ลี่มี่ที่คิดได้ว่าบางทีนิมิตของนางอาจเกิดจากการสัมผัสผู้อื่น นางก็พยายามสัมผัสร่างกายของพ่อค้าแม่ค้าที่นางซื้อของ และก็เป็นดังที่นางคิดไว้ ภาพนิมิตของคนเหล่านั้นไหลเวียนเข้ามามิขาดสาย
เฮือก! ชายผู้นี้จะถูกภรรยาทุบตีโทษฐานแอบไปเที่ยวหอนางโลม
เฮือก! หญิงผู้นี้จะเหยียบชายกระโปรงตนเองล้ม
เฮือก! อ่า~ เด็กน้อยจะถ่ายหนักเลอะเทอะมารดาของนาง
“พี่มี่เอ๋อร์” ลี่หมิงกระตุกชายอาภรณ์ของพี่สาวที่กำลังดื่มด่ำอยู่กับความสุขใจ เพราะในที่สุดนางก็รู้แล้วว่าต้องทำอย่างไรจึงจะเกิดภาพนิมิต
“ว่าอย่างไรหรืออาหมิง”
“ข้าเอาขนมไปแบ่งให้ขอทานตาบอดคนนั้น ได้หรือไม่ขอยับ” ลี่มี่มองไปตามทิศทางที่มือเล็กชี้ไป ก็พบเข้ากับขอทานตาบอดที่นั่งอยู่ ผมเผ้าที่ยาวเฟื้อยและมีกลิ่นเหม็นสาบ ทำให้ผู้คนละแวกนั้นมิอยากเดินเข้าไปใกล้
“ได้สิ แต่พี่ว่าเราเอาเปาจื่อให้เขา น่าจะอิ่มท้องมากกว่า” ลี่มี่หยิบเปาจื่อออกมาสองลูก และเดินตรงไปหาขอทานตาบอดพลางคิดในใจว่าอยากเห็นภาพนิมิตว่าชายขอทานผู้นี้จะมีชีวิตอย่างไร
“ท่านอา ข้าเอาเปาจื่อมาให้เจ้าค่ะ” มือบางเอื้อมไปจับมือหนาที่แห้งกรังให้รับเปาจื่อไป ลี่มี่ตั้งใจดึงเวลาเล็กน้อย เพื่อรอภาพนิมิต ทว่าเรื่องราวกลับไม่เป็นไปตามที่นางคิด ภาพนิมิตมิได้เกิดขึ้น ทั้งที่นางสัมผัสมือกับคนตรงหน้า แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็น…
“คึๆ คึๆ เจ้าชมชอบข้าหรือ จับมือข้าเสียนาน คึๆ มาเป็นภรรยาข้าดีหรือไม่ คึๆ คึๆ” ชายขอทานทำท่าบิดเขิน ทั้งยังยิ้มเสียจนเห็นฟังครบทุกสี
อ่า ขาดสองซีด้านหน้าที่มิรู้ว่าหายไปที่ใด แหะๆ
“หยุดนะ พี่มี่เอ๋อร์ใจดีมอบเปาจื่อให้เจ้า ยังทำท่าทีมิเหมาะสมอีก ฮึ่! มิน่าเอ็นดูเอาเสียเยย” มือเล็กรีบดึงพี่สาว ให้ออกห่างจากขอทานมิรู้บุญคุณคนอย่างรวดเร็ว พลางคิดโทษตนเอง ที่นึกสงสารขอทานตาบอดผู้นั้น จนทำให้พี่สาวถูกล่วงเกินเช่นนี้
ด้านพี่สาวมิได้เข้าใจความกังวลของน้องชายเลยแม้แต่น้อย เอาแต่สงสัยว่าเหตุใดนางมิเห็นภาพนิมิตของชายตาบอดผู้นั้น จนเดินทางมาถึงเรือน นางก็ยังคิดไม่ตกว่าเป็นเพราะเหตุใดกันแน่
“เหตุใดเล่า ข้าก็สัมผัสกายเขาแล้วมิใช่หรือ” ใบหน้างอของพี่สาวทำให้ลี่หมิงอดสงสัยไม่ได้ว่าพี่สาวเป็นอันใด ทั้งนางยังยกมือเกาศีรษะจนผมยุ่งเหยิงไปหมด
“คิดสิ่งใดขอยับ ให้น้องช่วยคิดดีหยือไม่” ร่างเล็กขยับกายเข้าไปหาพี่สาว ขาเล็กนั่งขัดสมาธิ จุมปุ๊กอยู่ตรงหน้าลี่มี่
“พี่กำลังคิดว่า จะทำอย่างไรจึงจะเห็นภาพนิมิตในกาลข้างหน้าได้”
“เหมือนคราที่พี่มี่เอ๋อร์เห็นว่าน้องจะทำถังหูยู่ตกหยือ”
“ใช่~” เสียงเหนื่อยอ่อนของพี่สาว ทำให้คิ้วเล็กของลี่หมิงขมวดเข้าหากัน แขนน้อยๆ ถูกยกขึ้นมากอดอกอย่างใช้ความคิด
“อืม อืม ตอนนั้นพี่มี่เอ๋อร์จับมือน้อง น้องจำได้” ลี่มี่นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่นางกระทำในตอนนั้น และลองทำตามเป็นขั้นเป็นตอน
“ใช่ พี่จับมือเจ้าเช่นนี้ แล้ว…” เด็กสาวหลับตาย้อนนึกไป
“แล้วน้องก็แอบมองตาของท่าน มันงดงามนัก น้องอยากได้ คิกๆ” เด็กชายตัวน้อยสารภาพเองเสร็จสรรพ เขาหลงใหลดวงตาของพี่สาว มองอย่างไรก็มิเบื่อหน่าย งดงามยิ่งกว่าผู้ใดที่เขาเคยพบ
“แอบมองตา มองตา…จริงสิ ชายผู้นั้นตาบอด เขาจึงมิได้สบตาข้า” ทุกคนที่นางเห็นภาพนิมิต ล้วนแล้วแต่ได้พูดคุยสบสายตากันทั้งสิ้น คงจะมีเพียงขอทานตาบอดผู้นั้นที่นางมิได้สบตาด้วย นางจึงมิเห็นภาพนิมิต
“ขอ ขอพี่ลองดูภาพนิมิตจากเจ้าได้หรือไม่” ลี่มี่เอ่ยขออนุญาตน้องชาย แล้วทดลองใช้ความสามารถของตนเองทันที นางลองผิดลองถูกอยู่หลายครั้ง ทั้งลองทำเพียงสัมผัส ลองทำเพียงสบตา และลองทั้งสองอย่างพร้อมกัน บ้างก็ล้มเหลว บ้างก็สำเร็จ
“ท่านยายเจ้าคะ ข้าได้อาภรณ์มาแล้วนะเจ้าคะ มิรู้ว่าจะถูกใจท่านยายหรือไม่” หลังจากทานมื้อเย็น ทั้งสามยายหลานก็มานั่งพูดคุยกัน ลี่มี่หยิบเอาอาภรณ์ตัวใหม่มาให้ท่านยายได้ดู
“ยายบอกให้ซื้อเพียงของพวกเจ้าอย่างไรเล่า สิ้นเปลืองเงินของพวกเจ้านัก”
“ได้อย่างไรเจ้าคะ อาภรณ์ของท่านยายชำรุดหมดแล้ว อีกอย่างเราเป็นครอบครัวเดียวกันมิใช่หรือเจ้าคะ” เหมาไป่ลูบอาภรณ์ตัวใหม่อย่างซึ้งใจ นานมาแล้วที่นางมิมีเงินทองซื้อผ้ามาตัดอาภรณ์ จึงต้องใช้ของเก่าซ้ำๆ จนมันขาดรุ่ยแทบจะมิใช่เสื้อผ้า ยามนี้หลานสาว หลานชายตั้งใจซื้ออาภรณ์ชุดใหม่เอี่ยมมาให้ จะมิให้นางซึ้งใจได้อย่างไร
“ขอบใจ ยายขอบใจพวกเจ้านัก”
“ข้าและอาหมิงยินดีนักเจ้าค่ะ ต่อไปหากว่าข้าหาเงินทองได้มาก ข้าจะให้ท่านยายและอาหมิงได้อยู่อย่างสบาย”
“น้องก็จะช่วยหาเงินขอยับ”
“ฮ่าๆ เช่นนั้นเจ้าต้องมาช่วยพี่ต้อนรับผู้ศรัทธา” คำพูดของลี่มี่ทำให้เหมาไป่นึกเอะใจขึ้นมา
“ผู้ศรัทธาหรือ”
“เจ้าค่ะท่านยาย ข้าคิดจะเปิดสำนักแม่หมอกันเจ้าค่ะ ข้าพอจะรู้แล้วว่าทำอย่างไรถึงจะเห็นภาพนิมิตเจ้าค่ะ แม้จะไม่เห็นทุกครั้งที่ต้องการ แต่ก็ถือว่าสามารถนำไปทำมาหากินได้แล้ว” ลี่มี่คาดการณ์เอาไว้ว่าในช่วงแรกจะให้ทุกคนจ่ายเท่าที่ศรัทธา เชื่อมากจ่ายมาก เชื่อน้อยจ่ายน้อย หรือหากว่าผู้ใดที่มิมีวาสนาต่อกัน นางมิอาจเห็นภาพนิมิตได้ นางก็จะไม่คิดเงินกับพวกเขา
“หากเจ้าว่าเช่นนั้น ยายก็ตามใจเจ้า มีสิ่งใดให้ยายช่วยอย่าได้เกรงใจ” เหมาไป่ลูบศีรษะของหลานสาวและหลานชายอย่างอ่อนโยน
“เจ้าค่ะ…นี่อาหมิง ต่อไปเจ้าต้องเรียกพี่ว่าแม่หมอแห่งซูโจวแล้วนะ”
“ขอยับ แม่หมอแห่งซูโจว! แม่หมอแห่งซูโจว! ข้าเป็นน้องแม่หมอแห่งซูโจว!” เสียงหัวเราะคละเคล้าไปทั่วเรือน ก่อนที่ทั้งสามคนจะกลับเข้าไปพักผ่อนอย่างเต็มอิ่ม
แปะ!กระดาษโพนทะนา เกี่ยวกับการจัดตั้งสำนักแม่หมอถูกติดไว้ที่ป้ายประกาศของหมู่บ้าน สารที่ระบุเอาไว้ในกระดาษเป็นลี่มี่ที่เขียนเอง นางเคยได้อ่านเขียนอยู่บ้าง จึงได้เขียนคำโพนทะนาขึ้นมาได้ แม้ว่าตัวอักษรของนางจะมิได้งดงาม แต่ก็พอจะอ่านออก
“ผู้ใดอ่านอักษรออก ช่วยอ่านให้ข้าฟังที่เถิด” ชายชราในหมู่บ้านที่เดินผ่านป้ายประกาศ บังเอิญเห็นกระดาษโพนทะนาของลี่มี่เข้า จึงนึกสนใจขึ้นมา
“มาๆ ข้าจะอ่านให้ฟังขอรับ ผู้ใดอยากรู้ก็เข้ามาฟังร่วมกันทีเดียวเถิด” เป็นกวนอู๋ท่งที่เข้ามาให้ความช่วยเหลือ
“อะแฮ่ม! ด้วยสวรรค์เมตตา ทำให้ลี่มีหลานสาวของเหมาไป่ ได้รับพรจากฟ้าให้เห็นภาพนิมิตในกาลข้างหน้า สกุลเหมาจึงอยากใช้พรนี้ช่วยเหลือชาวบ้านในหมู่บ้านของเรา ตั้งแต่วันพรุ่งยามซื่อ (09:00 – 10:59 น.) เป็นต้นไป ที่เรือนสกุลเหมาจะตั้งสำนักแม่หมอแห่งซูโจว…” อ่านมาถึงตรงนี้เสียงผู้คนก็ฮือฮาขึ้น บ้างก็เชื่อ บ้างก็ไม่เชื่อ แต่หากถามอู๋ท่งแล้ว เขาเชื่อจนหมดใจว่าลี่มี่มีนิมิตรับรู้เรื่องราวในกาลข้างหน้า
“ผู้ใดมีวาสนาต่อสวรรค์ ผู้นั้นจะได้รับรู้เรื่องราวในกาลข้างหน้าของตน”
“ท่านย่า! ท่านแม่!” ซูเม่ยวิ่งเข้ามาในเรือนอย่างเร่งรีบ เช้านี้นางออกไปด้อมๆ มองๆ ท่านพี่อู๋ท่งของนางตามปกติ แต่วันนี้นางกลับได้รับข่าวใหญ่
“อันใดกันเม่ยเอ๋อร์ มาแล้วก็รีบมานั่งทานมื้อเช้า ให้ผู้ใหญ่รอเช่นนี้ใช้ได้ที่ใดกัน” ชุนไห่เอ่ยดุบุตรสาวที่มิรู้กาลเทศะ ปล่อยให้ทุกคนในเรือนรอทานข้าว เมื่อมาถึงยังจะตะโกนโหวกเหวก ราวกับมิได้รับการสั่งสอน
“ท่านพี่อย่าได้เอ็ดลูกเลยเจ้าค่ะ เม่ยเอ๋อร์มีสิ่งใดหรือ เหตุใดจึงรีบร้อนเช่นนั้น” ชุนเจียงลุกขึ้นไปประคองบุตรสาวให้มานั่งข้างกัน
“เอ่อ ลี่มี่เจ้าค่ะ นางกำลังจะตั้งสำนักแม่หมอ นางเอ่ยว่าตนเองได้รับพรจากสวรรค์ สามารถรับรู้นิมิตในกาลข้างหน้าได้เจ้าค่ะ” ซูเม่ยเอ่ยเล่าเรื่องราวที่ตนเองได้ฟังออกมามิขาดแม้เพียงครึ่งคำ
“ฮึ ฮ่าๆ นี่นางบ้าไปแล้วหรือ ฮ่าๆ” ชุนฉือหัวเราะออกมาอย่าออกรสออกชาติ มิต่างจากชุนเจียงที่บัดนี้กุมท้องหัวเราะเสียงดังลั่น
“นางมิมีกินมีใช้ ถึงขั้นตั้งตนเป็นผู้วิเศษ หมายหลอกลวงชาวบ้านเลยหรือเจ้าคะ ฮ่าๆ” ชุนไห่และชุนเต๋อได้ยินเรื่องราวก็นึกเป็นห่วงลี่มี่และลี่หมิงขึ้นมา มิรู้ว่าที่ซูเม่ยว่าเป็นเรื่องจริงหรือเพียงข่าวลือ แต่หากเป็นเรื่องจริง การตั้งตนเป็นผู้วิเศษให้ชาวบ้านหลงงมงายย่อมต้องถูกทางการจับเข้าคุกเป็นแน่ แต่หากเป็นเพียงข่าวลือ ลี่มี่มิได้มีนิมิต นางอาจถูกชาวบ้านรุมทำร้าย โทษฐานหลอกลวงได้เช่นกัน
“ท่านย่า ท่านแม่ พรุ่งนี้เราไปรอหยามน้ำหน้านางกันเถิดเจ้าคะ” ซูเม่ยยกยิ้มเหยียดอย่างผู้ชนะ นางแทบจะทนรอให้ถึงวันพรุ่งไม่ไหว
วันนี้ลี่มี่ตั้งใจพาท่านยายและอาหมิงไปเลือกซื้อวัตถุดิบปรุงอาหาร เนื่องจากนางเปิดสำนักทุกวัน มิได้ออกไปเก็บของป่า ทำให้อาหารที่กักตุนไว้เริ่มหมดลง ทั้งลี่มี่ยังตั้งใจจะซื้ออาภรณ์ผืนใหม่ไว้ให้ท่านลุงชุนไห่และท่านพี่ชุนเต๋อใส่ยามอากาศหนาวเย็น แม้ว่านางจะตัดขาดจากสกุลชุนแล้ว แต่ทั้งสองก็ยังดีกับนางและน้อง อย่างไรก็ต้องตอบแทน“ท่านยาย ข้าว่าเราไปนั่งดื่มน้ำชาให้ท่านหายเมื่อยก่อนดีหรือไม่” ลี่มี่พยุงท่านยายลงจากเกวียน ท่าทีปวดเมื่อยทำให้ลี่มี่นึกกังวล“มิต้องๆ ยายพึ่งจะได้ลุกยืน จะให้นั่งอีกคงมิไหว เราไปเลือกซื้ออาหารกันก่อนเถิด”“เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ อาหมิงจับมือท่านยายไว้ ประเดี๋ยวจะหลงเอาได้” ลี่มี่พาท่านยายและน้องชายเดินไปซื้อของสด ที่ชาวบ้านเอามาตั้งร้านขายตามรายทาง มีทั้งผัก ผลไม้ ปลา หรือแม้แต่สัตว์ทะเลตั้งแต่เปิดสำนักแม่หมอ ลี่มี่ก็มีเงินใช้จ่ายอย่างคล่องมือ มิต้องประหยัดจนอดอยาก แต่นางก็มิได้ฟุ่มเฟือย เครื่องประดับงดงามนางก็ยังมิคิดจะซื้อใส่ แต่สิ่งใดจำเป็นจะต้องกินต้องใช้ นางก็จะซื้อโดยมิเสียดาย“ท่านยายเอาปูตัวใหญ่ด้วยได้หยือไม่ขอยับ”“ได้ๆ เอาตัวนี้ดีหรือไม่” สายตาออดอ้อนจากน้
ภาพนิมิตที่ลี่มี่เห็นทำให้นางรีบดึงมือออกจากมือใหญ่ทันที ท่าทีร้อนรนและสีหน้าที่ตกใจ ทำให้อี้หานอดสงสัยมิได้“เจ้าเห็นสิ่งใด เลวร้ายหรือ”“มะ มะ มิได้เจ้าค่ะ ข้าเห็นเช่นเดิม มิ- มิมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง” ใบหน้ากลมสวยแดงก่ำขึ้น เมื่อชายหนุ่มเคลื่อนขยับเข้ามาใกล้‘ขะ ข้าต้องถูกบังคับเป็นแน่ แต่…ใบหน้าข้าก็ดูมีความสุขนะ ฮื่อ~’ ลี่มี่ใช้มือทุบตีศีรษะตนเองที่มิอาจลบเลือนภาพน่าอายเหล่านั้นออกไปได้ จนผู้ที่อยู่ในห้องนั้นถึงกับงุนงงในท่าทีของนางกันหมด“เจ้าเป็นอันใดของเจ้า”‘จริงสิ ใช่ว่าเราจะเปลี่ยนนิมิตไม่ได้ ต้องหนี ต้องหนีให้ห่าง! แล้ว…ข้าจะหนีไปที่ใดอีกเล่า ฮื่ออออ’ ตากลมเดี๋ยวก็เบิกกว้าง เดี๋ยวก็เศร้าสร้อย เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา จนอี้หานนึกสงสัยว่าหญิงสาวกำลังทำหน้าตาเช่นใดอยู่มือใหญ่เอื้อมเข้าไปดึงผ้าปิดหน้าของลี่มี่จนหลุดติดมือมา ใบหน้าน่ารักของหญิงสาวที่พึ่งพ้นวัยปักปิ่น ทำเอาดวงใจที่แข็งแกร่งดั่งหินผาของท่านเจ้าเมืองสั่นไหวไม่น้อย ดวงตากลมโต ปากแดงเล็กเป็นกระจับ ปลายจมูกรั้นขึ้นพอน่ารัก“ทะ ท่านทำสิ่งใด” ลี่มี่ที่ถูกดึงผ้าปิดหน้าออกก็มิสติขึ้นมา“อะแฮ่ม ข้า- มิมีอันใด ว่าแต่เจ้าเห็นสิ่งใด
“ผู้คนมารอมากเลยทีเดียว คงเป็นเพราะยายแจ้งว่าต่อจากนี้อีกหนึ่งสัปดาห์เราจะหยุดเพื่อซ้อมหลังคาเรือน”“เช่นนั้นก็เชิญคนแรกเข้ามาเถิดเจ้าค่ะ” ลี่มี่ยกผ้าคาดหน้าเข้ามาสวมใส่และเตรียมพร้อมเช่นเคย ชาวบ้านคนแล้วคนเล่าเข้ามาดูนิมิตกับท่านแม่หมอ บ้างก็ผิดหวังกลับไปเพราะมิมีวาสนาต่อสวรรค์ แต่บางคนกลับได้รับคำเตือนที่เป็นประโยชน์ต่อการใช้ชีวิต ชาวบ้านที่มาที่สำนักมีทั้งคนในหมู่บ้านและผู้คนนอกหมู่บ้าน จนมาถึงผู้ศรัทธาคนสุดท้ายที่ท่านยายเอ่ยว่า เขาเดินทางมาจากตัวเมืองเพื่อขอคำชี้แนะจากแม่หมอแห่งซูโจว“เอ่อ ผู้ใดที่จะดูนิมิตหรือ เหตุใดจึงเข้ามากันเยอะแยะมากมายถึงเพียงนี้เล่า” ลี่มี่จ้องมองชายหนุ่มทั้งสามคนตรงหน้าอย่างพิจารณา โดยเฉพาะผู้ที่นั่งอยู่ด้านหน้าสุด คนผู้นี้หล่อเหลา ท่าทางราวกับบัณฑิตมีความรู้ และดูเหมือนว่าคนผู้นี้คงจะเป็นนายของทั้งสองคนที่อยู่ด้านหลัง“ข้าเป็นเจ้าเมืองซูโจว มีนามว่า โจวอี้หาน”“ทะ ท่านเป็นเจ้าเมืองหรือ แล้วมีกิจธุระอันใดกับข้าหรือ” ลี่มี่ได้ยินดังนั้นก็ตกใจไม่น้อย หญิงสาวตื่นกลัวอยู่ตลอด เพราะการงานของนางเสี่ยงที่จะถูกทางการจับกุมยิ่งนัก“รู้หรือไม่ว่าสิ่งที่เจ้าทำถือเป็
“เรื่องคดีเป็นอย่างไรบ้าง” เสียงเรียบทุ้มของชายหนุ่มเอ่ยถามคนที่พึ่งเข้ามาใหม่“ยังมิมีผู้ต้องสงสัยเลยขอรับ ท่านเจ้าเมือง” คำตอบรับจากผู้ใต้บัญชาทำเอา โจวอี้หาน เจ้าเมืองซูโจวถึงกับถอดถอนหายใจออกมา เรื่องคดีฆาตกรรมต่อเนื่องในเมืองซูโจวเริ่มจะปิดไม่มิด ข่าวสารเริ่มแพร่กระจายไปเกือบทั่วเมืองซูโจวแล้ว แม้ว่าคดีฆาตกรรมหญิงสาวจะเกิดขึ้นเพียงในตัวเมือง แต่ก็สร้างความหวาดกลัวให้กับผู้คนในเมืองซูโจวไม่น้อย“แล้วมีสิ่งใดเพิ่มเติมหรือไม่”“ขอรับ มีหญิงคณิกาตายเพิ่มอีกแล้วขอรับ เมื่อเช้าข้าน้อยพึ่งจะไปดูศพมา การลงมือเป็นลักษณะเดียวกัน คือ ถูกจ้วงแทงหลายแผล ทั้งยังถูกกรีดที่ใบหน้า” ผู้ช่วยท่านเจ้าเมืองอย่าง หรงจี ยังรู้สึกหวาดกลัวไม่หาย เมื่อเช้ามืดท่านฉือกงหัวหน้ามือปราบของเมืองซูโจว ได้รับแจ้งว่าพบร่างสตรีที่เต็มไปด้วยเลือดนอนแน่นิ่งอยู่ริมน้ำ ท่านฉือกงจึงมาเรียกเขา ให้ไปช่วยตรวจสอบ“ศพที่สามแล้วสินะ พบความเชื่อมโยงของผู้ตายหรือไม่” โจวอี้หานถึงกับกุมขมับ เมื่อสองสัปดาห์ก่อนหน้า เกิดเหตุการณ์ฆาตกรรมขึ้นในเมืองซูโจว เดิมที คิดว่าเป็นการฆ่าชิงทรัพย์ แต่ผ่านมาอีกหนึ่งสัปดาห์กลับมีเหตุการณ์เช่นเดิม
“ท่านยายขอยับ น้องขอออกไปวิ่งเล่นที่ลานกว้างของหมู่บ้านได้หยือไม่ขอยับ” วันนี้เรือนสกุลเหมาปิดสำนักแม่หมอ เนื่องจากเหมาไป่อยากให้หลานสาวได้พักผ่อนเสียบ้าง จึงมีเวลาให้ลี่หมิงไปเที่ยวเล่นกับเด็กวัยเดียวกัน ยามที่อยู่สกุลชุน เด็กชายก็ต้องช่วยพี่สาวทำงานบ้าน พอย้ายมาอยู่สกุลเหมาก็ต้องช่วยพี่สาวต้อนรับผู้ศรัทธา ลี่หมิงจึงมิค่อยมีเพื่อนในวัยเดียวกันเลย วันนี้เขาจึงตัดสินใจไปที่ลานกว้างของหมู่บ้านที่มักจะมีเด็กๆ มาเล่นกันบริเวณนั้น“ไปเถิด อีกประเดี๋ยวยายจะตามไป ขอยายตากปลาไว้ก่อน” เหมาไป่เห็นว่าลานกว้างของหมู่บ้านมิได้ห่างไกลเรือนมากนัก ทั้งยังเป็นที่มีผู้คนพลุกพล่าน จึงปล่อยให้หลานไปก่อน หากนางตากปลาเสร็จ จึงจะตามไปภายหลัง“ขอบพระคุณขอยับ” ขาเล็กสั้นเดินออกมานอกเรือน หวังจะไปเล่นกับเพื่อนวัยเดียวกัน แม้จะมิค่อยรู้จักผู้ใด แต่อย่างน้อยไปนั่งดูพวกเขาวิ่งเล่นกันก็ยังดีลี่หมิงมาถึงลานกว้างก็พบว่ามีเด็กชายและเด็กหญิงในวัยเดียวกันอยู่สี่ห้าคน เขาจึงเข้าไปทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ที่ไม่ว่าผู้ใดได้เห็นก็ต้องหลง“พวกเจ้าเล่นอันใดกันอยู่หยือ ข้าขอเล่นด้วยได้หยือไม่ขอยับ”“พวกข้ามิได้เล่นอันใดทั้งส
“เป็นอย่างไร เห็นข้าได้แต่งงานกับท่านพี่อู๋ท่งใช่หรือไม่” ลี่มี่ชักสีหน้าใส่ซูเม่ยอย่างรำคาญ หลังจากเริ่มตั้งสำนักมากว่าหนึ่งสัปดาห์ ลี่มี่มิเคยพบผู้ศรัทธาที่น่ารำคาญเท่านี้มาก่อนเช้าวันนี้ซูเม่ยมายืนรอหน้าสำนักตั้งแต่เรือนสกุลเหมายังไม่เปิด เดิมทีลี่มี่มิคิดจะดูนิมิตให้คนสกุลชุน แต่เมื่อเห็นถุงเงินที่ซูเม่ยนำมาด้วย ลี่มี่ก็เปลี่ยนใจทันที เวลานี้ยังจะมีเรื่องใดสำคัญไปกว่าเรื่องเงินอีกหรือ“ข้ามิเห็นว่าเจ้าจะได้ออกเรือน แต่เห็นพี่อู๋ท่งแต่งกับสตรีงดงามผู้หนึ่ง มิเห็นหน้าตาชัด แต่รู้เพียงว่างดงาม” ลี่มี่แตะปลายนิ้วไปที่กลางฝ่ามือของซูเม่ย ในหัวพยายามเค้นภาพนิมิตให้เห็นใบหน้าของหญิงสาวผู้นั้นให้ชัดเจนยิ่งขึ้น แต่ดูอย่างไรก็ดูไม่ออกว่าเป็นผู้ใด ลี่มี่จึงหยุดเพียงเท่านั้น เพราะคงเป็นลิขิตสวรรค์ที่มิอยากให้นางรับรู้“เจ้าดูผิดหรือไม่ คนผู้นั้นอาจจะเป็นข้า เจ้าดูอีกที” ซูเม่ยกล่าวเสียงแข็ง จะให้นางเชื่อว่าท่านพี่อู๋ท่งสนใจสตรีอื่นได้อย่างไร ในเมื่อท่านพี่อู๋ท่งมีท่าทางเอ็นดูนางถึงเพียงนั้น“เห้อออ วางเงิน” ซูเม่ยจำใจโยนเหรียญอีแปะใส่ในขัน ลี่มี่เห็นดังนั้นก็ยื่นมือไปแตะฝ่ามือของเด็กสาวตรงหน