“ข้าต้องขอบใจเจ้ามากนะลี่มี่ หากมิได้เจ้าเอ่ยเตือนในวันนั้น ข้าคงต้องตายเป็นผีเฝ้าป่าไปเสียแล้ว” กวนอู๋ท่งเอ่ยขอบใจลี่มี่ยาวเหยียด ด้วยเพราะเมื่อวานที่อู๋ท่งขึ้นเขาไปเก็บเผือกมัน มีงูพิษตัวใหญ่เท่าแขน พุ่งเข้ามากัดน่องของเขา ดีที่เขาพันผ้าไว้ที่น่องตามที่ลี่มี่บอก จึงช่วยให้รอดพ้นมาได้
“ขอบใจเจ้ามาก นี่เป็นของฝากจากครอบครัวข้า เจ้ารับไว้เถิด” ท่านลุงกวนผู้ใหญ่บ้าน ยกตะกร้าที่เต็มไปด้วยเนื้อหมู เนื้อไก่ กุ้ง และปลามาวางตรงหน้าสามยายหลาน
“หากข้าช่วยได้ ข้าก็ยินดี แต่ข้ามิรับของหรอกเจ้าค่ะ”
“รับไว้เถิดมี่เอ๋อร์ พวกข้าเต็มใจยิ่งนัก หากเจ้ามิรับไว้ข้าคงรู้สึกติดค้างในใจไปชั่วชีวิต” ท่านป้ากวนเอ่ยเสริมพลางหยิบขนมที่นางทำเองมายื่นให้ลี่หมิง เด็กชายเหลือบมองไปทางท่านยายและพี่สาวราวกับต้องการขออนุญาต เมื่อเห็นว่าทั้งสองมิได้เอ่ยห้าม จึงส่งมือเล็กๆ ไปถือขนมไว้
“ขอบพระคุณขอยับ”
“เช่นนั้น ข้าก็ขอรับไว้ ขอบพระคุณเจ้าค่ะ” อยู่พูดคุยกันได้ไม่นาน ครอบครัวผู้ใหญ่บ้านก็ขอตัวกลับเรือนไป จึงเหลือเพียงสามคนยายหลานที่นั่งอยู่ที่เดิม
“ยสดียิ่ง อื้มมม” ลี่หมิงนำขนมเข้าปากคำแล้วคำเล่า ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่เรือนสกุลเหมา เด็กน้อยก็ทานอาหารได้มากขึ้น ทั้งยังหิวบ่อย จนบัดนี้ร่างผอมบางเริ่มดูมีน้ำมีนวลขึ้น แก้มขาวกลมโตขึ้นมาก จนผู้เป็นพี่สาวอดไม่ได้ที่จะกดจุมพิตลงไปบนแก้มเนียนทั้งสอง
“อย่ากินให้มากนักเล่า ประเดี๋ยวจะมิหิวข้าว” เหมาไป่เอ่ยเตือนเด็กชายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ขอยับ หากพี่มี่เอ๋อร์ช่วยคนได้มากคงจะดี น้องจะได้กินขนมอีก คิกๆ” คำพูดเรื่อยเปื่อยของเด็กชายทำให้หญิงชราและเด็กสาวหันมองหน้ากัน โดยมิได้นัดหมาย
“นั่นสิเจ้าคะ หากว่าข้ารู้นิมิตกาลข้างหน้าเช่นนี้ ก็สามารถนำไปช่วยคนได้ ไม่แน่ว่าเราอาจจะได้เงินจากพวกเขาด้วยนะเจ้าคะ” ลี่มี่ยกยิ้มขึ้นเต็มใบหน้า เหมาไป่เมื่อลองคิดตามสิ่งที่หลานว่าก็พยักหน้าเห็นด้วย หากว่าลี่มี่สามารถช่วยเหลือผู้คนได้ เช่นเดียวกับที่ช่วยกวนอู๋ท่งคงจะดีไม่น้อย แต่เมื่อนึกถึงเรื่องเงินทอง หญิงชรากลับต้องนิ่งคิดชั่วขณะ
“แล้วคนอื่น เขาจะมิกล่าวว่าเราหลอกลวงชาวบ้านหรือ”
“หากเราช่วยพวกเขาได้ ก็มิถือเป็นเรื่องหลอกลวงนะเจ้าคะ อย่างพี่อู๋ท่ง หากว่าเขามิได้ทำตามที่ข้าบอก ไม่แน่ว่าอาจจะถูกพิษงู จนถึงแก่ชีวิตได้ ใช้เงินเพียงเล็กน้อยแลกกับชีวิตก็ถือว่าคุ้มค่านะเจ้าคะ” ลี่มี่คิดตามหลักเหตุและผล ความสามารถที่นางมีบัดนี้ สามารถนำไปช่วยเหลือผู้คนได้ แต่ทว่าจะให้นางทำโดยมิหวังผลตอบแทน แล้วนางกับครอบครัวจะกินอยู่กันอย่างไร ในเมื่อนางใช้ความสามารถแลกกับเงินทอง เช่นนี้จะว่านางหลอกลวงมิได้
“ก็จริงดังที่เจ้าว่า แต่เรื่องภาพนิมิตที่เจ้าเห็น ยังไม่แน่ชัดว่าจะทำอย่างไรให้รับรู้ได้ เรื่องนี้เราคงต้องดูกันไปเรื่อยๆ ก่อน”
“เจ้าค่ะ แต่ที่แน่ชัดคือ การไปที่สระมรกตแห่งนั้น ทำให้ข้าเห็นภาพนิมิตในกาลข้างหน้าได้ ข้าคิดว่าจะต้องเป็นเพราะดอกบัวและสระมรกตนั้นเป็นแน่”
“อืม ยายเองก็คิดเช่นนั้น”
“น้องเองก็คิดเช่นนั้นขอยับ”
“ฮ่าๆ รู้เรื่องกับเขาด้วยหรือ หืม หืม” ลี่มี่มันเขี้ยวน้องชายจนต้องลงโทษ โดยการแย่งกัดขนมในมือน้องชายกิน เรือนสกุลเหมาจึงเริ่มเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะครึกครื้น
“ระวังตัวด้วยนะมี่เอ๋อร์ ดูแลน้องให้ดีเล่า”
“เจ้าค่ะท่านยาย” วันนี้ลี่มี่ตั้งใจจะไปซื้ออาภรณ์มาใส่ในช่วงฤดูหนาว ทั้งยังจะออกไปทดลองว่าต้องทำอย่างไรจึงจะเห็นภาพนิมิต หากว่านางจะทำเป็นอาชีพ อย่างไรก็ต้องรู้ให้ได้ว่าเงื่อนไขที่จะทำให้เกิดภาพนิมิตนั้นมีอันใดบ้าง
“ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดที่ทำให้ข้ามีนิมิต ขอช่วยให้ข้ารับรู้ทีเถิดว่าทำอย่างไรจึงจะเห็นภาพนิมิตเหล่านั้น” ลี่มี่หลับตาตั้งจิตภาวนาอยู่หน้าเรือน สองมือประสานกันไว้กลางอก จิตใจตั้งมั่นจนน้องชายที่มองอยู่ถึงกลับต้องรีบทำตาม หากมีผู้ใดมาพบเห็นภาพของสองพี่น้องยืนภาวนาอยู่หน้าเรือนจะต้องกลั้นขำมิได้เป็นแน่
“ไปกันเถิดอาหมิง วันนี้พี่จะพาเจ้าไปซื้อถังหูลู่ดีหรือไม่”
“ดีขอยับ น้องขอสามไม้” ลี่มี่มองน้องชายด้วยสายตาขบขัน มือบางจับจูงมือน้องชาย แต่ทันใดนั้น…
เฮือก!
“พี่มี่เอ๋อร์”
“คิๆ พี่เห็นเจ้าทำถังหูลู่ตกพื้น ฮ่าๆ”
“ห๊า!!! น้อง น้องจะถือดีๆ ถือแน่นๆ ขอยับ ไม่ตกแน่นอน”
ท่าทางระมัดระวังของน้องชายทำให้ลี่มี่หัวเราะออกมาเสียงดัง มือเล็กกำก้านไม้ถังหูลู่แน่น สองขาค่อยๆ ก้าวเดิน เพราะกลัวว่าขนมของตนเองจะตก แต่เหมือนสวรรค์กลั่นแกล้ง เพราะยังไม่ทันที่สองพี่น้องจะได้เดินออกห่างร้านถังหูลู่ กลับมีเด็กชายร่างสมส่วนวัยประมาณ 5 หนาว วิ่งมาชนลี่หมิงจนถังหูลู่ที่อยู่ในมือน้อยตกเกลื่อนเต็มพื้น
ลี่หมิงมองไปที่ถังหูลู่บนพื้นดินอย่างเศร้าสร้อย นัยน์ตาสั่นระริก น้ำสีใสเริ่มไหลมาคลอที่หน่วยตา มิเพียงเท่านั้นปากแดงยังเริ่มเบะคว่ำอย่างน่าสงสาร
“เดินไม่ดูทาง ชนข้าแล้วเห็นหรือไม่” เด็กชายร่างสมส่วนเอ่ยขึ้นราวกับว่าเป็นลี่หมิงที่กระทำผิด
“เจ้าเด็กน้อยผู้นี้! เป็นเจ้าที่มาชนน้องชายข้าจนขนมของเขาตก ยังมิเอ่ยปากขออภัยอีก” ลี่มี่เอ่ยตักเตือนเด็กชายตรงหน้า ดูจากเสื้อผ้าการแต่งกายแล้ว คงจะเป็นคุณชายตระกูลใหญ่ มิแปลกที่จะหยิ่งผยองเช่นนี้
“นี่เจ้า! มิรู้หรือว่าข้าเป็นผู้ใด” เด็กชายยกมือขึ้นเท้าสะเอวด้วยสีหน้ามิพอใจ
“มิรู้ แล้วก็มิอยากรู้ด้วย” ลี่มี่เองก็มิคิดจะยอมยกมือเท้าสะเอว เลียนแบบเด็กตรงหน้า
“ข้าจะบอกทหารมาลากเจ้าออกจากตลาด คอยดู”
“ฮ่าๆ เจ้าเป็นเจ้าเมืองหรือไร”
“ก็ข้า-”
“ฮึก ฮื่อ ฮื่อ” เสียงสะอึกสะอื้นเบาๆ ของลี่หมิง ทำให้เด็กชายตรงหน้าชะงักไปชั่วครู่ สีหน้าประดักประเดิดของคุณชายน้อยตรงหน้าทำให้ลี่มี่ขำออกมาเบาๆ
คงจะรู้สึกผิดอยู่สินะ เอาเลยอาหมิงร้องต่อไปอย่าพึ่งหยุด
“งะ เงียบนะ”
“ฮื่อ ฮื่อ ฮื่อออออ” นอกจะไม่เงียบแล้ว ลี่หมิงยังร้องไห้เสียงดังกว่าเดิม
“เงียบเสีย ข้าจะซื้อให้ใหม่”
“ฮื่อ~”
“ขะ ข้าซื้อให้ใหม่สี่ไม้…”
“ฮึก”
“ห้าไม้เลยก็ได้ ห้าไม้!”
“จริงหยือ” ลี่หมิงปาดน้ำตา เมื่อได้ยินว่าจะได้ถังหูลู่อันใหม่ถึงห้าไม้ ตากลมมองไปยังคนใจดีที่จะซื้อถังหูลู่ให้อย่างคาดหวัง
เมื่อเห็นว่าเด็กแก้มอ้วนตรงหน้า หยุดร้องไห้แล้ว คุณชายน้อยจึงเดินไปซื้อถังหูลู่มาห้าไม้ตามที่ได้สัญญาเอาไว้
“เอานี่”
“ขอบพระคุณขอยับ คุณชาย…”
“โจวหวังเยี่ยน นามข้า” ยังไม่ทันที่ลี่มี่และลี่หมิงจะเอ่ยสิ่งใดต่อ โจวหวังเยี่ยนที่เห็นว่าพี่เลี้ยงของตนกำลังวิ่งตรงมาทางนี้ ก็รีบวิ่งหนีไปทันที
“คุณชายเจ้าคะ คุณชาย! รอบ่าวด้วยเจ้าค่ะ” ลี่มี่เห็นหญิงสาวที่ดูเหมือนจะเป็นบ่าวรับใช้วิ่งตามคุณชายน้อยไปก็ส่ายหัวไปมา
“เห้อ ผู้มีเงินทองเขาเป็นเช่นนี้กันหรอกหรือ ไปกันเถิดอาหมิง” ลี่มี่พาน้องชายเข้าร้านขายอาภรณ์ แต่ด้วยนางมิได้มีเงินทองมากนัก จึงเลือกเสื้อผ้าที่คุณภาพต่ำและเป็นแบบสำเร็จรูป สำหรับใส่ในช่วงฤดูหนาวคนละหนึ่งชุด หมดเงินไปถึงหนึ่งตำลึงเงิน แต่จะมิซื้อก็มิได้ เพราะอาภรณ์ของพวกเขาชำรุดมากแล้ว ทั้งยังมิอุ่นพอจะใส่ในฤดูหนาว ทำให้บัดนี้ลี่มี่เหลือเงินเพียงสี่ตำลึงเงินกับอีกสองร้อยอีแปะ
“นี่เงินเจ้าคะ” ลี่มี่ยื่นเงินให้หญิงวัยกลางคนเจ้าของร้าน แต่จังหวะที่มือของลี่มี่สัมผัสกับฝ่ามือของหญิงคนนั้น ภาพต่างๆ ก็หลั่งไหลเข้ามาหัวอย่างรวดเร็ว
เฮือก!
“เอ่อ…ท่านระมัดระวังการขึ้นลงบันไดไว้เสียหน่อยนะเจ้าคะ บันไดที่บ้านท่านดูเหมือนว่าจะมีขั้นที่มันผุอยู่” เอ่ยเพียงเท่านั้นลี่มี่ก็พาน้องชายออกจากร้านทันที
เด็กสาวเดินไปคุ้นคิดไป เมื่อครู่นางเห็นภาพนิมิต ยามที่สัมผัสมือของแม่ค้าร้านขายอาภรณ์
หรือว่านิมิตนี้จะเกิดจากการสัมผัสที่มือ
คราแรกที่นางเห็นภาพนิมิตของอาหมิงก็เป็นตอนที่นางก้มลงจุมพิตมือน้อยของน้องชาย ของท่านยายก็เช่นกัน เกิดขึ้นตอนที่นางกุมมือท่านยาย แต่ของพี่อู๋ท่งเล่า ตอนนั้นท่านพี่อู๋ท่งเพียงช่วยพยุงนางเท่านั้น มิได้สัมผัสมือกันสักนิด
จริงสิ! หรือว่าจะเป็นเพราะการสัมผัสร่างกาย
คำเตือน เนื้อหาในตอนพิเศษนี้จะเกี่ยวข้องกับความรักแบบชายรักชายแต่เล็กจนโตหวังเยี่ยนและลี่หมิง มิเคยทำให้ลี่มี่หนักใจได้เท่าวันนี้ คำพูดของเด็กหนุ่มทั้งสองยังคงวนอยู่ในศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่า“เจ้าว่าอย่างไรนะ”“ข้ารักอาหมิงขอรับ รักแบบคู่รัก มิใช่พี่น้องหรือเพื่อนพ้อง” หวังเยี่ยนเอ่ยอย่างหนักแน่น ต่างจากลี่หมิงที่บัดนี้ก้มหน้ามิกล้าสู้หน้าพี่สาว“…แล้วเจ้าเล่าอาหมิง” ลี่มี่สูดหายใจเข้าเต็มอก ต้องยอมรับว่านางตกใจอยู่บ้าง ด้วยคิดว่าเด็กหนุ่มทั้งสองสนิทสนมกันเพราะถูกเลี้ยงดูมาด้วยกัน มิคิดว่าจะเป็นเช่นนี้ไปได้“ขอรับ น้องเองก็คิดเช่นเดียว อึก! กับคุณชาย” รู้อยู่เต็มอกว่าผิด และรู้ดีว่าไม่มีบิดามารดาคนใดอยากให้บุตรหลานเป็นเช่นนี้ แต่เขาและคุณชายก็ยังหวังว่าพวกเขาจะเข้าใจและยอมรับในตัวตนของพวกเราได้“เห้อ”“คราแรก ข้ามิคิดจะเอ่ยบอกเรื่องนี้กับผู้ใด แต่ไม่กี่วันมานี้ ท่านพ่อเอ่ยกับข้าและอาหมิงเรื่องแต่สตรีเข้าสกุล แม้อยากจะทดแทนบุญคุณที่พวกท่านเลี้ยงดูข้ามา แต่ข้าก็มิอาจฝืนใจตนเองได้” หวังเยี่ยนและลี่หมิงทิ้งตัวลงคุกเข่าต่อหน้าลี่มี่“ฮึก”“ขอท่านแม่ช่วยพูดกับท่านพ่อให้พวกเราทีเถิดขอรับ”“
ข่าวการสละราชบัลลังก์ขององค์ฮ่องเต้ฉางหลงและการขึ้นครองราชย์ขององค์รัชทายาทฉางเฟิง แพร่ไปทั่วแคว้น เหล่าประชาราษฎร์ต่างแห่สรรเสริญ และเฉลิมฉลองกันถ้วนหน้า มิเว้นแม้แต่ครอบครัวของอี้หานและฟ่งอู๋ ที่พากันมาร่วมพิธีราชาภิเษกถึงเมืองหลวง“พวกเจ้าจัดสำรับเย็นไว้มากหน่อย วันนี้ฝ่าบาทจะพาฮองเฮาและองค์ชายทั้งสองพระองค์มาทานมื้อเย็นที่จวน” ลี่มี่และผิงผิงต่างวุ่นอยู่กับการจัดการเรื่องในครัวมี่เอ๋อร์ ผิงผิง ไปให้นมบุตรเถิด ทางนี้ยายกับฮูหยินรองจะดูแลให้เอง” มาครานี้ท่านยายเหมาไป่และมารดาของอี้หานก็พากันมาเที่ยวชมเมืองหลวงด้วย เพราะบัดนี้ลี่มี่คลอดบุตรชายเพิ่มมาอีกสองคน จื้อเจาวัยสองหนาว และจ้านฉือวัยห้าเดือน ผิงผิงเองหลังจากคลอดอาไฉบุตรชายคนแรก ก็มีอินเอ๋อร์บุตรสาววัยแปดเดือน ทั้งเหมาไป่และเจียอีจึงอาสามาช่วยดูแล“เช่นนั้นข้าฝากท่านแม่กับท่านยายด้วยนะเจ้าคะ”“ไปเถิดลูก ป่านนี้หลานแม่คงหิวแย่แล้ว” ฮูหยินรองเจียงอีว่าเช่นนั้น ก็หันกลับไปสั่งการบ่าวไพร่ให้เตรียมขนมของว่างไว้ด้วยลี่มี่กับผิงผิงจึงแยกกันไปให้นมบุตร ยังดีที่ตอนนี้หวังเยี่ยนและลี่หมิงโตเป็นหนุ่มกันแล้วจึงพอจะช่วยดูแลเฟินเยว่และอาไฉไ
ชีวิตของมารดาที่มีบุตรถึงสองคน และมีน้องชายอีกหนึ่ง มิได้ง่ายดายอย่างที่คิด ตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ลี่มี่มิได้ทำหน้าที่ใดขาดตกบกพร่อง คงจะมีแต่การเปิดสำนัก ที่นางมิได้เข้าไปช่วยเหลือผู้ศรัทธาเลยแม้แต่น้อย เพราะวันๆ ได้แต่วุ่นอยู่กับการเลี้ยงดูบุตรและน้องชาย“เยว่เอ๋อร์~ พี่อาเยี่ยนมาหาน้องแล้ว”“พี่อาหมิงก็มาหาเยว่เอ๋อร์เช่นกัน” และนี่คือเสียงที่อี้หานกับลี่มี่ได้ยินในทุกๆ เช้า ตั้งแต่บุตรสาวของนางคลอด พี่ชายทั้งสองก็เห่อน้องสาว เสียจนงอแงมิอยากไปสำนักศึกษา จนอี้หานต้องออกอุบายว่า พี่ชายที่ดีต้องเป็นแบบอย่างให้น้อง ทั้งสองจึงยอมไปเล่าเรียนที่สำนักศึกษาเช่นเดิม“เข้ามาเถิด น้องพึ่งดื่มนมเสร็จ กำลังอารมณ์ดีเชียวล่ะ” อี้หานลุกจากเตียงไปเปิดประตูให้เด็กชายทั้งสอง“โอ้โห! เยว่เอ๋อร์ดื่มนมเก่งเช่นนี้ วันหน้าคงโตไวเหมือนพี่อาหมิงแน่” เดิมทีลี่หมิงเอ่ยแทนตนเองว่าท่านอา แต่ฟังดูแล้วก็แปลกชอบกล ลี่มี่จึงให้ลี่หมิงแทนตนเองว่าพี่ไปก่อน วันหน้าค่อยเอ่ยบอกกับเฟินเยว่ ว่าแท้จริงแล้วลี่หมิงมีศักดิ์เป็นท่านอาของนาง“แอ้ๆ บู้ คิก” เยว่เอ๋อร์ตัวน้อยดิ้นดุกดิก อย่างชอบใจ“ห้ามเหมือนๆ ข้ากลัวว่าเยว่เอ๋อร์จ
เจ้าเมืองซูโจวเดินวนไปมาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ จนฟ่งอู๋ที่กำลังตรวจอาการของลี่มี่นึกรำคาญ“เจ้าหยุดเดินได้หรือไม่อี้หาน ข้ามิมีสมาธิในการตรวจ”“ขออภัย ข้าเพียงกังวล” อี้หานถอยกลับไปนั่งเก้าอี้ ทั้งที่ในใจนึกกลัวไปต่างๆ นานา หวาดกลัวว่าภรรยาจะป่วยหนักเมื่อสหายหยุดเดิน ฟ่งอู๋ก็รีบทำการตรวจต่อ มือของหมอหนุ่มคลำหาชีพจรบนข้อมือเล็ก ครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนที่ใบหน้านิ่งเฉยจะเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด“เฮ้อ!”“เกิดอันใดขึ้นฟ่งอู๋ เจ้าบอกข้าว่าลี่มี่เป็นอันใด ร้ายแรงหรือ” อี้หานเห็นสีหน้าบูดบึ้งของสหายก็ตีความไปแล้ว ว่าฮูหยินของเขาอาจเป็นโรคร้าย ในตาดำขลับสั่นระริกไปด้วยความกลัว“ฮูหยินเจ้าตั้งครรภ์”“ห๊ะ!!?”“ฟังไม่ผิด ลี่มี่ตั้งครรภ์ได้เกือบสองเดือนแล้ว ที่เป็นลมล้มพับไป คงเพราะเหนื่อยล้าร่วมกับอาการแพ้”“เจ้าว่าลี่มี่ตั้งครรภ์” ดวงหน้าคมคายชะงักค้าง สติที่มีอยู่น้อยนิดหลุดลอยไปจนหมด“ใช่!”“ละ แล้วเจ้าจะทำหน้าเช่นนั้นด้วยเหตุใด! ข้าหรือก็นึกว่าเกิดเรื่องร้าย ทั้งที่เป็นเรื่องน่ายินดีเช่นนี้” อี้หานดันกายฟ่งอู๋ให้ออกห่างจากเตียง แล้วทรุดตัวนั่งลงแทนที่ บัดนี้ฮูหยินของเขายังมิได้สติ คง
ขบวนเดินทางกลับเมืองซูโจว เต็มไปด้วยผู้คนคละคล่ำ เพราะการเดินทางโปรดนี้มีองค์รัชทายาทและพระชายาร่วมเดินทางมาด้วย เป็นอย่างที่ทุกคนคิด หลังจากที่คุณหนูซินเหม่ยตอบตกลงเรื่องการอภิเษก องค์รัชทายาทก็หาฤกษ์ที่เร็วที่สุด โดยอ้างว่าจะได้เร่งมีโอรสธิดาเพื่อความมั่นคงของราชวงศ์ และแน่นอนว่าองค์ฮ่องเต้ก็เห็นดีเห็นงามด้วย เหล่าขุนนางกรมพิธีการจึงเร่งจัดงานกันจนหัวหมุนหลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษก อี้หานจึงพาครอบครัวกลับเมืองซูโจวทันที เพราะทนต่อเสียงรบเร้าของฟ่งอู๋ไม่ไหว“สหายท่านจ้องจะหลอกกินเต้าหู้ ผิงผิงของข้าอยู่เรื่อย”“ฮ่าๆ สงสารเขาเถิด เกี้ยวผิงผิงตั้งแต่ยังมิพ้นวัยปักปิ่น แต่กลับแพ้องค์รัชทายาทที่ได้แต่งชายาก่อน เจ้าคงมิรู้ว่าที่องค์รัชทายาทไปเข้าห้องหอช้า ก็เพราะถูกฟ่งอู๋กลั่นแกล้ง” ลี่มี่หัวเราะร่า จะว่าไปก็น่าสงสารจริงๆ นั่นแหละ“ว่าแต่เราใกล้จะถึงเรือนหรือยังเจ้าคะ ข้ารู้สึกเพลียๆ อยากกลับไปนอนพักแล้ว” ลี่มี่ว่าพลางซบลงไปบนไหล่กว้าง พวกเขาเดินทางมาแรมเดือน ได้พักเต็มอิ่มบ้าง ไม่เต็มอิ่มบ้าง ทั้งการอยู่ในรถม้าทั้งวันก็เมื่อยขบยิ่งนัก ดีที่นางไม่รบเร้าให้ท่านยายมาด้วย มิเช่นนั้นคงทำให้ท่
หลังจากที่ตัดสินใจว่าจะเกี้ยวซินเหม่ยให้สำเร็จโดยเร็ว ฉางเฟิงก็เทียวเข้าเทียวออกเรือนเสนาบดีซินเป็นว่าเล่น บ้างก็นำสุรามาดื่มกินกับว่าที่พ่อตา บ้างก็นำตำราที่ซินเหม่ยสนใจมาให้ แต่ที่หนักสุดคงจะเป็นครานี้ เพราะองค์รัชทายาทหนุ่ม ถึงขั้นยกนางในประจำห้องเครื่อง มาสอนคุณหนูสกุลซินทำสำรับเย็นถึงในเรือน เพียงเพราะนางเอ่ยว่าอยากลองทำอาหารมื้อเย็นฉบับชาววังบ้าง“คารวะองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ” / “คารวะองค์รัชทายาทเพคะ”“ท่านพ่อตา ท่านแม่ยายตามสบายเถิด เจ้าก็ด้วย” แม้ปากจะพูดคุยอยู่กับบิดาและมารดาของซินเหม่ย แต่ตายังคงติดอยู่กับหญิงสาวตั้งแต่มาถึง“อะแฮ่ม! วันนี้เรียกพ่อตาเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีซินเอ่ยเย้า ทีเล่นทีจริงกับชายหนุ่ม“ข้าเรียกเผื่อไว้ จะได้ชินปาก วันนี้ข้าพานางในประจำห้องเครื่องมาสอนเจ้าทำสำรับ แล้ว…อยากขออยู่รับสำรับเย็นด้วย” แววตาออดอ้อนทำเอาซินเหม่ยยิ้มขำ นางรู้ดีว่าองค์รัชทายาทขี้เล่นมิต่างจากฟ่งอู๋ แต่ก็มิคิดว่าจะมีมุมน่าเอ็นดูถึงเพียงนี้“กระหม่อมยินดีพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าอยู่ได้หรือไม่” เมื่อได้รับคำตอบจากว่าที่พ่อตาแม่ยายแล้ว ร่างสูงจึงหันไปถามสตรีที่รัก“แต่อาหารที่ข้าพึ่งหัดทำ อา