“หล่อวายร้าย...”
เจิ้งลี่ซาพึมพำกับตัวเองขณะจ้องมองรูปถ่ายในมือ หัวใจเต้นระรัวอย่างห้ามไม่อยู่ ชายในรูป...ฉู่เฮ่าหราน...น่าจะสูงราว ๆ ร้อยแปดสิบกว่าเซนติเมตร ผมสีนิลขลับรับกับดวงตาคมเข้มลุ่มลึก แนวสันกรามคมคายมีไรหนวดจาง ๆ เขากำลังจ้องมองกล้องด้วยสายตาดุดัน มุมปากบิดขึ้นเล็กน้อยราวกับกำลังขมวดคิ้ว จะบอกว่าเขาเซ็กซี่คงจะน้อยเกินไป ผู้ชายคนนี้คือภาพจำของผู้ชายในฝันที่สมบูรณ์แบบ เขาหล่อเหลาอย่างไร้ที่ติ และเธอก็รู้ดีว่ารูปถ่ายใบนี้กำลังส่งผลต่อการตัดสินใจของเธอว่าจะรับงานพิเศษชิ้นนี้ดีหรือไม่
“หลินซี พวกเขาอยากให้ฉันแต่งตัวเป็นเลขาฯ แล้วเข้าไปในออฟฟิศของเขา ไปเต้นยั่วให้เขาดูน่ะสิ ฉัน...ฉันไม่รู้ว่าจะทำได้รึเปล่า” เธอครางใส่โทรศัพท์
ใบหน้าของเจิ้งลี่ซาร้อนผ่าวขณะจ้องมองรูปชายหนุ่ม และเธอก็รู้ดีว่าตัวเองกำลังโกหก เธอไม่มีปัญหาเลยสักนิดที่จะเต้นยั่วให้พ่อสุดหล่อคนนี้ดู ถ้าเขาเป็นแฟนของเธอน่ะนะ แต่เขาไม่ใช่แฟนเธอ เธอไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีเธออยู่บนโลกใบนี้ และเขาก็ไม่รู้เลยว่าเพื่อนร่วมงานของเขากำลังจะเล่นพิเรนทร์กับเขา
“อย่านะแก! นี่แกไปเป็นนักเต้นระบำเปลื้องผ้าตั้งแต่เมื่อไหร่” หลินซี เพื่อนสนิทถามกลับมาด้วยน้ำเสียงตกใจสุดขีด “ฉันก็นึกว่าที่ทำงานแกรับแค่งานร้องเพลงอวยพรวันเกิดอะไรทำนองนั้นเสียอีก”
เจิ้งลี่ซาถอนหายใจ
“ก็ใช่น่ะสิ แต่บางทีหัวหน้าก็ได้งานพิเศษมาบ้าง แล้วค่าจ้างมันก็ดีกว่า”
“ดีกว่าแค่ไหนเชียว”
“ก็...ประมาณสองหมื่นหยวน” เธอพูดแล้วครางออกมาอีกครั้ง ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนแผ่บนเตียงแล้วชูรูปของฉู่เฮ่าหรานขึ้นเหนือหัว “เงินสองหมื่นหยวนมันคุ้มค่าพอที่จะให้ฉันทิ้งศักดิ์ศรีของตัวเองไหมนะ”
เธอถามหลินซี ในใจก็หวังว่าเพื่อนจะอยู่ที่นี่ด้วย มาให้คำปรึกษาและเขย่าตัวเธอให้เลิกคิดที่จะรับงานนี้เสียที แต่เรื่องน่าเศร้าก็คือ เงินพิเศษสองหมื่นหยวนไม่ใช่สิ่งดึงดูดใจที่แท้จริง การจะได้เจอฉู่เฮ่าหรานต่างหาก
“มีไม่กี่อย่างหรอกนะที่ฉันจะไม่ยอมทำเพื่อเงินสองหมื่นหยวน แล้วเชื่อฉันเถอะ แกไม่มีวันเสียศักดิ์ศรีหรอก” หลินซีพูดจนเธอหัวเราะออกมา
“เมื่อไหร่แกจะมาเยี่ยมฉันบ้าง” เธอถามเสียงอ่อย พยายามไม่ทำเสียงเหมือนกำลังคร่ำครวญ ทั้งที่ในใจเป็นอย่างนั้นจริง ๆ มันเหงาเหลือเกินที่ไม่มีเพื่อนสนิทอยู่ใกล้ ๆ
“เร็ว ๆ นี้แหละ” หลินซีตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงร่าเริง “ทันทีที่ฉันเขียนหนังสือเล่มแรกของฉันเสร็จ”
“แกมาเขียนที่นี่ก็ได้นะ มาอยู่กับฉันเลย ไม่ต้องจ่ายค่าเช่า” เธอเสนอ
“ลี่ซา ฉันรักแกนะ แต่แค่ค่าใช้จ่ายของแกคนเดียวก็แทบจะไม่รอดอยู่แล้ว ลองคิดดูสิว่าถ้าเราสองคนโดนไล่ออกมาจะไปอยู่ที่ไหนกัน”
“ฉันคิดถึงแก อยากให้แกย้ายมาอยู่ที่นี่ได้แล้ว”
เธอโอดครวญใส่โทรศัพท์ หลินซีกับเธอเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่อายุสี่ขวบ สนิทกันตอนเจ็ดขวบ และผ่านช่วงมัธยมกับมหาวิทยาลัยมาด้วยกันชนิดที่ตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋ พอเรียนจบทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เธอต้องย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองใหญ่เพื่อไล่ตามความฝันตลอดชีวิตที่จะเป็นนักแสดง ส่วนหลินซีก็ย้ายกลับบ้านไปเพื่อเขียนหนังสือ หรือจะให้พูดให้ถูกก็คือ ‘สุดยอดวรรณกรรม’ ที่จะดังเป็นพลุแตกจนบรรณาธิการทุกคนต้องแย่งกันพิมพ์ จากนั้นหลินซีก็จะรวยและมีชื่อเสียงแล้วดูแลพวกเธอทั้งคู่จนกว่าจะหาสามีดี ๆ ได้
ส่วนอีกแผนก็คือ เธอจะได้แสดงซีรี่ย์ฟอร์มยักษ์คู่กับหลัวอวิ๋นซี แล้วก็รวยและมีชื่อเสียงแล้วดูแลหลินซีแทน แต่จนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่มีแผนไหนเวิร์คเลยสักอย่าง หนังสือของเพื่อนมีอยู่สิบหน้า ส่วนอาชีพนักแสดงของเธอก็ยังไม่เกิด นอกเสียจากบทบาทที่เธอได้รับจากบริษัท ‘ซิงเย่าเอเจนซี่’
ที่จริงแล้วซิงเย่าเอเจนซี่ถูกบริหารโดยชายที่ชื่อเถ้าแก่ป๋อ เขาทั้งแก่และขี้เหนียวราวกับหลุดออกมาจากหนังจีนยุคแปดศูนย์ ผมเผ้ายุ่งเหยิง หนวดเครารุงรัง แถมยังชอบใส่เสื้อกล้ามโทรม ๆ สีขาวอยู่ตลอดเวลา เธอรับงานนี้เพราะต้องการเงินอย่างการได้รับบทนักแสดงตัวประกอบในซีรี่ส์ต่าง ๆ แต่ภารกิจหลัง ๆ ที่ได้รับมามันก็ดูจะหมิ่นเหม่ขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะงานนี้มันเกินขอบเขตไปมาก การเต้นยั่วให้คนแปลกหน้าดูมันหมายความว่ายังไงกันแน่ ถึงมันจะเป็นแค่เรื่องล้อเล่น แต่มันจะทำให้เธอกลายเป็นผู้หญิงใจง่ายราคาถูกรึเปล่า
“แล้วแกจะเอายังไงล่ะ ลี่ซา” หลินซีถามอย่างกระตือรือร้น เธอรู้ดีว่าเพื่อนกำลังสนุกกับสถานการณ์ลำบากใจของเธอ
“แกเห็นรูปที่ฉันส่งไปให้แล้วใช่ไหม เถ้าแก่ป๋อให้ฉันมา บอกว่าลูกค้าไม่ใช่ตาลุงแก่ ๆ ที่ไหน”
“ใช่ เขาหล่อมาก หล่อโคตร ๆ แกลุยเลยสิ นี่มันโชคดีแค่ไหนแล้วที่ได้เงินสองหมื่นหยวนเพื่อไปเจอเขาน่ะ” หลินซีหัวเราะ
“ฉันต้องทำมากกว่าเจอนะ ฉันต้องแกล้งทำเป็นเลขาฯ คนใหม่ของเขา แล้วก็ต้องเต้นยั่วให้เขาดูในออฟฟิศ จากนั้นเพื่อนร่วมงานเขาก็จะบุกเข้ามาในห้องแล้วตะโกนว่า ‘เซอร์ไพรส์!’ ฉันแค่ไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังจะถลำลึกลงไปในทางที่ผิดรึเปล่าถ้ารับงานนี้”
“ก็ทำสิ! มันจะแย่สุดได้แค่ไหนกันเชียว” หลินซีหัวเราะคิกคัก
“แกนี่มันจริง ๆ เลยนะ หลินซี”
เจิ้งลี่ซาลุกขึ้นนั่งแล้วส่ายหน้าให้โทรศัพท์ พวกเธอทั้งคู่ต่างก็รู้ดีว่าเรื่องที่แย่ที่สุดมันเป็นอย่างไร มันเคยเกิดขึ้นกับเธอมาแล้ว แต่ก็นั่นแหละ...นั่นมันคืออดีต และนี่คือปัจจุบัน แถมยังเป็นสถานการณ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่เธอต้องการเพื่อกลับเข้าสู่เกมหาคู่อีกครั้ง และรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นก็ได้
“แกถึงได้รักฉันไง” เธอได้ยินเสียงเพื่อนพูด และนึกภาพดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของหลินซีที่กำลังหยีลงอย่างขบขันได้เลย
“ถ้ารับงานนี้แล้วแกจะมาเยี่ยมฉันไหม ค่าจ้างงานนี้ฉันจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินให้แกได้สบายเลย” เธอพูด พยายามเมินความรู้สึกในใจที่บอกว่าควรจะเอาเงินไปฝากธนาคารมากกว่า
“ได้สิ ฉันแทบจะรอไม่ไหวแล้ว”
“ฉันก็เหมือนกัน”
เธอพูดเสียงเบาขณะมองรูปของฉู่เฮ่าหราน แต่เธอไม่ได้หมายถึงการมาเยี่ยมของเพื่อนเลยสักนิด
น้ำเสียงของเขาแหบพร่าขณะโน้มใบหน้ามากระซิบชิดริมหู ลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ารดทำให้ผิวเนื้อของเธอซาบซ่านไปทั่วร่าง ขาแข้งพลันอ่อนแรงขึ้นมาดื้อ ๆเขาไม่รอคำตอบ แต่กลับจงใจเว้นจังหวะ ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำยั่วยวน“ครั้งหน้าที่คุณอยู่บนเตียงผม ผมจะมัดคุณไว้ไม่ให้ดิ้นไปไหน แล้วจะบีบวิปครีมลงบนยอดอกของคุณ แล้วก็จะ...”“ฉู่เฮ่าหราน!” เธอตัดบทเขาเสียงเข้ม ใบหน้าของเธอร้อนเห่อเมื่อเหลือบไปเห็นซ่งจื่อหานกับฉู่ลี่เหยียนที่มองมาจากอีกมุมห้องด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้ พวกเธอกำลังเปิดอัลบั้มรูปสมัยมัธยมดูกันอยู่ระหว่างรอเล่นเกมต่อ“ครับ...คุณเจิ้งลี่ซา” ฉู่เฮ่าหรานก้าวถอยหลังเล็กน้อย ก่อนจะส่งยิ้มซื่อตาใสกลับมาให้“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” เธอตวาดเสียงเบาพลางทุบหน้าอกเขาเบา ๆ เป็นเชิงเตือน เมื่อเห็นว่าสองสาวทางโน้นแกล้งทำเป็นไม่สนใจ“หยุดอะไรครับ” เขายิ้มมุมปาก ใช้นิ้วลากไล้ผ่านริมฝีปากของเธอแผ่วเบา“คุณทำแบบนี้ไม่ได้นะ!” ดวงตาของเธอฉายแวววาวโรจน์ขณะเหลือบมองไปทางสองสาวอีกครั้ง นี่เขาคิดจะเล่นอะไรกันแน่ คิดจะแฉเรื่องของเราหรือไง!ความร้อนวาบแล่นไปทั่วใบหน้าและช่องท้องขณะที่เธอยืนเผชิญหน้ากับชายหนุ่มโอ
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารของบ้านตระกูลฉู่อบอุ่นเกินกว่าที่เธอคาดไว้มาก เจิ้งลี่ซาแทบไม่เชื่อว่าตัวเองจะได้รับการต้อนรับอย่างดีถึงเพียงนี้ โดยเฉพาะซ่งจื่อหานที่น่ารักและเป็นมิตรกับเธอจนน่าแปลกใจ แต่ก็คงเพราะตอนนี้ที่ความสัมพันธ์ของเธอกับฉู่เฮ่าชวนลงตัวแล้ว หญิงสาวก็คงหมดห่วงเรื่องเธอไปกระมังเจิ้งลี่ซาหัวเราะตามบทสนทนาสนุก ๆ ระหว่างกู้หยุนเฟิงกับฉู่ลี่เหยียน แต่ในขณะเดียวกันก็ลอบสังเกตท่าทีของกู้เทียนอี้อยู่ไม่วางตา ทุกอิริยาบถของเขาคือข้อมูลชั้นดีที่จะต้องเอาไปรายงานให้หลินซีฟังหลังจากมื้อค่ำจบลง ทุกคนก็ย้ายมาตั้งวงกันที่โต๊ะไพ่นกกระจอกกลางห้องนั่งเล่น เสียงล้างไพ่ดังกรอกแกรกสร้างบรรยากาศครื้นเครงขึ้นมาทันที“คุณลี่ซามาเล่นด้วยกันสิคะ ขาดอยู่คนหนึ่งพอดีเลย” ฉู่ลี่เหยียนหันมาถามเธอ หลังจากเถียงเรื่องกฎการนับแต้มกับฉู่เฮ่าชวนจบไปหมาด ๆ“ฉันเหรอคะ” คนถูกชวนชะงักไปเล็กน้อยเมื่อจู่ ๆ ทุกสายตาก็จับจ้องมาที่เธอเป็นตาเดียว ความรู้สึกเหมือนถูกสปอตไลท์ส่องทำให้เธอไปไม่เป็นชั่วขณะหญิงสาวเผลอหันไปสบตาฉู่เฮ่าหรานโดยไม่รู้ตัว เขาส่งยิ้มบาง ๆ มาให้ ราวกับจะบอกเป็นนัย
เจิ้งลี่ซาหาจังหวะบอกลาฉู่ลี่เหยียนกับซ่งจื่อหานแบบสั้น ๆ โดยอ้างว่ารู้สึกไม่ค่อยสบายและอยากกลับไปพักผ่อน โดยมีฉู่เฮ่าหรานอาสามาส่งเธอเอง เธอก้าวออกจากบ้านตระกูลฉู่ที่ยังคงอบอวลไปด้วยเสียงหัวเราะ มาสู่ความเงียบสงบและอากาศเย็นสบายของค่ำคืนภายนอก เขากุมมือเธอไว้ตั้งแต่อยู่ในบ้าน และยังไม่ยอมปล่อยจนกระทั่งเดินมาถึงรถของเขาบรรยากาศในรถเงียบสงัด มีเพียงเสียงเพลงเบา ๆ จากเครื่องเสียง แต่ไม่ใช่ความเงียบที่น่าอึดอัด กลับเป็นความเงียบที่เต็มไปด้วยแรงดึงดูดและความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ภายใน แสงไฟจากท้องถนนสาดส่องเข้ามาเป็นระยะ ขับเน้นใบหน้าหล่อเหลาของเขาให้ดูเด่นชัดในความมืด หัวใจของเธอยังคงเต้นระรัวกับคำสารภาพที่จริงจังของเขา...‘ผมชอบคุณนะ เจิ้งลี่ซา ผมชอบคุณมาก’... มันยังคงดังก้องอยู่ในหัวของเธอราวกับแผ่นเสียงตกร่องเมื่อรถเลี้ยวเข้าที่จอดรถใต้ดินของอพาร์ตเมนต์ที่เธอพักอยู่ เขาก็ดับเครื่องยนต์ แต่ยังไม่มีใครขยับ ทั้งสองนั่งนิ่งอยู่ในความเงียบ ปล่อยให้ความรู้สึกระหว่างกันก่อตัวขึ้นอย่างช้า ๆ จนกระทั่งเขาเป็นฝ่ายเอื้อมม
“ไม่นะ!” หลินซีปฏิเสธทันควัน แต่แก้มกลับแดงก่ำ“แปลว่าเรื่องของแกกับกู้เทียนอีนี่ไม่มีลุ้นเลยว่างั้น”“ลี่ซา! หยุดเลยนะ! ไม่ต้องพูดถึงอีตาหยิ่งยโสน่าหมั่นไส้คนนั้นเลย”“แต่แกก็อยากจะขย้ำเขาล่ะสิ”“ไม่! ไม่ได้อยากซะหน่อย” เพื่อนปฏิเสธ แต่ก็หลุดหัวเราะออกมา“แต่ว่าคืนนี้ถ้าแกเจอเขา ก็ถ่ายรูปส่งมาให้ดูด้วยนะ”“แหม...แกนี่มัน...” เจิ้งลี่ซาหัวเราะ “ฉันยังแปลกใจไม่หายเลยที่ฉู่เฮ่าชวนกับซ่งจื่อหานยังชวนฉันไปคืนนี้ด้วยซ้ำ นี่มันการพบปะกันในครอบครัวเขานะ แล้วทุกคนก็รู้ว่าฉันกับฉู่เฮ่าชวนแค่เล่นละครกัน ฉันว่ามันแปลกชะมัดเลย”“แล้วพวกเขาก็ยังไม่รู้ใช่ไหมว่าแกเคยเดตกับฉู่เฮ่าหราน”“ก็เราไม่ได้เดตกันจริง ๆ นี่ แต่ก็นะ พวกเขาไม่รู้หรอกว่าเราเคยนอนด้วยกัน” เธอครางออกมา “โอ๊ยยยย...หลินซี ช่วยย้ำให้ฟังอีกทีสิว่าฉันจะไปที่นั่นทำไม”“ก็ไปเจอฉู่เฮ่าหรานไงล่ะยัยบ้า” เพื่อนหัวเราะ “แล้วก็...ไปสืบเรื่องกู้เทียนอี้มาให้ฉันด้วย”“อ๋อ...งี้ก็ยอมรับแล้วสิว่าชอบเขาน่ะ” เธอพูดอย่างรู้ทัน“ฉันไม่ได้บอกว่าชอบซะหน่อย แค่อยากรู้ข้อมูลนิด
“ใจหายจังเลยนะหลินซี” เจิ้งลี่ซาพึมพำขณะสวมเสื้อผ้า“ฉันรู้ว่าที่จริงฉันไม่ควรมานั่งดราม่าแบบนี้เลยนะ ควรจะดีใจกับซ่งจื่อหานและฉู่เฮ่าชวนด้วยซ้ำ คือ...พวกเขาสองคนเหมาะสมกันดี ควรจะได้ลงเอยกันอย่างมีความสุข แต่ฉันก็อดใจหายไม่ได้อยู่ดี ที่ต่อไปนี้จะไม่มีฉันอยู่ในชีวิตของพวกเขาอีกแล้ว”“อืม...” หลินซีทำหน้าเห็นใจ “บางทีพวกเขาก็อาจจะยังอยากเป็นเพื่อนกับแกอยู่ก็ได้นะ”“ให้ซ่งจื่อหานมารู้ทีหลังว่าฉันเป็นแค่ตัวละครที่แฟนเขาจ้างมาแสดงละครตบตาเนี่ยนะ?” เธอทำหน้าแหย ๆ “ไม่มีทางหรอก”หลินซีเดินมานั่งลงบนเตียงของเพื่อน “เอาจริง ๆ นะ ฉันยังอึ้งอยู่เลยที่เรื่องมันจบลงด้วยดีได้ ฉันนึกว่าซ่งจื่อหานจะอาละวาดบ้านแตกแล้วสลัดฉู่เฮ่าชวนทิ้งไปซะอีก”“ซ่งจื่อหานกับฉันไม่เหมือนกันนี่” เจิ้งลี่ซาหัวเราะเบา ๆ ขณะติดตะขอสร้อยคอ “คงมีแต่ฉันล่ะมั้ง ที่จะสติแตกกับเรื่องโกหกได้ขนาดนั้น”“ใช่ แกมันเกินเบอร์ไปหน่อย” เพื่อนหัวเราะตาม ไม่คิดที่จะปลอบเพื่อนเลยแม้แต่น้อยจนได้รับค้อนจากเพื่อนกลับมา “อืม...แต่ก็ต้องดูด้วยว่าใครเป็นคนโกหก ถ้าเป็นผู้ชายที่มันไม่ได้เรื่องน่ะนะ!”
“ฉันเห็นคุณ แล้วฉันก็เห็นคุณจื่อหานด้วย” ลมหายใจของเธอสะดุด “และวันนี้คุณจื่อหานตบลูกได้สุดยอดที่สุดอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง”ฉู่เฮ่าหรานยิ้มมุมปาก “อืม...ครั้งนี้ผมยอมให้ก็ได้”“แหม ช่างเป็นสุภาพบุรุษจริงนะคะ”เธอหัวเราะพลางผลักอกเขาเบา ๆ เป็นจังหวะเดียวกับที่เห็นซ่งจื่อหานมองมาพอดี แล้วเธอก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้“จริงสิ คุณจื่อหาน ดูนี่สิคะ” เธอหันไปหาซ่งจื่อหานแล้วชูข้อมือที่มีรอยแดงเป็นปื้นให้ดูเหมือนเป็นเหรียญกล้าหาญจากการแข่ง “สงสัยเราจะทุ่มสุดตัวไปหน่อย”จังหวะนั้นฉู่เฮ่าชวนเดินเข้ามาสมทบพอดี เขาช่วยพยุงซ่งจื่อหานให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะเหลือบมองรอยแดงบนข้อมือของเจิ้งลี่ซาเช่นกัน เจิ้งลี่ซารู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อยจึงก้าวถอยหลัง แต่เมื่อหันไปสบตาฉู่เฮ่าหรานอีกครั้ง ก็เห็นเพียงแววตาขบขันที่เขาส่งมาให้เธอ“พกกุญแจมือนั่นมาอีกแล้วเหรอ เจิ้งลี่ซา” ฉู่เฮ่าหรานเอ่ยทักพลางยิ้มกริ่มที่มุมปาก“มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะคะ” เธอรีบปฏิเสธ แก้มร้อนผ่าวขึ้นมาทันที“อ้อ?” เขาเลิกคิ้ว “แล้วคุณว่าผมคิดอะไรอยู่ล่ะ”“มัน…มันไม่เกี่ยวกับฉันกั