบตระกองปทุมถันคู่งามราวโอบร่างเล็กไว้กลายๆทว่ายิ่งเบียดเร้าหญิงสาวยิ่งขาอ่อนแรงจนตัวลอย ชายหนุ่มจึงกอดเอวเล็กไว้แล้วพาไปยืนชิดโขดหินก้อนใหญ่ ให้เจ้าตัวได้เกาะพยุงกาย ก่อนปลายนิ้วแกร่งจะกลับมาระรานเกสรดอกไม้แสนงาม บดขยี้พร้อมแรงรักจากสะโพกหนาภายในกายเอินเอินกำลังถูกพายุอารมณ์ร้อนแรงบ้าคลั่งพัดโหมอยู่ภายใน ความเสียวสยิวพุ่งสูงละลิ่วรวดเร็วจนกระตุกรุนแรงกะทันหัน“อื้อ”หญิงสาวครวญครางเสียงพร่าด้วยสุดจะทานทน เรือนร่างงามสั่นรัวพร้อมหอบหนัก เอนอิงพิงหลังกับแผ่นอกหนาขณะเดียวกันนั้นเทียนเหวินปลดชุ
สองร้อยปีในดินแดนมนุษย์ของเทียนเหวินกับเอินเอินผ่านไป ทว่าความหวานชื่นของคู่สามีภรรยากลับไม่ลดลง ทั้งสองดำรงชีวิตด้วยการลงไปขายของป่า และไม่ได้ต้องการทรัพย์สมบัติเงินทองมากไปกว่านี้ พอใจที่จะอยู่เพียงบนภูเขา ท่ามกลางธรรมชาติอันเงียบสงบแต่การที่ลงไปในตัวเมืองก็จำต้องพานพบผู้คน ในบางครั้งความงดงามของเอินเอินก็เป็นปัญหา เมื่อขายผักผลไม้ป่าตามลำพัง ในยามที่เทียนเหวินไปซื้ออาหารหรือข้าวของบางอย่างเพราะเขาไม่ต้องการให้นางลำบากดอกไม้งามย่อมมีภมรเข้ามาดอมดม เอินเอินก็ย่อมมีบุรุษเข้ามาเกี้ยวพา“แม่นาง เจ้าจะลำบากอยู่กับสามีที่ยากจนไปไย นายท่านของข้ายินดีรับเจ้าเป็นอนุ พาไปอยู่ในจวนอย่างสุขสบาย รับรองว่าเจ้าไม่ต้องนั่งตากแดดขายของป่าทั้งวันให้เหนื่อยยากเช่นนี้”“ใช่ นายท่านของพวกข้าสามารถมอบให้เจ้าได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเครื่องประทินโฉม หรือชุดสวยงาม เจ้าเพียงแต่งเนื้อแต่งตัวให้งดงาม ยิ้มหวานรอปรนนิบัติพัดวียามนายท่านกลับมาที่จวนก็เพียงเท่านั้น”บางครั้งผู้ที่เข้ามาถามไถ่พูดคุยก็ไม่รู้ว่านางสามีแล้ว ด้วยกาลเวลาที่ผ่านไปนาน หากก็มีบ้างที่รู้แก่ใจ ทว่ายังไม่วายตามตอแย ภูเขาที่เทียนเหวินกับเอินเอิน
“ข้าอยากแตะต้องเจ้า”“สุดแล้วแต่ท่านต้องการ ข้าไม่ได้ห้าม”บอกแล้วเอินเอินก็กลับมาจูบซ้ำเหนือริมฝีปากได้รูป ครั้งนี้ปลายลิ้นเล็กไล้เย้ายวนตามมาด้วย แน่นอนว่าชายหนุ่มย่อมต้องเปิดรับหญิงสาว ทั้งสองรวบรัดเกี่ยวกระหวัดปลายลิ้นอย่างเร่าร้อน ขณะที่มือหนาเริ่มเคลื่อนไล้ไปตามเนื้อตัวหญิงสาว สัดส่วนงดงามกับผิวเนียนน่าสัมผัสทำให้เขาไม่อาจอยู่นิ่งได้ฝ่ามือกระด้างไต่ข้างเอวบางกับสะโพกอวบ ส่วนอีกข้างเคล้าคลึงหน้าอกหน้าใจนุ่มหยุ่น เอินเอินเริ่มกายอ่อยระทวยกับความเร่าร้อนที่ตนเป็นฝ่ายจุดชนวน และชายหนุ่มสานต่ออย่างเร้าใจ หญิงสาวทรุดกายลงช้าๆ พร้อมมือบางก็ลูบไล้แผงอกหนาขณะริมฝีปากอิ่มขยับลงจูบคางแกร่ง แตะแผ่วไซ้ลำคอหนาและได้ยินเสียงเครางเข้มในลำคอเทียนเหวินปลายนิ้วเรียวเกลี่ยสะกดเหนือยอดอกที่แข็งเป็นไตของชายหนุ่ม ขณะที่เขายังบีบเคล้นหน้าอกตน มือบางอีกข้างวางยันต้นขาแกร่งเพื่อพยุงกาย โดยลืมคิดไปว่านั่นเป็นการกระทำสุดล่อแหลม ยิ่งทำให้เจ้าของร่างสูงใหญ่ถอนหายใจแรง ทว่าที่ทำเอาเขาต้องครางเสียงเข้มต่ำก็เพราะริมฝีปากนิ่มจูบเม้มยอดอกสีเข้ม“อืม”เหมือนเอินเอินจะค่อยๆ รับรู้ได้ว่าตนต้องทำอย่างไรให้ชายหนุ่มพ
หลังจากช่วยกันขนย้ายข้าวของมายังกระท่อม โดยที่เทียน เหวินยกของหนักเสียเป็นส่วนใหญ่จนเสร็จ ทั้งยังใจดีตักน้ำมาให้เอินเอินอาบในส่วนที่เขาล้อมไม้ไผ่กั้นแบ่งด้านหลัง แม้นางจะเกรงใจบอกว่าไปอาบที่น้ำตกเช่นเดิมได้ หากชายหนุ่มก็ยืนยัน“ข้าตั้งใจทำไว้ให้เจ้า...”ใบหน้าขาวคมขยับมาใกล้พร้อมส่งสายตาวาววามพร้อมเอ่ยเสียงกระเส่าทำเอาใจสาวหวิว“กับข้าลงอาบในถังด้วยกัน”หลังปลายนิ้วแกร่งไล้แก้มนวล ทว่าสีหน้าแววตากลับเปลี่ยนไปเป็นแสนเสียดายแทน“แต่วันนี้เจ้าอาบคนเดียวเถิด ข้ายังต้องไปหาอาหารด้วย คงอาบจากที่น้ำตกมาเลย”เพราะวันนี้ค่อนข้างวุ่นวาย เร่งมือสร้างกระท่อมเสร็จ พาเอินเอินมาที่นี่แล้วก็ขนของ ชายหนุ่มจึงยังไม่ได้จัดการเรื่องอาหารเย็น“ลำบากท่านแล้ว หรือข้าไปช่วยท่านดีกว่า”“อย่าเลย เจ้าเหนื่อยขนของขึ้นลงทางลาดชันหลายรอบแล้ว อาบน้ำพักให้สบายใจเถิด”“ท่านเหนื่อยกว่าข้าเสียอีก”“เถิดน่า หากข้าอยู่ด้วยเจ้าคงไม่ได้อาบน้ำเสร็จง่ายๆ”สุดท้ายเอินเอินก็เชื่อฟัง เพราะหาคำมาแย้งไม่ได้ จำต้องพยักหน้ารับอย่างเขินอายค่ำคืนมาเยือนหลังจากทานอาหารมื้อเย็น เทียนเหวินก็นอนเอนกายรับลมเย็นที่ระเบียง สองมือยกขึ้นรองใ