เหมียวเหวินเหวินรีบเช็ดน้ำตาบนใบหน้าแรง ๆ แต่ไม่กล้านอนลง กลัวว่าเย่ซิวจะเกิดสัญชาตญาณดิบขึ้นมาพอรออยู่พักหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเย่ซิวไม่ได้ทำอะไร เธอถึงได้ผ่อนลมหายใจเบา ๆสุดท้ายเธอก็ไม่ได้นอนบนเตียง แค่พิงผนังแล้วขดตัวเป็นก้อนเล็ก ๆ ดูน่าสงสารเหลือเกินเธอไม่รู้ตัวเลยว่าเผลอหลับไปตอนไหน ก่อนที่ทั้งร่างจะค่อย ๆ ล้มลงนอนเช้าวันรุ่งขึ้น แสงแดดแรกส่องลอดเข้ามาในห้องเหมียวเหวินเหวินลืมตาขึ้นแล้วกรีดร้องเสียงดังเมื่อคืนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เธอถึงไปฟุบหลับอยู่บนอกของเย่ซิว!เธอตกใจจนรีบมุดเข้าไปหลบในมุมห้อง ใบหน้าแดงจัดอย่างผิดปกติเย่ซิวลืมตาขึ้นมองเธอแวบหนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย “โวยวายอะไรของเธอ”สีหน้าของเธอเหมือนโดนเขารังแกและตัวเองเสียหายหนักมากยังไงอย่างนั้นน้ำตาของเหมียวเหวินเหวินไหลพรากไม่หยุด ตั้งแต่พลังบำเพ็ญถูกทำลายไป เธอก็ไม่รู้สึกปลอดภัยเอาเสียเลย อีกทั้งจิตใจก็เปราะบางลงมากแม้จะบอกตัวเองในใจว่าห้ามร้องไห้เด็ดขาด แต่ก็ห้ามไม่ได้เลยเย่ซิวไม่สนใจอารมณ์ของเธอเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะสั่งเสียงเข้มแบบไม่ไว้หน้า “มาช่วยฉันแต่งตัวล้างหน้าแปรงฟันหน่อย”“ฉัน…ทำไม่เป็น
แน่นอน ด้วยสภาพของเหมียวเหวินเหวินในตอนนี้ เธอไม่สามารถสร้างความเสียหายอะไรให้เย่ซิวได้เลยแม้แต่น้อยเย่ซิวใช้มือข้างหนึ่งกดลงบนหน้าท้องของเธอ ทำให้เหมียวเหวินเหวินขยับได้แค่แขนขา ดิ้นพล่านอย่างไร้ทิศทาง“ไอ้สารเลว ฉันจะสู้กับแกให้ตายไปเลย ถ้าแน่จริงก็ปล่อยฉันสิ!”เหมียวเหวินเหวินอยู่ในสภาพจิตใจที่สับสนใกล้บ้าคลั่งเย่ซิวส่งเสียงหึ ก่อนจะปล่อยพลังเย็นยะเยือกออกมา “แนะนำว่าอย่าคิดทำอะไรโง่ ๆ จะดีกว่า ไม่งั้นฉันจะลากเธอออกไปข้างนอก แล้วฉันจะทำอย่างว่ากับเธอต่อหน้าทุกคนไปเลย”คำพูดนี้ทำให้หัวใจของเหมียวเหวินเหวินสะดุดวูบ ร่างกายแข็งทื่อ “นายกล้าหรือไง!”“เดาดูสิว่าฉันกล้าหรือเปล่า”ระหว่างที่พูด สายตาของเย่ซิวเต็มไปด้วยความก้าวร้าว ก่อนจะกวาดมองจากใบหน้าของเธอไล่ลงมา จนมาหยุดที่เรียวขางามได้รูปซึ่งห่อหุ้มด้วยถุงน่องสีดำกล้ามเนื้อทั้งร่างของเหมียวเหวินเหวินตึงเครียด ขนลุกตั้งชันไปทั่วทั้งตัวเมื่อเห็นว่าเธอเริ่มเงียบลง เย่ซิวก็ยกมือขึ้นตบแก้มเธอเบา ๆ“ขอแนะนำว่าให้เธอรู้สถานะตัวเองไว้หน่อย ตอนนี้เธอไม่ใช่สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งสำนักจ้าวโอสถอีกต่อไปแล้ว แถมยังสูญเสียพลังบำเพ็ญ
เขานึกว่าเย่ซิวจะ…เย่ซิวรู้ว่าอีกฝ่ายเข้าใจผิด แต่ก็ไม่ได้อธิบายอะไรตัวเขาไม่ได้คิดอะไรกับร่างกายของเหมียวเหวินเหวินอยู่แล้ว สิ่งที่สนใจก็คือฝีมือการกลั่นโอสถของเธอต่างหากต้องพาผู้หญิงคนนี้กลับไปฝึกให้เชื่องเสียหน่อยพอเธอเชื่อฟังดีแล้ว ก็สามารถช่วยซ่อมแซมจุดตันเถียนให้เธอได้ ต่อจากนั้นก็ให้เธอช่วยกลั่นโอสถให้เขาเขาเดินตามเจ้าสำนักโอสถมาจนถึงคลังสมบัติ อีกฝ่ายเปิดประตูคลังด้วยสีหน้าไม่เต็มใจภายในคลังมีสมบัตินานาชนิดเรียงรายสวยงามจนเลือกไม่ถูกเย่ซิวเริ่มกวาดเก็บเข้ากระเป๋าทันทีโดยไม่พูดอะไรสักคำเมื่อเห็นเย่ซิวลงมือ เจ้าสำนักโอสถก็เจ็บปวดเหมือนจะขาดใจ ในขณะที่สมบัติในคลังหายไปกว่าหนึ่งในสามแล้วเขาจำต้องเอ่ยปาก “คุณชาย ช่วยเหลือไว้ให้พวกเราบ้าง อย่างน้อยก็เหลือไว้ให้นิดหน่อยเถอะครับ”เย่ซิวไม่หยุด แถมยังเร่งมือเก็บให้เร็วขึ้นอีกในใจของเจ้าสำนักโอสถเริ่มรู้สึกอยากฆ่าเขา แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกมาไม่นาน เย่ซิวก็เก็บของในคลังสมบัติไปจนเกลี้ยงเขามองหน้าเจ้าสำนักที่ตอนนี้มีสีหน้าเหมือนกลืนแมลงวันไปเป็นร้อยแล้วหยิบป้ายคำสั่งของสำนักโลหิตสังหารออกมาสะบัดไปมาตรงหน้าอีกฝ่าย
“น้องชายคนนี้ ฉันขอเชิญเข้าร่วมสำนักจ้าวโอสถอย่างจริงใจ ตำแหน่งรองเจ้าสำนักยังว่างอยู่ ไม่ทราบว่านายจะรับตำแหน่งหรือเปล่า”ผู้หญิงคนนี้มีความเด็ดขาดไม่ธรรมดา เมื่อเห็นว่าผู้หนุนหลังของเย่ซิวคือราชาแห่งรัตติกาล แล้วยังเห็นฝีมือกลั่นโอสถที่ทิ้งห่างคนรุ่นเดียวกันแบบไม่เห็นฝุ่น เธอจึงยื่นข้อเสนอออกมาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อยทุกคนในที่เกิดเหตุต่างตกใจไปตาม ๆ กัน เพราะนี่ไม่ใช่ตำแหน่งเล็ก ๆ แต่เป็นถึงรองเจ้าสำนักระดับสี่เป็นตำแหน่งที่อยู่ใต้เจ้าสำนักเพียงผู้เดียวเท่านั้น มีอำนาจล้นฟ้า แค่จามทีเดียวก็อาจเกิดแรงสั่นสะเทือนไปทั้งแคว้นได้เลยแม้แต่เหลิ่งเฟิงก็ยังยอมรับในความกล้าของผู้หญิงคนนี้เย่ซิวชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบว่า “ขอบคุณสำหรับน้ำใจ แต่ตอนนี้ผมยังไม่อยากออกไปจากที่นี่ครับ”ตำแหน่งรองเจ้าสำนักของสำนักจ้าวโอสถฟังดูน่าดึงดูดก็จริง แต่ในสำนักระดับสูงแบบนั้น พลังอำนาจนั้นซับซ้อนวุ่นวาย หากตัวเองไม่มีรากฐานอะไรเลย แล้วอยากจะยืนหยัดให้มั่นคงย่อมต้องใช้พลังและเวลามากมาย และสิ่งนั้นจะกระทบกับความเร็วในการฝึกฝนของเขาอย่างมากอีกอย่าง เขาก็ไม่รู้นิสัยของอีกฝ่ายดีพอ การไปอยู
ตูม!เมื่อปลายนิ้วนั้นเข้าใกล้เหมียวเหวินเหวินไม่ถึงสิบเซนติเมตร จี้ที่เธอสวมอยู่ก็ปล่อยแสงเจิดจ้าเป็นหมื่นสายจากนั้นรวมตัวกันกลายเป็นหญิงสาวที่สง่างามและดูทรงอำนาจ ยื่นมือออกมาขวางการโจมตีครั้งนั้นเอาไว้หญิงสาวคนนั้นเห็นเจ้าสำนักรัตติกาลแล้ว สีหน้าก็ปรากฏความประหลาดใจ “ราชาแห่งรัตติกาลผู้ทรงเกียรติ ศิษย์ของฉันไปล่วงเกินท่านตรงไหน ถึงทำให้ท่านต้องลดตัวลงมาลงมือเองแบบนี้”“เรื่องนี้ให้ฉันเป็นคนพูดเองดีกว่า”หยางชิงเสวี่ยพูดขึ้น แล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดตามความจริง โดยไม่ได้แต่งเติมอะไรแม้แต่นิดเดียวหลังจากฟังจบ เจ้าสำนักจ้าวโอสถก็ก้มหน้ามองเหมียวเหวินเหวินที่กำลังตัวสั่น “สิ่งที่ชิงเสวี่ยพูดเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า”เหมียวเหวินเหวินอยากจะโกหกมาก แต่พอเห็นสายตาที่เหมือนจะมองทะลุทุกอย่างได้ ก็ไม่กล้าพูดโกหก จึงพยักหน้ารับสารภาพเจ้าสำนักจ้าวโอสถถอนหายใจ “ฉันเคยบอกเธอแล้วว่าให้ปรับนิสัยหยิ่งผยอง ไม่เห็นหัวคนอื่นเสียใหม่ แต่เธอก็ไม่เคยฟังเลย”เหมียวเหวินเหวินก้มกราบซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ฉันผิดไปแล้ว ต่อไปจะไม่ทำอีก ขอร้องล่ะ อย่าทิ้งฉันเลย”“ทุกคนต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตัวเองทำ
“ฉัวะ!” มีดสั้นในมือของเย่ซิวแทงทะลุร่างหญิงชราอย่างง่ายดายหญิงชราแข็งค้างอยู่ตรงนั้น ก่อนจะก้มหน้าลงมองดูมีดที่ปักอยู่กลางท้องอย่างยากลำบาก ดวงตาเบิกกว้าง “นี่มัน…”ยังพูดไม่ทันจบลมหายใจก็ขาดหายเย่ซิวเตะร่างเธอออกไปเต็มแรง ร่างนั้นเปรอะไปด้วยเลือด ดูแล้วน่ากลัวอย่างถึงที่สุดการกระทำของเขาทำให้ทุกคนในสนามตาค้าง แขนขาเย็นเฉียบ พูดอะไรไม่ออกเหมียวเหวินเหวินกรีดร้องด้วยน้ำเสียงแหลมสูงที่เจือความเคียดแค้นอย่างรุนแรง “แกกล้าฆ่าคนของสำนักจ้าวโอสถ แกตายแน่ ต่อให้เทพเจ้าฟ้าดินมาโปรดก็ช่วยแกไม่ได้!”แม้แต่หยางชิงเสวี่ยก็ไม่คิดว่าเย่ซิวจะกล้าทำเรื่องแบบนี้เธอไม่มีเวลาคิดเรื่องที่ว่าความสามารถต่างกันขนาดนั้น แต่เย่ซิวทำได้ยังไงเธอรีบวิ่งมาหาเขา ก่อนจะเอ่ย “รีบหนีไปซะ ตอนนี้ยังทัน ไปซ่อนตัวในที่ที่ไม่มีคนสักสิบปี”เย่ซิวส่งสายตาให้เธออย่างมั่นใจ แล้วส่งพลังวิญญาณเข้าไปในมีดสั้นในมือแสงสีแดงสลับดำลุกโชนจากตัวมีด พุ่งทะยานขึ้นฟ้าแล้วแปรเปลี่ยนเป็นเงาร่างยักษ์สูงกว่าพันจั้งในรูปทรงมนุษย์ตูม! จิตสังหารเย็นเยียบแผ่กระจายออกมาราวกับคลื่นทะเล ทั้งสำนักโอสถถูกปกคลุมด้วยเงามืดที่ไม