“ซิงซิน! หากเจ้าไม่บอกและข้ารู้ทีหลังไม่เพียงแต่ชีวิตเดียวของมันที่ยังมิอาจยื้อได้ ครอบครัวของมันข้าก็จะไม่ละเว้น บอกมา!”จินซิงซินสะดุ้งเฮือกเมื่อสบแววตาแข็งกร้าวและคำพูดโหดร้ายอย่างที่ไม่เคยเจอ หลี่หลานหมิงลืมตัวลุกนั่งคร่อมร่างนางไม่พอยังเขย่าแขนอย่างแรง จินซิงซินตกใจหน้าแดงก่ำน้ำตาไหลพรากเพราะถูกบีบต้นแขนแน่นถึงกับปิดหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้นครู่หนึ่งจึงค่อยๆ บอกเสียงแผ่วโหย “ข้าบอกก็ได้ สามีอย่าทำร้ายท่านยายเลยนะ ซิงซินรักท่านยายมีท่านยายเพียงคนเดียวที่สั่งสอนซิงซิน”“ที่แท้เป็นท่านยายเจ้าอีกแล้วหรือ!”จินซิงซินพยักหน้าพลางปาดน่ำตา “เป็นท่านยายที่สั่งสอน”“แล้วนางสอนอะไรเจ้าอีกบ้าง!”“ฮือ ฮือ ท่านยายสอนว่าหากโตเป็นสาวเข้าพิธีปักปิ่นแล้วต้องแต่งงานเป็นภรรยาของใครสักคน ก่อนที่จะแต่งงานห้ามมิให้ผู้ใดเห็นเรือนร่างที่ไม่สวมใส่เสื้อผ้า ห้ามมิให้ผู้ใดจับสัมผัสของสงวนทั้งบนและล่างภายใต้ร่มผ้านอกเสียจาก... ฮือ ฮือ นอกเสียจาก...”อ๋องพยัคฆ์ใจหล่นทันใดที่เห็นน้ำตาดรุณีน้อยไหลหลั่งราวทำนบแตกกว่าจะรู้สึกตัวและคลายนิ้วมือที่บีบต้นแขนนางจนเกิดรอยแดงก็ต่อเมื่อนางร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุดจึงได้อ่อนล
กระทั่งถูกปลุกเร้าด้วยฝ่ามือที่เลื่อนลงมาสัมผัสทรวงอกตูมเต่งตึงนอกร่มผ้าอย่างเพิ่มความร้อนแรงกว่าจะรู้ตัวว่าถูกอารมณ์สิเน่หาพาไป ดรุณีน้อยผู้ไร้เดียงสาก็อยู่ในสภาพเกือบเปลือยหลังจากเสื้อผ้าเลอะเทอะถูกอีกฝ่ายเปลื้องออกโดยไม่รู้ตัวมีเพียงเอี๊ยมตัวน้อยปิดบังเรือนร่างงามเอาไว้เท่านั้น“เจ้างดงามเหลือเกินซิงซิน” หลี่หลานหมิงเอ่ยอย่างพึงใจ “งดงามจนข้าอดใจไม่ล่วงเกินเจ้าไม่ไหวแล้ว บอกให้ข้าชื่นใจสักครั้งว่าเจ้าเต็มใจที่จะเป็นชายาของข้า”“ซิงซิน เอ่อ...”“หืม... “ แม้จะเต็มไปด้วยความหวั่นไหว แต่ยามนี้ขอเพียงได้ฟังคำตอบ เขาก็พร้อมจะพานางขึ้นเขาสูงหรือลงทะเลเพลิงโดยไม่สนผู้ใด “ข้าอยากฟัง...”“ไม่รู้” นางเอ่ยพลันหลบตาหลี่หลานหมิงแม้จะผิดหวังเล็กน้อยแต่ก็พยายามสะกดกลั้นอารมณ์“เจ้าไม่เต็มใจหรือ เช่นนั้นข้าก็...” “ไม่นะ! ซิงซินอยากเป็น”“เป็นอะไร เป็นอะไร เจ้าบอกข้าสิ ซิงซิน”“เป็นภรรยาของ...” นางว่าเพียงแค่นั้นก็ถูกจูบปิดปากอีกตามเคย ยามนี้แม้แต่หลี่หลานหมิงเองยังไม่รู้ตัวเลยว่าขึ้นทาบทับเรือนร่างอ่อนนุ่มไปทั้งตัวตั้งแต่เมื่อใด เพียงอาภรณ์ที่ปิดกั้นผิวเนื้อที่ควรจะแนบชิดก็กลับเป็นสิ่งรำคาญใจ
นางตวาดบุตรชายพลางมองตามร่างกำยำที่อุ้มร่างเล็กผมเผ้ารุงรังไกลห่างออกไป พลันสายตาก็สังเกตเห็นบางสิ่งที่กำลังล้อแสงอาทิตย์วาววับบนศีรษะจินซิงซินเป็นไปไม่ได้!นั่นมิใช่ปิ่นปักทับทิมที่เป็นสมบัติประจำตัวของไทเฮาองค์ก่อนหรอกหรือ เหตุใดจึงมาอยู่บนศีรษะนาง!ทั้งที่ของมีค่าควรเมืองนี้ควรเป็นของนาง!มันควรเป็นของนาง!ไม่ทันถึงเรือนเหม่ยจิ้ง หลี่หลานหมิงก็เจอกับสองขุนพลคู่ใจที่หายไปตั้งแต่เกิดเรื่องจึงได้รู้จากปากคนขรึมว่าที่จินซิงซินโวยวายนั้นก็เพราะองค์รัชทายาทหลี่อี้หลงทรงปล่อยกระต่ายออกจากกรงไปทั้งฝูงกว่าพวกเขาและทหารรับใช้จะไล่จับกลับมาครบก็แทบหมดแรง“ขอบใจพวกเจ้า”“หามิได้ท่านอ๋อง แต่พระชายา...” หม่าชิงเทียนเหลือบมองร่างในอ้อมแขนผู้เป็นนายแล้วรู้สึกขยาดเล็กน้อยก่อนเอ่ย “นางบาดเจ็บหรือไม่ เมื่อครู่ชุลมุนนัก ข้ากับเฉาเสี่ยนยังมิอาจทัดทานการต่อสู้ของพวกเขาได้เลย”“นางไม่เป็นไรมาก มีแค่บาดแผลถลอกเล็กน้อยเท่านั้น”“แล้วเหตุใดต้องทรงอุ้มกลับมาเช่นนี้ หรือว่าฮองเฮาทรงทำโทษที่นางทำให้รัชทายาทมีบาดแผล” หวังเฉาเสี่ยนเอ่ยถามสีหน้าไม่สู้ดีเพราะไม่สามารถช่วยได้มากหลี่หลานหมิงส่ายหน้าปฏิเสธก่อนจะพยั
“ตุ้งตุ้งของซิงซิน ฮือ ฮือ ซิงซินมีแต่ตุ้งตุ้งเท่านั้น”“มิใช่ เจ้ายังมีข้า”“แต่...” “ข้าจะเอามันคืนให้เจ้า หยุดร้องนะ” หลี่หลานหมิงกระซิบก่อนตวัดสายตาคมกริบไปที่หลานชายตัวดี “อี้หลงเอากระต่ายคืนมา”องค์ชายน้อยได้ฟังก็ไม่พอใจกระชับอกเสื้อแน่นเข้าก่อนเอ่ยเสียงกร้าว “ของอยู่กับผู้ใด คนนั้นก็เป็นเจ้าของหาไม่แล้วใครนึกเอาแต่ใจกล่าวหาใครก็ย่อมได้เช่นนั้นหรือ”“ก็เจ้าเอาของข้าไปจริงๆ”“เจ้าพูดจาสามหาว อย่ามาปรักปรำข้า”“ก็ที่อยู่ในอกเสื้อเจ้ามันคือตุ้งตุ้งของข้าหรือมิใช่ เช่นนั้นก็เอาสิ่งที่อยู่ในอกเสื้อเจ้าออกมาให้ข้าดูสิ เด็กดื้อ”“เสด็จแม่! นะ นะ นางกล่าวหาลูกว่าเป็นเด็กดื้อ”“สามหาว! เจ้ากล้าทำเช่นนี้กับองค์รัชทายาทได้ ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ เห็นทีสามสิบไม้คงไม่พอ”ชิงอ๋องชงเหอที่ยืนเงียบฟังอยู่นานจ้องมองน้องชายร่วมสายเลือดบิดาสวมกอดจินซิงซินทั้งยังออกโรงปกป้องก็นึกเวทนา นางงดงามจริงอย่างสิ้นข้อสงสัยแต่เนื้อในความงามกลับว่างเปล่าราวกับเด็กเหมือนหลานชายของตนไม่มีผิดคนหนึ่งเป็นถึงองค์รัชทายาท อีกคนเป็นชายาอ๋องพยัคฆ์ แต่กลับมาทะเลาะกันด้วยเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ เห็นทีรู้ถึงไหนคง
“เสด็จแม่! ช่วยลูกด้วย!”เสียงร้องลั่นราวกับขวัญผวาตามด้วยฝีเท้าวิ่งตึกตักผ่านประตูบ้านใหญ่เข้ามา ทำให้การสนทนาตึงเครียดเมื่อครู่หยุดลง หลินเซียวหลิงเพ่งมองร่างอ้วนปุกในชุดเครื่องแต่งกายผ้าไหมแพงระยับด้วยแววตาขุ่นข้องก่อนจะรุดนั่งชันเข่าอ้าแขนรับเด็กน้อยเข้ามาไว้ในอ้อมแขนท่ามกลางความสงสัยของสององค์ชายที่ต่างนิ่งงันไป“ลูกอี้ เจ้าวิ่งหนีอะไรมา”“ท่านแม่ข้าเจอคนประหลาด!”“คนประหลาดหรือ อย่างไร แล้วเสี่ยวชิงกับหลันหลันเล่า มิได้อยู่ดูแลเจ้าหรือ”“พวกนั้นใช้ไม่ได้ เจอคนประหลาดเข้าไปก็สู้ไม่ได้”หลี่หลานหมิงฟังแล้วอึ้งมองสองแม่ลูกสลับกับนางกำนัลทั้งสองที่กระหืดกระหอบเข้ามาผมเผ้ายุ่งเหยิง ตามด้วยร่างอรชรสวมชุดสีฟ้าพลิ้วไสวที่วิ่งตามเข้ามาไม่ลดละ พลันองค์ชายน้อยก็ชี้มือป้อมๆ ไปที่นาง“นั่นไงเสด็จแม่ นางคนประหลาดที่วิ่งไล่ลูกกับเสี่ยวชิงหลันหลัน” เด็กน้อยได้ทีฟ้องยกใหญ่ทั้งหมดมองตามด้วยความรู้สึกต่างกัน ชิงอ๋องชงเหอแทบหลุดหัวเราะ ในขณะที่หลี่หลานหมิงถึงกับหน้าตึงกับสภาพของจินซิงซินที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงเสื้อผ้าไม่เรียบร้อยพอกันกับสองนางกำนัล จินซิงซินจะเข้าไปยื้อยุดองค์ชายน้อยอีกแต่ถูกคว้าแขนไว้
หลินเซียวหลิงถึงกับเข่าอ่อนล้มลงยังดีที่หลี่หลานหมิงคว้าแขนเอาไว้ได้ นางได้ทีโผเข้าสวมกอดไม่เพียงไม่ใส่ใจกับคำทัดทานกลับกระชับอ้อมกอดแน่นแนบหน้ากับอกแกร่งด้วยความโหยหา มิใยที่หลี่หลานหมิงจะผลักไสแต่นางไม่ยอมปล่อย กระทั่งเสียงปรบมือดังแทรกขึ้นทั้งสองจึงผละออกจากกัน“กำลังทำอะไรกันอยู่หรือ”“องค์ชาย!”“ที่แท้เป็นฮองเฮา... ข้าไม่คิดว่าฮองเฮาจะเสด็จมาตำหนักเหมันต์ตามลำพังเช่นนี้”หลินเซียวหลิงปรายตามองร่างกำยำในชุดยกปลายแขนเสื้อปาดน้ำตาปรับสีหน้าอ่อนหวานก่อนเอ่ย “หม่อมฉันมากับลูกอี้ ไม่คิดว่าจะพบองค์ชายสามที่นี่ หม่อมฉันไม่เห็นเหยี่ยวทะเลทรายขององค์ชาย”“หากฮองเฮาทรงเห็นมัน ข้าเกรงว่าก็คงจะไม่เห็นอะไรดีๆ เช่นนี้ เจ้าว่าจริงหรือไม่น้องสี่” หลี่ชงเหอปรายตามองน้องชายต่างมารดาด้วยแววตาลึกล้ำส่วนหนึ่งไม่รู้ดีร้ายแต่หลี่หลานหมิงที่หน้านิ่งไม่ตอบกลับโล่งอกยิ่งนักที่มีคนมาขัดจังหวะ โดยเฉพาะกับคนที่ทำให้หลินเซียวหลิงรู้จักเกรงใจได้อย่างชิงอ๋องชงเหอผู้พี่ชาย “ไม่ได้พบกันนานองค์ชายสามยังคงวาจาเชือดเฉือนเหมือนเดิม”“ข้าก็เป็นของข้าเช่นนี้”“นิสัยอย่างไรก็ยังอย่างนั้น ไม่ทรงเปลี่ยนไปเลยสักนิดนะเพคะ