หลินลู่ฉีรักษาอาการอยู่ในโรงหมอต่ออีกสองวัน จากนั้นมีคนของทางการมารับตัวนางไป พวกเขาสอบถามถึงที่มาที่ไปของนาง นางจึงบอกพวกเขาว่า ครอบครัวของนางเป็นคนในเมืองหลวง แต่คงพลั้งเผลอลืมนางไว้ระหว่างทาง หากจะส่งนางกลับไปหาครอบครัว ต้องส่งไปยังเมืองหลวง
นั่นเพราะนางรู้ว่า ตระกูลบิดามารดาย้ายไปอยู่ที่เมืองหลวงกันหมด น่าแปลกยิ่งนักที่บุตรหลานของพวกเขาได้รับตำแหน่งในเมืองหลวง เลยต้องย้ายไปอยู่ที่นั่นทั้งสองตระกูล แม้ว่าจะห่างกันคนละปีก็เถอะ ช่างเป็นเวรเป็นกรรม ตัดกันไม่ขาดจริง ๆ
หลินลู่ฉีรู้เพราะบังเอิญได้ยินนักพรตเฒ่าพูดคุยกับหญิงชราผู้หนึ่ง ซึ่งก็คือท่านย่าในสายเลือดของนางนั่นเอง พวกเขาคงคิดว่า เด็กน้อยอายุขวบสองขวบที่เล่นเขี่ยดินอยู่ข้าง ๆ คงไม่รู้เรื่องราวอันใด แต่เพราะหลินลู่ฉีที่มาสวมร่างของหยางท่ง กลับสามารถซึมซับทุกเหตุการณ์ ที่หูและตารวมถึงความรู้สึกของเจ้าของร่าง สัมผัสผ่านมาได้อย่างชัดเจน
สิ่งที่นางรับรู้เพิ่มก็คือ ท่านย่าผู้นี้เป็นคนมอบเงินให้นักพรตเฒ่าในการเลี้ยงดูนาง
เดิมทีนางคิดว่าพวกเขา จะส่งนางไปอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า หรือไม่ก็ส่งตัวไปยังเมืองหลวง แต่ใครจะไปคิดว่าเจ้าหน้าที่พวกนี้ กลับชั่วร้ายกว่านั้นเ วางยาสลบนางแล้วพาไปขายให้กับพวกค้ามนุษย์ พวกเขาไม่เชื่อคำพูดของเด็กน้อยสามขวบ คิดว่านางคงถูกครอบครัวทิ้งไว้กลางทาง ซึ่งนั่นเป็นเรื่องจริง
หลินลู่ฉีลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็พบว่าตัวเองอยู่ในรถม้าคันมืด ๆ ด้านข้างมีเด็กอีกสามคนนั่งอยู่ด้วย เด็กชายอายุราวห้าปีสองคนและเด็กสาวอายุราวสิบปีอีกหนึ่งคน แต่ละคนมีท่าทางหวาดกลัวเป็นอย่างมาก ดูไปแล้วนางน่าจะอายุน้อยสุดในที่นี้
“น้องสาวเจ้าฟื้นแล้ว” เด็กสาวคนด้านข้างพยุงนางขึ้นมานั่ง แล้วโอบกอดนางเอาไว้ ทั้งที่ตัวของนางเองก็สั่นกลัวไม่ยอมหยุด
“พี่สาวพวกท่านถูกจับมานานหรือยัง”
“ข้าถูกจับมาหลายวันแล้ว พวกเขาก็ด้วยถูกจับมาจากอีกเมือง” เอ่ยแล้วนางก็ร้องไห้ออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
“พี่สาวอย่าร้อง ๆ พวกท่านรู้หรือไม่ว่าพวกนั้นจะพาพวกเราไปที่ไหน”
“ข้ารู้ ๆ” เด็กผู้ชายผอมเพรียวรีบเอ่ย “ข้าแอบได้ยินพวกมันพูดว่าจะพาไปส่งที่ชายแดน”
“ชายแดน !” เจ้าอ้วนอีกคนร้องไห้หาแม่ทันที
หลินลู่ฉีไม่รู้ว่าชายแดนคือที่ไหน “ชายแดนที่ว่าอยู่ไกลไหม”
“น้องสาวพวกเราไม่รู้เหมือนกัน” เด็กสาวด้านข้างส่ายหน้าอย่างสิ้นหวัง
หลินลู่ฉีได้แต่ทอดถอนหายใจออกมา รถม้ามีหน้าต่างปิดทึบมองไม่เห็นด้านนอก ได้เห็นข้างนอกแค่เวลาต้องพักเพื่อทำธุระข้างทาง ระหว่างนั้นจะมีคนเดินตามไปเฝ้าด้วย ให้หนีอย่างไรก็คงไม่พ้น
ดูไปแล้วไม่ได้มีแค่รถม้าคันที่เด็กนั่งอยู่ ยังมีอีกคันด้านหน้า พวกเขาเป็นเด็กสาวแรกรุ่น แต่ละคนใบหน้างดงามทั้งนั้น ในใจของหลินลู่ฉีรู้สึกไม่สู้ดีนัก คนร้ายมีกันเกือบยี่สิบคนจะหนียังไงพ้น นางก้มลงมองขาของตัวเอง แล้วส่ายหน้าไปมา ดาวมงคลของนางใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้อย่างใจนึก คราวคุณชายน้อยผู้นั้น นางมองเห็นไอหมอกได้ชัดเจน แต่กับเด็กที่อยู่ในรถคันเดียวกัน นางกลับมองไม่เห็นอะไรเลย ไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะเจออันตรายหรือไม่
เฮ้อ แล้วแต่บุญแต่กรรมแล้วกัน
การเดินทางผ่านไปสิบเอ็ดวัน เด็ก ๆ เหนื่อยล้าจนหมดเรี่ยวแรงไปหมด หลินลู่ฉีสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ ระหว่างที่จอดพักทำธุระข้างทาง นางพบเห็นผู้คนมากมายเดินกันตามข้างทาง แต่ละคนสภาพผอมแห้งคล้ายกินไม่อิ่มท้อง
“พี่ใหญ่ไม่ดีแล้ว อีกตั้งสองเมืองกว่าจะถึงชายแดน ถ้ายังเจอผู้ลี้ภัยตลอดทางเช่นนี้อีก ข้าว่ายุ่งยากแล้ว”
“จะยุ่งยากอะไร พวกเรามีกันทั้งยี่สิบกว่าคน มีอาวุธครบมืออีก ใครมันจะกล้ามาบุกรถม้าพวกเรา” คนเป็นหัวหน้าใหญ่ เอ่ยออกมาด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด
“จริงอย่างพี่ใหญ่ว่า พี่ซ่งท่านก็อย่าได้วิตกเกินกว่าเหตุนักเลย”
“เออ ๆ ข้าคงคิดมากไป ข้าฟังพี่ใหญ่” แม้ในใจของหลี่ซ่งไม่เห็นด้วย เพราะเขาเคยเจอขบวนผู้ลี้ภัยมาก่อน คนพวกนั้นสามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อความอยู่รอด แต่เมื่อหัวหน้าของเขาไม่กลัว ลูกน้องอย่างเขาก็ต้องทำตาม
ทว่าเรื่องที่หลี่ซ่งกลัวนั้นย่อมมีมูลเหตุ หลายเมืองข้างหน้าเกิดภัยแล้งขึ้น เท่านั้นยังไม่พอเจ้าเมืองยังชั่วร้าย ไม่เปิดคลังเสบียงช่วยเหลือ
จึงเกิดการก่อจลาจลขึ้น บุกเข้าไปที่คลังเสบียง พบว่าคลังเสบียงนั้นว่างเปล่า เพราะเจ้าเมืองลักลอบนำข้าวสารที่เมืองหลวงส่งมาให้ ออกไปขายต่อให้พ่อค้าหน้าเลือด
ด้วยความเคียดแค้นของชาวเมือง จึงพากันจุดไฟเผาจวนเจ้าเมือง และที่ว่าการจนมอดไหม้ เมื่อเสบียงไม่เหลือผลผลิตไม่มี แม้แต่น้ำยังขาดแคลน ชาวบ้านจึงต้องพากันอพยพออกไปยังเมืองอื่น
เพื่อหาหนทางอยู่รอดของตัวเอง กระทั่งมาเจอเข้ากับขบวนรถม้าสองคันพร้อมคนคุ้มกัน พวกเขาคิดว่าคนคุ้มกันมากขนาดนี้ ด้านในรถม้าต้องเป็นของมีค่าอย่างแน่นอน
หากแค่สิบยี่สิบคนคงบุกเข้าไปไม่ได้ แต่ผู้ลี้ภัยมีนับร้อยคน เจ้าบุกข้าบุก อาวุธไหนเลยจะสู้แรงคนเยอะกว่า ไม่ช้าคนร้ายก็ทิ้งรถม้าของตนวิ่งหนีไป
เสียงกรีดร้องของเด็กสตรีดังลั่น แต่ละคนถูกกระชากลงจากรถม้า เพื่อหาเสบียงของมีค่า ไหนเลยจะสนใจเด็กสตรีที่ถูกจับมา
หลินลู่ฉีดวงไม่ดีนัก นางถูกบุรุษร่างใหญ่เหวี่ยงลงจากรถม้า หัวไปกระแทกเข้ากับต้นไม้จนสลบเหมือดคาที่ ส่วนเด็กคนอื่น ๆ ไม่มีใครสนใจใคร พากันวิ่งหนีไปข้างหน้าอย่างไม่คิดชีวิต
ผ่านไปราวหนึ่งชั่วยาม
“เด็กนี่ตายแล้วมั้งน่าสงสารจริง ๆ”
“เจ้าอย่าไปเข้าใกล้นาง นางป่วยหรือเปล่าครอบครัวถึงทิ้งไว้แบบนั้น”
“อย่าไปสนใจนางเลย”
“เฮ้อ ปาบกรรม ๆ”
เสียงฝีเท้าคนแล้วคนเล่า แต่ไม่มีใครกล้าแตะต้องตัวของนางแม้แต่คนเดียว หลินลู่ฉีฟื้นมาได้สักพัก แต่นางไม่มีแรงจะยันตัวลุกขึ้น นางได้ยินคำพูดเหล่านั้น ในใจรู้สึกปล่อยวาง หากจะตายอีกก็ตายเถอะ คงไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้แล้ว
ก่อนหน้านางใช้ชีวิตอย่างสงบสบาย หญิงสาวในวัยยี่สิบสองปี ประสบความสำเร็จในชีวิตเป็นอย่างมาก แม้ต้องสูญเสียบิดามารดา จากอุบัติเหตุทางน้ำไปตอนอายุได้สิบปี แต่ญาติที่เหลือก็รักและดูแลนางเป็นอย่างดี
หากถามว่าเธอทำอาชีพอะไรในยุคปัจจุบัน คงต้องบอกว่าแทบไม่ได้ทำอะไรเลย ซื้อสลากก็ถูกรางวัลที่หนึ่ง ซื้อหุ้นก็ได้กำไร เก็งกำไรด้านไหนก็ทำรายได้มหาศาล อายุแค่ยี่สิบห้าปีมีเงินเก็บนับหมื่นล้าน สามารถใช้ชีวิตท่องเที่ยวรอบโลกได้แล้ว ทว่าชีวิตในโลกนี้นั้นช่างแตกต่าง คาดว่าดาวมงคลเช่นเธอ ยังต้องผ่านด่านเคราะห์อีกมากมาย
“ฉินซื่อเจ้าอย่าไปยุ่งกับเด็กคนนั้น !”
“ท่านแม่ข้าว่านางยังไม่ตายนะเจ้าคะ” ฉินซื่อหรือชื่อเดิมนั้นคือฉินอี้เป็นลูกสะใภ้สามของนางเจียง
“ยังไม่ตายแล้วเกี่ยวอะไรกับบ้านเรา น้องสามข้าว่าเจ้าคุมเมียตัวเองหน่อยเถอะ อย่าได้หาเรื่องใส่ตัวนักเลย”
จ้าวซื่อเป็นสะใภ้ใหญ่ของตระกูลหวง เดิมทีนางชื่อจ้าวหมิง รู้สึกไม่พอใจน้องสะใภ้สามผู้นี้ ช่างใจดีไม่ดูเวล่ำเวลา ตัวเองจะอดตายอยู่แล้ว ยังมีแก่ใจไปสงสารผู้อื่นอีก
“พี่ชางนางยังไม่ตายจริง ๆ” ฉินซื่ออุ้มเด็กน้อยขึ้นมาให้หวงชางผู้เป็นสามีดู
หลินลู่ฉียังไม่ลืมตาขึ้น นางอยากรู้ว่าคนเหล่านี้มีนิสัยใจคอเช่นไร พอจะฝากชีวิตเด็กน้อยไว้ด้วยได้ไหม หากเป็นคนไม่ดี นางจะไม่ไปกับพวกเขาเด็ดขาด
“ท่านพ่อท่านแม่เด็กคนนี้ยังไม่ตายจริง ๆ ขอรับ” หวงชางรีบบอกบิดามารดา แววตาของเขาประหม่าขาดความมั่นใจ
หวงจงส่ายหน้าอย่างระอาใจ หันไปมองภรรยาเล็กน้อย ส่งสายตาให้นางจัดการกับบุตรชายแสนโง่เขลาคนนี้
“เจ้าสามโยนนังเด็กเหลือขอนั่น ทิ้งไปเดี๋ยวนี้ !” นางเจียงสั่งเสียงเด็ดขาด
บทที่ 252 : ฮูหยินลูกแย่งที่นอนข้า หวงชางพยักหน้าลงเล็กน้อย “ได้ต่อไปข้ากับอาอี้จะเรียกเจ้าว่าอี้หาน เจ้ากลับบ้านเดิมภรรยาทั้งที เหตุใดต้องหอบของขวัญมามากมายถึงเพียงนี้” “แค่ของขวัญเล็กน้อยเท่านั้น” หลินลู่ฉีรีบฟ้อง “ดีที่ข้าห้ามเอาไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นสามีข้าคงขนมาทั้งคลังเป็นแน่” “เจ้าเด็กนี่เรียกสามีข้าเต็มปากเต็มคำ หน้าไม่อายจริง ๆ” ฉินซื่ออดเย้านางไม่ได้ “ท่านป้าท่านล้อข้า” “แต่งงานกันแล้วย่อมเป็นเรื่องธรรมดา อี้หานต่อไปก็รักและดูแลฉีฉีของพวกข้าให้ดี ๆ อย่าทำให้นางต้องเสียใจรู้ไหม” “ขอรับท่านป้าข้ารับปากท่าน ข้าซุนอี้หาน
บทที่ 251 : ข้าอายุสิบแปดปีเองนะ จะรีบร้อนมีลูกไปทำไม หลังจากกินมื้อกลางวันอิ่มกันแล้ว พ่อบ้านได้นำกล่องของขวัญ กับจดหมายมามอบให้หลินลู่ฉี บอกว่าเป็นของท่านอาจารย์ของนางมอบให้ในวันแต่งงาน “อาจารย์ปู่อย่างนั้นรึ” หลินลู่ฉีรีบเปิดซองจดหมายอ่านก่อนเป็นอันดับแรก เนื้อหาในนั้นเป็นการขอโทษ ที่ไม่สามารถเดินทางมาร่วมงานแต่งของนางได้ เพราะระยะทางอยู่ไกลนับพันลี้ แม้เดินทางด้วยม้าเร็วก็คงมาไม่ทันอยู่ดี จึงได้ส่งของขวัญกับจดหมายมาให้แทน นอกจากคำอวยพรแล้ว อาจารย์ปู่ยังมอบป้ายไม้แกะสลักให้นางอีกด้วย ซุนอี้หาน “นี่ป้ายอะไรกัน” “อาจารย์ปู่เขียนบอกว่า เป็นป้ายประจำตัวเจ้าของตำหนักยา” “ตำหนักยา ? นั่นไม่ใช
บทที่ 250 : เมื่อกี้ไม่ใช่ว่าทำกันไปแล้วหรือ ภายในห้องหอซุนอี้หานกำลังเงี่ยหูฟังเสียงจากนอกประตู เมื่อรู้ว่าคนเหล่านั้นไม่อยู่แล้ว จึงได้หันไปทางเจ้าสาวที่นั่งตัวแข็งทื่ออยู่บนเตียงนอน เจ้าไปนั่งบนเตียงตั้งเมื่อไหร่ ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านั่งอยู่บนเก้าอี้รึ ซุนอี้หานทั้งขำทั้งเอ็นดูนาง หลินลู่ฉีกำลังนั่งด้วยความรู้สึกประหม่าแกมตื่นเต้น นางมองผ่านชายผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวสีแดง เห็นเพียงหัวรองเท้าเจ้าบ่าวที่เดินมาหยุดอยู่ เขาเอื้อมจับชายผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว ค่อย ๆ ยกขึ้นตลบไปไว้ด้านหลัง เจ้าสาวผู้มีใบหน้าอันงดงาม ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างเขินอาย ริมฝีปากจิ้มลิ้มเม้มเข้าออก คล้ายคนไม่รู้จะเอ่ยคำพูดใดออกมา “ฉีฉีเจ้างามมาก” ดวงตาปรือเยิ้มมองเจ้าสาวอย่างลุ่มหลง
บทที่ 249 : ใครจะหย่ากับข้า ! บรรดาญาติสหายและคนรู้จัก ที่พากันมาส่งตัวเจ้าสาว ต่างยืนดูพิธีการตรงหน้าด้วยสีหน้ายิ้มแย้มกันทุกคน “ตอนแรกข้าอยากเสนอตัวแบกเจ้าสาวด้วยตัวเอง แต่ว่าคิดไปคิดมาข้าเทียบหวงจื่อถงไม่ได้จริง ๆ เขามีความเป็นพี่ชายมากกว่าข้าเสียอีก” เซี่ยเฉินจิ่นเอ่ยเบา ๆ เซี่ยเฉินฟู่กอดอกมองภาพตรงหน้า แล้วพยักหน้าลงเบา ๆ “ท่านแบกพี่สาวไม่ไหวหรอก เกิดทำเจ้าสาวหกล้มขึ้นมา ทำฤกษ์มงคลเสียหายหมด ให้พี่จื่อถงแบกนั่นแหละดีแล้ว” เซี่ยเฉินจิ่น “...” เจ้ายังใช่น้องชายข้าอยู่ไหม ฉวีฮูหยิน “ต่อไปนางก็มีครอบครัวของตัวเอง มีสามีลูกมีหลานเต็มบ้าน ไม่เดือดร้อนพวกเจ้าให้เป็นห่วงนางหรอก” ครอบครัวตระกูลเซี่ยยืนมองเกี้ยวเจ้าสา
บทที่ 248 : ข้าซุนอี้หานขอสาบานด้วยชีวิต ข้าจะไม่มีวันทำให้นางเสียใจเด็ดขาด “ฉีฉี” ฉินซื่อลูบศีรษะของนางอย่างอ่อนโยน น้ำตาพลันเอ่อคลอเบ้าตามนางไปด้วย ทั้งลูบทั้งกอดปลอบโยนนาง “เด็กน้อยในวันนั้น ได้นำพาครอบครัวของพวกเรา เดินทางผ่านร้อนผ่านหนาวมาไกลถึงเพียงนี้ รู้ไหมว่าป้าภูมิใจในตัวของเจ้ามากแค่ไหน” “ท่านป้า ฮะฮรึก...ฮือ ๆ ๆ” เป็นครั้งแรกที่ฉินซื่อได้เห็นหลินลู่ฉี ปล่อยเสียงร้องไห้โฮออกมาเช่นนี้ เหมือนกำแพงความเข้มแข็งในใจของนาง ได้พังทลายลงแล้ว “เด็กดีไม่ร้อง ๆ เจ้าสาวจะตาบวมหมดงามเอาได้” “ขะข้า...ฮะฮรึก จะไม่ร้องแล้ว ฮะฮรึก !” คนพูดสะอื้นเป็นจังหวะ “เจ้
บทที่ 247 : หวีครั้งแรกขอให้ชีวิตคู่ยืนยาว หลินลู่ฉีไปหาฉินซื่อที่เรือน พบว่านางกำลังปักชุดเจ้าสาวให้ตัวเองอยู่ หวงจื่อเหยาที่ได้เวลาใกล้คลอดแล้ว นางมาหามารดาเพื่อดูว่ามีอะไรให้ช่วยบ้าง “ท้องโตขนาดนี้ยังขึ้นรถม้าไปโน่นมานี่อีก ชุดเจ้าสาวของฉีฉีข้าทำเองได้เจ้าไม่ต้องช่วย” เสียงของฉินซื่อเอ่ยบ่นบุตรสาว ดังออกมาจากเรือนของนาง “ท่านแม่ฉีฉีของพวกเราจะออกเรือนทั้งที นางไม่ยอมรับสินเดิมจากพวกเรา มีเพียงชุดแต่งงานนี่แหละ ที่พวกเราพอจะทำให้นางได้” หลินลู่ฉีกระแอมเบา ๆ สองแม่ลูกก็หันมามองนางในทันที “เจ้ามาแอบฟังข้ากับท่านแม่พูดคุยกันใช่ไหม” “พี่จื่อเหยาท่านใส่ร้ายข้า” นางออดอ้อนเป็นเด็กน้อยทันที &ld