“ให้ยายดูสิ” เหมาไป่จ้องมองไปที่นัยน์ตาของหลายสาวก็พบว่าเป็นดั่งที่หลานชายตัวน้อยเอ่ย มิเพียงเท่านั้นหน้าผากมนของหลานสาวยังมีรอยคล้ายปานรูปดอกบัวติดอยู่
ปาน…ปานสีเงินอย่างนั้นหรือ!!?
“…” ลี่มี่ที่ยังวิตกกับเรื่องที่เกิดขึ้น จึงมิได้สบตาผู้ใด ปล่อยให้เหมาไป่และลี่หมิงมองสำรวจจนทั่ว
“เกิดสิ่งใดขึ้น เจ้าเล่าให้ยายกับน้องฟังเถิด” เรื่องราวที่ได้ฟังจากปากหลานสาวทำให้เหมาไป่แทบมิอยากเชื่อว่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง
“ท่านยาย…” สายตาที่ล่องลอยของลี่มี่ทำให้เหมาไป่ต้องรีบเข้าไปกอดปลอบหลานนอกไส้
“ดีเหลือเกินที่เจ้ามิบาดเจ็บที่ใด คราวหลังอย่าได้เข้าไปในป่าลึกเช่นนั้นอีกเล่า เข้าใจหรือไม่”
“เจ้าค่ะ”
“โอ๋ๆ นะขอยับ” มือเล็กป้อมยกขึ้นลูบใบหน้าพี่สาวเบาๆ ลี่มี่อดเอ็นดูกับท่าทีของน้องชายมิได้ จึงกอบกุมเอามือเล็กมาจุมพิต พร้อมกับสบสายตาเข้ากับดวงตาน้อยๆ ทั้งสองที่จดจ้องมาที่นัยน์ตาของนางด้วยแววตาที่หลงใหล
และทันใดนั้น…
“วันนี้เจ้ากินกุ้งแม่น้ำย่างอย่างนั้นหรือ”
“เอ๋? มิได้กินขอยับ น้องกินผัดผัก”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ายายย่างกุ้งให้พวกเจ้ากินในมื้อเย็น หรือว่ากลิ่นมันติดกายยายมาอย่างนั้นหรือ ฮ่าๆ”
“มิได้เจ้าค่ะ ข้าเพียงแค่เห็นอาหมิงกิน-” ลี่มี่ชะงักนิ่งไป นางเห็นอาหมิงกินกุ้งย่างตัวโตอย่างเอร็ดอร่อย
เห็นงั้นหรือ เห็นได้อย่างไรกัน!!!
“มี่เอ๋อร์ เป็นอันใดไป” เหมาไป่เห็นว่าหลานสาวนิ่งไป ก็ดึงมือบางมากอบกุมไว้ พลางบีบเคล้นเบาๆ ให้ลี่มี่ได้สติ นัยน์ตาสีมรกตจ้องมองไปที่ดวงตาของผู้เป็นยาย พลางเอ่ยสิ่งที่นางกำลังเกิดขึ้นกับนางให้ผู้เป็นยายได้ฟัง
“ท่านยาย เมื่อครู่ข้า- ข้าเห็นว่าอาหมิงนั่งทานกุ้งเจ้าค่ะ และตอนนี้ก็เห็นว่า…ท่านยายไปที่หลุมศพของบุตรชายท่าน ทั้งยังเอ่ยต่อหน้าหลุมศพว่าตอนนี้ท่านมิเหงาอีกต่อไปแล้ว” ลี่มี่มิรู้เลยว่าเหตุใดภาพเหตุการณ์เหล่านี้ถึงหลั่งไหลเข้ามาในศีรษะของนาง ทั้งยังเห็นและได้ยินเหตุการณ์ชัดเจนเป็นฉากๆ ราวกับว่านางได้เข้าไปยืนอยู่ในสถานการณ์นั้นด้วย
“วันพรุ่งเป็นวันเกิดของอาซาง ยายจะไปที่หลุมศพจริงๆ นี่เจ้า…” แววตาของยายหลานเต็มไปด้วยความสงสัยและงุนงง สิ่งที่ลี่มี่เอ่ยออกมาล้วนเป็นสิ่งที่จะเกิดจริง…ในกาลข้างหน้า
“ทะ ท่านยาย ข้ากลัวเจ้าค่ะ อยู่ๆ ทั้งภาพทั้งเสียงต่างก็ปรากฏขึ้นมา”
“เจ้าเห็นกาลข้างหน้าหรือ มีนิมิตอย่างนั้นหรือ”
“ขะ ข้ามิรู้เจ้าค่ะ”
“ทั้งเรื่องที่อาหมิงกินกุ้งย่าง ทั้งเรื่องที่เจ้าเห็นยายไปที่หลุมศพ ล้วนเป็นเรื่องที่ยังมิเกิดขึ้นทั้งสิ้น” สิ่งที่ท่านยายเอ่ยทำให้ลี่มี่ยิ่งคิดหนัก
เกิดสิ่งใดขึ้นกับตัวนางกันแน่
สีหน้ากังวลของลี่มี่ ทำให้ผู้เป็นยายและน้องชายต่างวิตกไปด้วย
“อย่าได้วิตกไปเลย อาจเป็นเพราะเจ้าตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่แน่ว่าหากเจ้านอนพักสักชั่วยามอาจจะดีขึ้น” ลี่มี่ได้ยินท่านยายว่าดังนั้น ก็รีบไปอาบน้ำอาบท่า เปลี่ยนอาภรณ์ และนอนหลับพักผ่อนไปกว่าชั่วยาม
เมื่อตื่นขึ้นมาก็รู้สึกว่าตนเองสดชื่นขึ้น จึงมาช่วยท่านยายเตรียมอาหารมื้อเย็น และภาพที่ปรากฏตรงหน้าของลี่มี่ตอนนี้ก็เป็นภาพที่น้องชายกินกุ้งย่างอย่างเอร็ดอร่อย เช่นเดียวกับที่นางเห็นก่อนหน้า
กว่าสองวันที่ลี่มี่พักอยู่ในเรือน ภาพนิมิตมิเกิดขึ้นอีกเลย คล้ายกับว่าเหตุการณ์ก่อนหน้าที่นางเห็นภาพนิมิตมิเคยเกิดขึ้นมาก่อน ลี่มี่เองก็มิได้ใส่ใจกับเรื่องนั้นมากนัก เพราะช่วงนี้นางวุ่นวายอยู่กับการถนอมอาหารไว้กิน ทั้งยังต้องหาเงินมาซื้ออาภรณ์ใส่ในฤดูหนาว วันนี้ลี่มี่จึงตัดสินใจจะไปตกกุ้งมาขาย ไม่แน่ว่าผู้คนอาจจะสนใจซื้อไปกิน แม้ว่าหมู่บ้านของนางจะติดกับแม่น้ำ แต่ชาวบ้านหลายคนก็มิมีความสามารถในการตกกุ้ง
ระหว่างที่เดินไปที่แม่น้ำ ลี่มี่ก็พยายามหลบเลี่ยงคนสกุลชุนให้มากที่สุด เพราะวันนี้นางคร้านที่จะต่อปากต่อคำกับคนพวกนั้น ตั้งแต่มาอยู่ที่เรือนสกุลเหมาก็มีหลายคราที่สองแม่ลูกมักพูดเหน็บแนมนางต่อหน้าผู้คนมากมาย และอย่างที่รู้ๆ กันว่านางจะมิยอมอีกต่อไป จึงได้โต้เถียงไปหลายคำ จนบางทีก็ทำให้นางเสียการเสียงาน และเสียเวลาไปมากทีเดียว
เด็กสาวเดินมาถึงแม่น้ำก็พบเข้ากับกวนอู๋ท่ง ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะมาหาปลาที่แม่น้ำ ลี่มี่จึงเดินเข้าไปทักทายเล็กน้อย
“คำนับท่านพี่อู๋ท่งเจ้าค่ะ”
“ลี่มี่เองหรือ มิเห็นหน้าคร่าตาหลายวัน”
“ข้าช่วยท่านยายดองผักไว้กินช่วงฤดูหนาวเจ้าค่ะ จึงมิได้ออกไปที่ใด” ลี่มี่เดินเข้าไปหาอู๋ท่ง แต่กลับมิทันระวังเหยียบดินโคลนจนเกือบล้มหน้าคะมำ ยังดีที่อู๋ท่งเข้ามาช่วยประคองไว้ได้ทัน
“เป็นอันใดหรือไม่…ลี่มี่” ร่างใหญ่เอ่ยถาม ทั้งที่ยังจดจ้องอยู่ที่นัยน์ตาสีสวย
เฮือก!ภาพของชายหนุ่มตรงหน้า กำลังขุดหาเผือกมันปรากฏขึ้นในศีรษะของลี่มี่ แต่เมื่อขุดไปได้ไม่นาน สัตว์เลื้อยคลานมีพิษที่อยู่บริเวณนั้น ก็เลื้อยเข้ามาฉกที่น่องของชายหนุ่ม ฉึก!!!
“ลี่มี่ ลี่มี่”
“เจ้าค่ะ ทะ ท่านจะขึ้นเขาเมื่อใดหรือเจ้าคะ”
“เอ่อ ข้าจะขึ้นเขาในอีกสามวันข้างหน้า มีอันใดหรือ หรือว่าเจ้าอยากจะไปด้วย” ชายหนุ่มพยุงเด็กสาวให้นั่งลงบนพื้นดินข้างตลิ่ง
“ระวังงูเงี้ยวเขี้ยวขอไว้บ้างนะเจ้าคะ หากจะให้ดีพี่อู๋ท่งพันผ้าที่น่องทั้งสองหนาๆ เลยนะเจ้าคะ หนาที่สุดเท่าที่จะทำได้เลยนะเจ้าคะ”
“เอ่อ เจ้า-”
“พี่อู๋ท่งรับปากข้าก่อนเจ้าค่ะ ว่าจะทำตามที่ข้าบอก”
“ได้ๆ พี่จะทำตามที่เจ้าว่า” สีหน้าตื่นตระหนกของเด็กสาวทำให้ชายหนุ่มต้องรีบพยักหน้าตอบรับ
“เจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าขอตัวลาก่อน” ลี่มี่เอ่ยเพียงเท่านั้นก็รีบกลับเรือนด้วยท่าทีร้อนรน หลงลืมไปเสียสิ้นว่าตนเองมาที่แม่น้ำเพื่อสิ่งใด ร่างบางเอาแต่คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ที่ท่านยายเอ่ยว่านางเห็นนิมิตกาลข้างหน้านั้นเป็นจริง
ทำอย่างไรดี หากไปหาท่านหมอ…ท่านจะรักษาได้หรือไม่
“ข้าต้องขอบใจเจ้ามากนะลี่มี่ หากมิได้เจ้าเอ่ยเตือนในวันนั้น ข้าคงต้องตายเป็นผีเฝ้าป่าไปเสียแล้ว” กวนอู๋ท่งเอ่ยขอบใจลี่มี่ยาวเหยียด ด้วยเพราะเมื่อวานที่อู๋ท่งขึ้นเขาไปเก็บเผือกมัน มีงูพิษตัวใหญ่เท่าแขน พุ่งเข้ามากัดน่องของเขา ดีที่เขาพันผ้าไว้ที่น่องตามที่ลี่มี่บอก จึงช่วยให้รอดพ้นมาได้“ขอบใจเจ้ามาก นี่เป็นของฝากจากครอบครัวข้า เจ้ารับไว้เถิด” ท่านลุงกวนผู้ใหญ่บ้าน ยกตะกร้าที่เต็มไปด้วยเนื้อหมู เนื้อไก่ กุ้ง และปลามาวางตรงหน้าสามยายหลาน“หากข้าช่วยได้ ข้าก็ยินดี แต่ข้ามิรับของหรอกเจ้าค่ะ”“รับไว้เถิดมี่เอ๋อร์ พวกข้าเต็มใจยิ่งนัก หากเจ้ามิรับไว้ข้าคงรู้สึกติดค้างในใจไปชั่วชีวิต” ท่านป้ากวนเอ่ยเสริมพลางหยิบขนมที่นางทำเองมายื่นให้ลี่หมิง เด็กชายเหลือบมองไปทางท่านยายและพี่สาวราวกับต้องการขออนุญาต เมื่อเห็นว่าทั้งสองมิได้เอ่ยห้าม จึงส่งมือเล็กๆ ไปถือขนมไว้“ขอบพระคุณขอยับ”“เช่นนั้น ข้าก็ขอรับไว้ ขอบพระคุณเจ้าค่ะ” อยู่พูดคุยกันได้ไม่นาน ครอบครัวผู้ใหญ่บ้านก็ขอตัวกลับเรือนไป จึงเหลือเพียงสามคนยายหลานที่นั่งอยู่ที่เดิม“ยสดียิ่ง อื้มมม” ลี่หมิงนำขนมเข้าปากคำแล้วคำเล่า ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่เรือ
“ให้ยายดูสิ” เหมาไป่จ้องมองไปที่นัยน์ตาของหลายสาวก็พบว่าเป็นดั่งที่หลานชายตัวน้อยเอ่ย มิเพียงเท่านั้นหน้าผากมนของหลานสาวยังมีรอยคล้ายปานรูปดอกบัวติดอยู่ปาน…ปานสีเงินอย่างนั้นหรือ!!?“…” ลี่มี่ที่ยังวิตกกับเรื่องที่เกิดขึ้น จึงมิได้สบตาผู้ใด ปล่อยให้เหมาไป่และลี่หมิงมองสำรวจจนทั่ว“เกิดสิ่งใดขึ้น เจ้าเล่าให้ยายกับน้องฟังเถิด” เรื่องราวที่ได้ฟังจากปากหลานสาวทำให้เหมาไป่แทบมิอยากเชื่อว่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง“ท่านยาย…” สายตาที่ล่องลอยของลี่มี่ทำให้เหมาไป่ต้องรีบเข้าไปกอดปลอบหลานนอกไส้“ดีเหลือเกินที่เจ้ามิบาดเจ็บที่ใด คราวหลังอย่าได้เข้าไปในป่าลึกเช่นนั้นอีกเล่า เข้าใจหรือไม่”“เจ้าค่ะ”“โอ๋ๆ นะขอยับ” มือเล็กป้อมยกขึ้นลูบใบหน้าพี่สาวเบาๆ ลี่มี่อดเอ็นดูกับท่าทีของน้องชายมิได้ จึงกอบกุมเอามือเล็กมาจุมพิต พร้อมกับสบสายตาเข้ากับดวงตาน้อยๆ ทั้งสองที่จดจ้องมาที่นัยน์ตาของนางด้วยแววตาที่หลงใหลและทันใดนั้น…“วันนี้เจ้ากินกุ้งแม่น้ำย่างอย่างนั้นหรือ”“เอ๋? มิได้กินขอยับ น้องกินผัดผัก”“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ายายย่างกุ้งให้พวกเจ้ากินในมื้อเย็น หรือว่ากลิ่นมันติดกายยายมาอย่างนั้นหรือ ฮ่าๆ”“มิ
ดอกบัวสีขาวเพียงดอกเดียวเบ่งบานกลางสระน้ำ ทั้งที่บริเวณโดยรอบมิได้มีสิ่งใดอยู่เลย สองขาเรียวก้าวเข้าไปยืนที่ขอบสระ ยื่นคอดูภายในสระจนทั่ว เพื่อสำรวจหาปลาหากว่าได้ปลากลับไปให้ท่านยายและอาหมิงคงจะดีไม่น้อยเพียงแค่คิดเช่นนั้น ก็มีฝูงปลาหลายสิบตัวแหวกว่ายในสระสีมรกต! ทั้งที่ก่อนหน้านี้ลี่มี่มองไม่เห็นปลาแม้แต่ตัวเดียว ฝูงปลามากมายปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้เด็กสาวตกใจจนพลาดพลั้งเหยียบไปบนโขดหิน ที่เต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ“ว๊าย!” ร่างบางซวนเซ ร่วงลงในสระน้ำจนเปียกปอนไปหมดทั้งตัวตุ้ม!!!“ฮื่อ ลี่มี่นะลี่มี่ มิระวังเอาเสียเลย” ปากเล็กบ่นให้กับความมิระมัดระวังของตนเอง ยังดีที่ของในตะกร้าสานนั้นเปียกน้ำได้ มิเสียหาย มิเช่นนั้นนางคงต้องทุบศีรษะตนเองสักทีสองทีลี่มี่นำตะกร้าออกจากหลังและยกไปไว้ริมสระน้ำ แต่ยังไม่ทันที่นางจะขึ้นจากสระ ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าอย่างไรนางก็เปียกไปทั้งตัวแล้ว ขอไปดูดอกบัวกลางสระให้หายแคลงใจเสียหน่อย ด้วยสงสัยว่าเหตุใดจึงมีดอกบัวเพียงดอกเดียวที่ขึ้นกลางน้ำ ทั้งยังมิเห็นกอบัวเลยสักกอเดียวร่างระหงที่แต่งกายและรวบผมราวกับชายหนุ่ม กำลังแหวกว่ายไปบริเวณกลางสระ ชะโงกหน้าเข้าไป
“แล้วข้าต้องแสดงออกเช่นนางหรือเจ้าคะ”“มิต้องทำเช่นนั้น เพียงแต่ยายอยากให้เจ้ารู้ว่าเวลาใดควรอ่อน เวลาใดควรแข็ง เวลาใดควรแสร้ง เวลาใดควรซื่อตรง หากเจอผู้ที่จริงใจ เราย่อมต้องจริงใจต่อเขา แต่หากว่าเขาไม่ เราก็ไม่ เท่านั้นเอง” เหมาไป่พบเจอผู้คนมาหลายรูปแบบ วิธีรับมือคือตัวเราเองต้องปรับตัวให้ทัน อย่างเจียวมี่มารดาของลี่มี่ นางเป็นคนแข็ง พูดตรง ผู้คนจึงมักมองว่านางปากร้าย มิน่าคบ ต่างกับชุนเจียงที่ทั้งพูดจาไพเราะ อ่อนโยน“ข้าจะพยายามเจ้าค่ะท่านยาย”“หลานยายต้องทำได้แน่ สำคัญอย่าได้ละเลยตัวตนของตนเองเล่า อีกอย่าง ยายรู้ว่าการสูญเสียนั้นเจ็บปวดเพียงใด ยามนี้เจ้าคงอยากเข้มแข็งเป็นที่พึ่งของยายและน้อง แต่ยายยังอยากเห็นมี่เอ๋อร์ที่สดใส ช่างพูดช่างถาม อย่าได้ทำตัวเป็นผู้ใหญ่เกินไปเลย ผ่อนคลายเสียบ้าง”“เอ่อ…ท่านยายมิได้ว่าข้าพูดมากใช่หรือไม่เจ้าคะ” ปากเล็กเบะยื่นออกมาอย่างน่าเอ็นดู“ฮ่าๆ มิได้ว่า” ท่าทีเช่นนี้แหละที่เหมาไป่อยากเห็นเวลาผ่านไปกว่าหนึ่งสัปดาห์ ข่าวลือของลี่มี่ก็เบาบางลง ยังมีบางคนที่มองมาทางนางด้วยสายตาไม่ชอบใจ แต่ก็มีหลายคนที่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดและพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือน
“ขออภัยเจ้าค่ะ ที่ท่านเอ่ยมานั้น หมายถึงข้าใช่หรือไม่” ลี่มี่หน้าตึง เดินตรงไปหากลุ่มคนที่นินทานางอยู่ ลี่มี่ตั้งใจจะไปเอ่ยเล่าความจริงที่เกิดขึ้นให้สตรีเหล่านั้นได้ฟัง แล้วให้พวกนางพิจารณากันเอง แต่หญิงเหล่านั้นกลับเอ่ยวาจาก่อกวน“ข้าได้เอ่ยนามเจ้าหรือ” สีหน้ายียวนจากคนเหล่านั้น ทำให้ลี่มี่อดไม่ได้ที่จะตอบกลับไป นางมิได้ขอข้าวผู้ใดกินอีกต่อไปแล้ว จากนี้นางมิจำเป็นต้องยอมอ่อนให้ผู้ใด ดีมาย่อมดีตอบ แต่หากว่ามาร้ายก็เตรียมใจเอาไว้ได้เลย ว่าลี่มี่ผู้นี้จะมิอยู่เฉย“หึ! กล้านินทาผู้อื่น แต่มิกล้ารับผิด ทำตนเช่นคนขลาดเขลา หวาดกลัวกระทั่งเด็ก น่าสมเพชเสียจริง”“นี่เจ้ากล้าเอ่ยว่าผู้ใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร!” กลุ่มสตรีที่ยืนพูดคุยกันอยู่ถึงกลับตกใจที่ตนเองถูกเด็กสาวว่ากล่าวต่อหน้าต่อตา“ข้าได้เอ่ยนามพวกท่านหรือ…เช่นนั้นจะร้อนรนไปไย” ลี่มี่เอ่ยถามตาใส เมื่อเห็นว่าสตรีเหล่านั้นตกใจ หน้าเสียจนหลงลืมแม้กระทั่งวิธีพูด ร่างบางจึงมิใส่ใจ เดินตรงไปที่เรือนผู้ใหญ่บ้านทันที โดยที่มิรู้เลยว่าการกระทำของตนนั้น ยิ่งทำให้ข่าวลือความอกตัญญูของลี่มี่ถูกเล่าลือยิ่งขึ้นไปอีก ว่านอกจากจะอกตัญญูทำร้ายคนในครอบครัวแ
“เป็นอย่างไร รสดีหรือไม่” เหมาไป่เอ่ยถามหลานสาวและหลายชาย หลังจากตักอาหารให้ทั้งสองได้ลองทาน เช้าวันนี้เหมาไป่เข้าครัวทำอาหารให้หลานๆ ใบหน้าเหี่ยวย่นมองไปที่หลานทั้งสองด้วยสายตาที่คาดหวัง“ดีขอยับ ดีที่สุด”“รสดีมากเจ้าค่ะท่านยาย” ลี่มี่ยกยิ้มขึ้นมาเต็มใบหน้า ไม่ต่างจากลี่หมิงที่บัดนี้ตักข้าวเข้าปากอย่างสุขใจ อาหารที่ท่านยายทำมิได้เลิศรสราวกับนั่งกินในเหลาอาหาร แต่ทว่ากลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความใส่ใจและรักใคร่“เช่นนั้นก็กินให้มาก ประเดี๋ยวยายจะออกไปหาของป่าบนเขา วันนี้พวกเจ้าทั้งสองก็พักอยู่ที่เรือนเถิด” แม้เหมาไป่จะมีอายุมากแล้ว แต่นางมิมีบุตรคอยเลี้ยงดู ทั้งร่างกายยังแข็งแรงพอจะขึ้นเขาได้ นางจึงอาศัยการเก็บของป่ามาเลี้ยงปากท้อง“ท่านยายมิต้องเข้าป่าแล้วเจ้าค่ะ ท่านอายุมากแล้ว ข้ากลัวว่าท่านจะเป็นลมล้มพับไป”“ยายพอมีกำลัง เจ้าอย่าได้เป็นห่วงเลย”“มิห่วงมิได้เจ้าค่ะ พวกเรามีท่านยายเพียงคนเดียวนะเจ้าคะ ต่อจากนี้มี่เอ๋อร์ผู้นี้จะเป็นคนหาเงินมาใช้จ่ายในครอบครัวเองเจ้าค่ะ ท่านยายอย่าได้กังวลไป”“แต่-” เหมาไป่เข้าใจความห่วงใยของหลานสาว แต่จะให้นางปล่อยหลานสาวหาเงินทอง เพื่อเลี้ยงปากท้องของคน