Beranda / วาย / ข้านี่แหละจอมมาร (yaoi) / บทที่ 1 สกุลหลิว

Share

บทที่ 1 สกุลหลิว

last update Terakhir Diperbarui: 2025-08-24 13:32:33

ห้าเดือนต่อมา

รัชศกเสวียนหลีที่ 73 ปีมะโรงธาตุไฟ

ฤดูจิงเจ๋อ[1] ยามไฮ่[2]

“ข้าไม่ไหวแล้ว…ได้โปรดพี่รอง” บุรุษหนุ่มร่างกายซูบผอมเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแหบสั่น มือทั้งสองข้างเกาะขาชายร่างสูงมิยอมคลาย ใบหน้าเขียวช้ำขะมุกขะมอมเต็มไปด้วยคราบโคลนและเหงื่อไคล เรือนผมสีน้ำตาลเข้มยาวกระเซิงยุ่งเหยิงไม่ต่างจากวณิพกข้างถนนสักเท่าไร

โลหิตสีแดงฉานไหลตามมุมปากแห้งเกรอะกรัง เขากำลังพยายามยื้อยุดฉุดขาข้างขวาของพี่ชายต่างมารดาเอาไว้ ราวกับเป็นที่พึ่งสุดท้าย แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน “ข้าขอร้องท่าน…ขอร้องท่าน...ให้ข้าพักสักครึ่งชั่วยามเถิด”

“คนที่มิอาจฝึกฝนไร้ซึ่งพลังบำเพ็ญได้เช่นเจ้า จะเรียกร้องหาความยุติธรรมด้วยสิ่งใด” หลิวเยี่ยนเฟยเอ่ยเสียงเย็น พลางปรายมองด้วยหางตา

ภาพที่สะท้อนให้เห็นคือร่างของพี่น้องนอกไส้ที่บังอาจแอบอ้างใช้แซ่เดียวกันกับตน มีใบหน้าเขียวช้ำขะมุกขะมอม ชวนให้ผู้คนที่พบเห็นรู้สึกเวทนา

แต่มีหรือคนอย่างคุณชายรองแห่งสกุลหลิวเช่นเขาจะเห็นใจ จึงสะบัดขาข้างที่ถูกยึดเหนี่ยวไว้ไปมาอย่างเดียดฉันท์ แล้วตวาดเสียงเข้มใส่ “อย่ามาเรียกข้าว่าพี่รอง คนเช่นเจ้าไม่สมควรมาใช้แซ่หลิวเสียด้วยซ้ำ” 

กล่าวจบหลิวเยี่ยนเฟยก็สะบัดขาด้วยพละกำลังทั้งหมดของตน ก่อนจะถีบดรุณน้อยร่างกายซูบผอมอย่างเต็มกำลัง

เป็นเหตุให้ร่างของหลิวมู่เหยียนถูกแรงถีบอัดปะทะเข้าไปอย่างแรงจนมิอาจต้านทานได้ ร่างทั้งร่างจึงปลิวกระเด็นไปกระแทกกับผนังของโรงนา

แต่ไหนมาหลิวมู่เหยียนก็มีร่างกายอ่อนแอเป็นทุนเดิม ซ้ำยังไม่สามารถฝึกยุทธ์ใดๆ อย่างใครเขา

ด้วยเหตุที่ว่าลมปราณภายในมิอาจหลอมรวมเป็นหนึ่งได้เฉกเช่นพี่น้องร่วมสายเลือดของตน เขาจึงเป็นเพียงแค่คู่ซ้อมให้ลูกหลานในสกุลได้ทารุณตามอำเภอใจ

เมื่อถูกคนที่มีตบะฌานกล้าแกร่งทำร้ายจนบอบช้ำ ซ้ำยังมาถูกถีบอัดด้วยแรงส่งอย่างเต็มกำลังจากญาติผู้พี่ที่ฝึกยุทธ์มาตั้งแต่จำความได้ ร่างกายจึงไม่อาจต้านไหว

ร่างผอมบางจึงค่อยๆ ทรุดลงไปกองกับพื้นสกปรกอย่างมิอาจต้าน  ก่อนจะกระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ

ภาพตรงหน้าพร่าเลือนรางลงทุกขณะ จะหายใจแต่ละครั้งล้วนทรมานสุดกำลัง ยามขยับกายเพียงนิดความเจ็บปวดรวดร้าวสะท้านไปจนถึงไขสันหลัง

เขาจึงพยายามเปล่างเสียงสะอื้นสุดท้ายจะออกมาจากในลำคอได้เพียงแค่ถ้อยคำสั้นๆ ว่า “หากสิ่งที่ข้าขอมาชั่วชีวิต...สมปรารถนาก็คงดี” ว่าจบสติที่มีอยู่อันน้อยนิดก็ค่อยๆ เลือนหายไป

ในครานั้นเองหลิวเยี่ยนเฟย จึงย่างเท้าเข้าไปหาน้องชายต่างมารดาอย่างมิพึงใจ

เมื่อเห็นว่าหลิวมู่เหยียนเอาแต่นอนนิ่งมิยอมขยับกาย เขาจึงใช้ปลายเท้าสะกิดร่างไร้วิญญาณของน้องชายต่างมารดาแล้วตวาดเสียงดังลั่นว่า

“เจ้าลูกนอกคอกโดนเพียงเท่านี้ เจ้าถึงกับแกล้งตายเลยรึ” ก่อนจะพยายามใช้ปลายเท้าของตนเขี่ยร่างไร้วิญญาณไปมาอยู่หลายที

แต่พอเห็นว่าไม่มีการตอบสนองใดๆ จากคนที่นอนกลิ้งอยู่บนพื้นเบื้องล่าง หัวใจก็พลอยเต้นระส่ำ หลิวเยี่ยนเฟยจึงค่อยๆ ยื่นมืออันสั่นเทาของตนไปจับจุดชีพจรตรงข้อมือบอบบางเขียวช้ำของคนตรงหน้า

สิ่งที่สัมผัสได้มีเพียงความว่างเปล่า ไร้ซึ่งสัญญาณชีพใดๆ หลงเหลืออยู่ ในคราวนั้นเองจึงรีบชักมือกลับอย่างลนลาน แล้วได้แต่เหลือบมองร่างที่นอนแน่นิ่งตรงหน้าด้วยสายตาหวาดหวั่น

ก่อนจะกรีดร้องภายในใจว่า ข้าฆ่าคนตาย เมื่อตระหนักรู้ว่าได้ทำสิ่งใดลงไป ความหวาดกลัวที่หลับใหลอยู่ในร่างก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมาอย่างมิอาจห้ามไหว

เขามองร่างที่นอนแน่นิ่งด้วยแววตาหวาดหวั่น ถึงแม้หลิวมู่เหยียนจะเป็นที่ชิงชังของคนในสกุล แต่ก็ไม่อาจสังหารทิ้งได้ตามอำเภอใจ หากมีใครล่วงรู้เรื่องที่ตัวเขาพลั้งมือฆ่าน้องชายต่างมารดาลงไป มีหวังอนาคตคงได้สูญสิ้นลงในพริบตา 

คิดได้เช่นนั้นชายหนุ่มจึงรีบย่างเท้าออกมาจากโรงนา และทำทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเสียอย่างนั้น ก่อนเจ้าตัวจะเร่งฝีเท้าจ้ำอ้าวกลับไปยังเรือนของตน แล้วทิ้งร่างไร้ชีวิตให้นอนนิ่งอยู่บนพื้นสกปรกอย่างเดียวดาย

ยามเช้าตรู่ของวันใหม่ สายลมหนาวพัดผ่านเป็นระลอกอย่างแผ่วเบา หมอกหนาแผ่ปกคลุมไปทั่วทุกพื้นที

ภายในโรงนาแห่งหนึ่งในสำนักหลิว ปรากฏร่างของบุรุษหนุ่มรูปร่างซูบผอมนอนนิ่งไม่ไหวติ่งราวกับซากศพที่ไร้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง

เพียงไม่นานก็มีเสียงของบุรุษผู้หนึ่งดังแว่วจากหน้าบานประตูเรียกให้คนที่นอนอยู่ด้านในรู้สึกตัวตื่นจากภวังค์ “ทางนี้ขอรับนายท่าน บ่าวเห็นคุณชายสามนอนนิ่งไม่ยอมขยับตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้วขอรับ”

…………..

เมื่อได้ยินเสียงดังโหวกเหวกโวยวายไม่หยุดหย่อน จ้าวเสี่ยวหมิงที่หมายจะนอนนิ่งๆ อยู่กับที่ ก็ต้องขยับเปลือกตาอันหนักอึ้งขึ้นลงอย่างเชื่องช้า ศีรษะปวดแปลบขึ้นมาจนต้องยกมือข้างหนึ่งขึ้นมากุมไว้ และมันก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นอีกระลอกยามเขาขยับกาย

ในสายตาที่เลือนรางจ้าวเสี่ยวหมิงรู้เพียงว่าตนเองนั้นนอนอยู่บนพื้นสกปรกแข็งๆ สักแห่งบนพื้นพิภพ ร่างกายปวดร้าวระบมจนมิอาจขยับตัวได้ดั่งใจ หากขยับกายเพียงนิดก็เจ็บปวดรวดร้าวราวกับกระดูกจะปริแตกออกเป็นส่วนเศษเสียให้ได้

สิ่งที่หลงเหลือในความความทรงจำ ก็พึงตระหนักได้ว่าตนเองนั้น ได้ถอดดวงจิตออกมาจากร่าง แล้วเดินทางไปที่ปรโลกเพียงลำพัง แต่กลับถูกเฮาหนี่ผู้ช่วยของไท่ซานฝู่จวินยกเท้าถีบจนต้องกลับมายังพื้นพิภพนี้อีกหน

มาถึงตรงนี้จ้าวเสี่ยวหมิงก็สบถพึมพำออกมาเบาๆ “ตาเฒ่านั่นส่งข้ามาอยู่ที่ใดกัน” ก่อนพยายามหยัดกายลุกขึ้นนั่งอย่างลำบาก ทว่าทำได้เพียงแค่นั้น ประตูของโรงนาก็ถูกเปิดออกอย่างแรง จนไปกระแทกกับผนังบังเกิดเสียงดังด้วยฝีมือของใครบางคน

เป็นเหตุให้จ้าวเสี่ยวหมิงจำต้องค่อยๆ หันหน้าอย่างช้าๆ ไปตามเสียงดังกล่าวที่แว่วเข้ามาในโสตประสาทของตน ภาพที่สะท้อนในคลองจักษุคือบุรุษร่างสูงใหญ่ อายุราวๆ ห้าสิบปีเห็นจะได้ ใบหน้ายังคงหล่อเหลามิได้ร่วงโรยตามวัย ห่มกายด้วยแพรพรรณสีฟ้าเข้มเนื้อดีขลิบด้วยผ้ามันสีทองมีราคาทำให้คนผู้นี้ดูสูงสง่าเหนือใคร นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มคมคายปรายตามองมายังเขาที่นั่งคลุกฝุ่นอยู่บนพื้น ฉายแววมิพึงใจอยู่ภายใน และถ้าหากให้เดาดูก็คงมิแคล้วเพราะได้เห็นสภาพของเขาในยามนี้

บุรุษผู้นั้นย่างเท้าเข้ามาด้านใน ก็หันหน้าไปมองบ่าวรับใช้ข้างกายแล้วกล่าวเสียงเข้มใส่ “ไหนเจ้าบอกว่าเจ้าสามมิหายใจแล้วอย่างไรเล่าจูเล่ย”

พอได้เห็นแววตามิพึงใจของผู้เป็นนายส่งมาให้ จูเล่ยบ่าวรับใช้ก็ถึงกับเข่าอ่อน ไร้เรี่ยวแรงเสียอย่างนั้น เขาทรุดลงกับพื้นอย่างสิ้นท่า แล้วแนบศีรษะลงบนพื้นสกปรก พลางเอ่ยเสียงสั่นออกมาอย่างตื่นกลัว “หะ...หามิได้ขอรับนายท่าน บ่าวเห็นคุณชายสามไม่หายใจแล้วจริงๆ นะขอรับ” กล่าวจบจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาอย่างหวาดหวั่น 

ภาพที่เห็นตรงหน้าคือสีหน้าของหัวหน้าสกุลหลิวหม่นคล้ำลงด้วยเพลิงโทสะที่สั่งสม จ้องมองมาที่ตนราวกับอยากจะแล่เนื้อเถือหนังให้สาแก่ใจ

ฉับพลันเลือดในกายของจูเล่ยก็เย็นเฉียบขึ้นมาอย่างมิอาจระงับไว้ เสียงภายในใจก็ได้แต่กู่ตะโกนก้องว่าแย่แล้ว...ดังกึกก้องสะท้อนอยู่ในหัวตน 

เป็นเหตุให้ตนเองถึงกับต้องรีบโขกศีรษะลงกับพื้นสกปรกอย่างแรงอีกหน บังเกิดเสียงดังก้องหนักแน่น เพื่อจะรักษาชีวิตเอาไว้ให้คงอยู่ อย่างไม่หลงเหลือซึ่งความสุขุม แล้วทำได้เพียงกล่าวเสียงสั่นออกมา “ข้ามีตาหามีแววไม่คุณชายสามนอนอยู่มิได้เป็นอันใดก็กล่าวหาอย่างไม่มีมูล”

“พอ”

หลิวซูหยวนเอ่ยอย่างระอา ยามได้เห็นบ่าวรับใช้คนสนิทโขกหัวลงไปกับพื้นสกปรกอย่างไร้สติ ในใจก็รู้สึกเสียหน้าอยู่หลายส่วน เขาจึงเบือนหน้าหนี สายตาจึงหันไปสบมองบุตรชายคนที่สามของตนพอดิบพอดี นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มพลันเย็นชาอย่างมิอาจปกปิดขึ้นทันใด

ด้วยเหตุที่ว่าบุตรชายนอกไส้ของตนผู้นี้ ทำให้เขาต้องมายืนมองบ่าวทำเรื่องน่าสังเวชออกมา นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มกวาดมองไปมาอีกหน เมื่อไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นดังคำกล่าวของบ่าวรับใช้ข้างกายตน หลิวซูหยวนจึงสะบัดแขนเสื้อแล้วย่างเท้าจากไป

เมื่อนายใหญ่ของบ้านและบ่าวผู้ติดตามย่างเท้าหายลับไป คงเหลือไว้เพียงแต่บุรุษร่างสูงใหญ่ผู้เป็นบุตรชายคนรองของสกุล กำลังยืนจ้องเขม็งจดจ่ออยู่ที่หลิวมู่เหยียนอย่างไม่เชื่อสายตา

เพราะเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาเขาจำได้ว่า บุรุษร่างกายผอมบางจะตายมิตายแหล่ผู้นี้ ได้ถูกตนพลั้งมือสังหารลงไปแล้วอย่างมิต้องคาดเดา ไม่หลงเหลือแม้ลมหายใจและชีพจร นอนนิ่งกลายเป็นซากศพอยู่ตรงผนัง ด้วยเหตุนี้หลิวมู่เหยียนจึงมิควรลุกขึ้นมานั่งอยู่ตรงหน้าตนได้

ทว่าสิ่งที่ตนได้เห็นคือสิ่งใด ยามเมื่อคิดทีไรก็บังเกิดความขัดแย้งขึ้นในใจ หลิวเยี่ยนเฟยจึงเอ่ยเสียงเย็นออกไป “เจ้าเป็นปีศาจหรืออย่างไร ไยยังมีชีวิตอยู่ได้” ก่อนจะหรี่ตามองใบหน้าขะมุกขะมอมอย่างพินิจ ก็เห็นเพียงแต่ใบหน้าขาวซีดของพี่น้องนอกไส้ที่แสนจะชิงชัง “หรือเมื่อวานเจ้าแค่แกล้งข้ากัน”

‘เจ้าของร่างนี้หมดลมหายใจไปตั้งแต่ที่เจ้าทารุณเขาแล้วล่ะเจ้าโง่’

จ้าวเสี่ยวหมิงผรุสวาทอย่างระอา ยามได้เห็นท่าทีของบุรุษตรงหน้าและวาจาที่เอ่ยออกมาจากปากของชายผู้นี้ เขาก็ตระหนักได้อย่างทันท่วงที ว่าเจ้าของร่างที่ตนได้เข้ามาสิงสู่คงไม่แคล้วโดนคนผู้นี้ทารุณจนช้ำในตาย 

หากจะใช้ลมปราณของตนซัดกระแทกเข้าใส่คนผู้นี้ย่อมมิใช่เรื่องดี ด้วยร่างกายที่ตนเพิ่งเข้ามาสิ่งสู่นั้นยังมิอาจขยับได้อย่างใจต้องการ

เมื่อขบคิดอยู่หลายตลบ จ้าวเสี่ยวหมิงก็รู้ว่าในเวลานี้ตนเองคงมิอาจต่อกรกับผู้ใด และเพื่อจะได้ไม่ต้องมาปะทะกันก่อนที่จะรู้ที่มาที่ไป เขาจึงเลือกที่จะทำทีเป็นเอ่ยด้วยน้ำเสียงแสร้งให้สั่นออกไปว่า “หะ…หามิได้นะขอรับ…ขะ…ข้ามิได้แกล้งท่าน มิเคยคิดแกล้งท่าน”  ก่อนจะทำท่าทางตื่นตระหนกอย่างหวาดกลัว แล้วโขกศีรษะลงบนพื้นสกปรกอย่างแรง “หะ...หากข้าทำอะไรให้ท่านไม่พอใจ ข้าขอโทษท่าน…ขอโทษท่าน”

เมื่อหลิวเยี่ยนเฟยได้เห็นท่าทางชวนสมเพชตรงหน้าตน เขาจึงปรายหางตามองหลิวมู่เหยียนอย่างระอา ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็นออกมาว่า “แอบมาใช้แซ่สกุลข้ายังไม่พอ ยังทำตัวน่าสมเพชเช่นนี้” กล่าวจบก็สะบัดแขนเสื้อแล้วย่างเท้าออกไป

ทว่ายังมิทันที่จะก้าวพ้นขอบธรณีประตู ก็ชะงักค้างฝีเท้าเสียอย่างนั้น แล้วหันกลับมาเอ่ยด้วยท่าทางไม่ทุกข์ไม่ร้อนว่า “อีกหนึ่งชั่วยามเจ้าไปที่ลานฝึก ข้าอยากยืดเส้นยืดสาย”

“ขอรับ” 

จ้าวเสี่ยวหมิงทำทีเป็นเอ่ยรับคำแบบส่งๆ ไปอย่างนั้น หลังจากได้ยินคำกล่าวออกมา ทั้งๆ ที่ตนเองไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าความหมายในวาจานั้นคืออะไร หนำซ้ำยังมิอาจรู้ได้ว่าลานฝึกที่คนผู้นี้กล่าวมาไปทางใด แต่เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ เขาจึงทำทีเป็นก้มศีรษะของตนเองเอาไว้ และเมื่อเห็นว่าบุรุษตรงหน้าตนย่างเท้าออกไปแล้ว ก็ทอดถอนลมหายใจออกมาเสียงดัง ‘พรืด’ อย่างเอือมระอาเต็มทน

เพียงไม่นานหลังจากนั้น ดวงวิญญาณก็เริ่มคุ้นชินกับกายหยาบใหม่ที่ได้มา ดวงตาที่เคยพร่ามัวและเลือนราง ก็เริ่มมองเห็นชัดกระจ่างขึ้น ในครานั้นจ้าวเสี่ยวหมิงจึงยกมือทั้งสองข้างที่อ่อนล้าขึ้นมาตรงหน้า แล้วปรายตามองสำรวจร่างกายตนเสียหนึ่งรอบ

ภาพที่สะท้อนให้เห็นมีเพียงเนื้อหุ้มกระดูกไม่ต่างอะไรกับไม้เสียบผี ผอมแห้งเรี่ยวแรงแทบไม่มี ยามดึงแขนเสื้อขึ้นมาเล็กน้อยก็พบร่องรอยช้ำเลือดช้ำหนองให้เห็นเป็นจ้ำๆ บางจุดก็เป็นวงสีเขียวบ่งบอกให้รู้ว่าเพิ่งได้มาเพียงไม่กี่ชั่วยาม บางจุดก็เปลี่ยนสีเป็นม่วงคล้ำๆ ติดประทับอยู่ตามผิวกาย และทุกผิวหนังส่วนใหญ่ล้วนมีแต่ร่องรอย จนแทบไม่มีจุดใดเว้นว่างสักกระผีก

ยามเมื่อไล้สายตามองตามเรือนร่าง ก็เห็นอาภรณ์ที่สวมใส่ สกปรกเสียจนหาจุดที่สะอาดมิได้ เขาจึงรู้สึกว่าเจ้าของร่างนี้ไม่ต่างอะไรจากวนิพกข้างถนน

ซ้ำยังมีกลิ่นสาบแปลกๆ ชวนให้คลื่นเหียนทุกครั้งยามสูดดม หนังก็ศีรษะคันคะเยอเสียจนรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างวิ่งพลุกพล่านขวักไขว่ หากใช้มือสางเส้นผมเพียงแผ่วเบาก็เป็นอันต้องหลุดร่วงลง คล้ายถูกโรคเรื้อนรุมเร้ากัดกินตามผิวกาย

พอได้สำรวจร่างกายตนอย่างถ้วนถี่แล้ว จ้าวเสี่ยวหมิงพึงตระหนักได้ทันทีว่าเจ้าของร่างคงถูกทารุณมาอย่างยาวนาน ตันเถียนภายในร่างถูกทำลายตั้งแต่เยาว์วัย

มาถึงตรงนี้เมื่อรู้ว่าตนนั้นได้เข้ามาสิ่งสู่ในร่างของคนไร้ความสามารถ จ้าวเสี่ยวหมิงก็เอาแต่ทอดถอนลมหายใจออกมาเสียงดังอยู่หลายหน แล้วทำได้เพียงส่ายศีรษะไปมาอย่างอนาถ ที่ตนนั้นจู่ๆ ก็ต้องเข้ามาสิงสู่ในร่างของดรุณตัวน้อยน่าสงสารผู้นี้ ซ้ำยังถูกรังแกอย่างไม่เว้นในแต่ละวัน

จ้าวเสี่ยวหมิงจึงสบถออกมาด้วยเสียงที่ค่อนข้างดัง “แล้วเหตุใดข้าจักต้องอยู่ในร่างบุรุษบอบบางเช่นนี้เล่า” ยามได้เห็นร่างกายของดรุณน้อยผู้นี้ทีไร ก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนลมหายใจอย่างระอา

ภายในใจของจ้าวเสี่ยวหมิงในยามนี้ คิดได้เพียงว่าจะต้องหาทางออกจากร่างที่เพิ่งเข้ามาสิงสู่นี้เสียโดยเร็ว ด้วยความที่จอมมารเช่นเขาแม้จะตกอับเพียงใดก็ยังมีใบหน้าหล่อเหลา เรือนกายสมส่วนดุจชายชาตรี แล้วสิ่งที่ตนได้รับมาในยามนี้คือสิ่งใด บุรุษที่แม้เพียงถูกลมหวนพัดเบาๆ ก็คงมิอาจต้านไหว หากยังดึงดันที่จะสิงสู่ต่อไป คงได้ล่องลอยไปตามสายลม

ในขณะที่นั่งตัดพ้อกับชะตา จู่ๆ ก็พลันคิดบางอย่างขึ้นมาได้ เขาจึงนั่งสมาธิ แล้วทำการถอดจิตออกจากร่างอย่างทันท่วงที มิยอมให้ชักช้าเสียเวลาอีกแม้เพียงครึ่งก้านธูป[3]

ทว่ายามได้เข้าฌานเดินลมปราณภายในร่างได้เพียงครู่เดียว ปราณภายในกลับแตกซ่านไม่คงที่ จะทดลองรวบรวมกี่ทีก็ไม่เป็นผล 

เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาจึงเลือกจะทดลองสะบัดฝ่ามือไปด้านหน้าตน เพื่อทดสอบพลังปราณในกาย แต่ทว่าเพียงแค่ฟาดฝ่ามือลงไป ร่างบอบบางก็มิอาจต้านไหว ปลิวกระเด็นลอยละลิ่วไปกระแทกกับผนังของโรงนา 

ร่างซูบผอมอัดกระแทกกับผนังอย่างแรง ของใช้ที่แขวนอยู่บนขื่อพลันร่วงกราว หล่นลงมาใส่ศีรษะจนเอามือมาป้องไว้แทบไม่ทัน

“อะตะตะตะ…เพ้ย! ออกแรงเพียงสองในสิบส่วนร่างนี้ก็ถึงกับกระเด็นเลยรึ” จ้าวเสี่ยวหมิงผรุสวาทออกมาอย่างหยาบคาย มือข้างหนึ่งกุมสะโพกของตนเอาไว้ แล้วหยัดกายลุกขึ้นยืนอย่างลำบาก ก่อนจะสบถเสียงดังลั่นอย่างมิพึงใจ “ตาเฒ่านั่นจะส่งข้ามาทั้งที ไยส่งมาที่ร่างแทบจะง่อยเปลี้ยเสียขาเช่นนี้เล่า”

มันเป็นชะตาของเจ้า

น้ำเสียงที่แสนคุ้นเคยดังก้องเข้ามาในหู เป็นเหตุให้เขาอดรนทนไม่ได้ที่จะเงยหน้าส่งสายตาปะหลับปะเหลือกขึ้นไปมองอย่างมิพึงใจ แล้วตะคอกเสียงดังใส่ “คำก็ชะตา สองคำก็ชะตา พอตัวข้าจะไปชดใช้ชะตากรรมที่ตนก่อในปรโลก ท่านกลับถีบส่งข้ากลับมา”

            “…”

ไร้เสียงตอบรับจากบุรุษที่ส่งเขาลงมา จ้าวเสี่ยวหมิงจึงตะโกนกลับไปว่า “ไยท่านถึงเงียบไปเล่าเฮาหนี่ สภาพร่างกายเช่นนี้ข้าจะไปทำสิ่งใดได้” แต่ก็ไม่มีสุ้มเสียงใดตอบกลับมาจากเฮาหนี่เลยสักครึ่งคำ

และแล้วก็เกิดเรื่องมิคาดฝันขึ้นมาเสียอย่างนั้น เมื่อกระเพาะของเขาร้องเสียงดัง ‘โครก’ ออกมา เสียงเหล่านั้นครวญครางต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน

สุดท้ายแล้วก็มิอาจทานทนได้อีกต่อไป จะนั่งก็หิว จะลุกก็หิว จะทำสิ่งใดล้วนหิวจนหน้ามืดตาลาย ที่ทำได้จึงมีเพียงยืนกุมช่องท้องทำหน้านิ่ว ก่อนจะผรุสวาทออกมา เหตุใดข้ายังหิวอยู่เล่า

ยืนนิ่งเพียงครู่จ้าวเสี่ยวหมิงก็ระลึกได้ว่า ร่างๆ นี้มิใช่ร่างของผู้ฝึกตนที่เจนจัดและกร้านโลกอย่างเมื่อครั้งในอดีต แต่เป็นเพียงร่างของดรุณตัวน้อยผู้ผ่านม่านฝนมาเพียงสิบหกปี หาใช่ผู้คนที่จะไม่กินไม่ดื่มอย่างเฉกเช่นผู้บำเพ็ญตน จึงย่อมมีความหิวโหยเฉกเช่นมนุษย์ทั่วไป

เขาจึงเอ่ยพึมพำอย่าไม่ใส่ใจ “ก่อนจะหาทางออกจากร่าง ข้าควรต้องหาอะไรยัดลงท้องเสียก่อนกระมัง”

กล่าวจบจ้าวเสี่ยวหมิงในร่างของหลิวมู่เหยียนจึงค่อยๆ ย่างเท้าออกมาจากโรงนา แสงแดดแรงกล้าสาดส่องปะทะใบหน้ายามโผล่หัวพ้นจากชายคา

เมื่อไร้ซึ่งสิ่งกำบัง บุรุษร่างผอมบางเนื้อตัวสกปรกมอมแมมหน้าตาประหลาดจึงยกมือขึ้นบดบังแสงอาทิตย์ของยามซื่อ[4] ที่สาดกระทบกับดวงตา เขาพยายามขยับเปลือกตาขึ้นลงอยู่หลายคราเพื่อปรับสายตาให้สู้แสงตะวัน

 ทว่ายังไม่ทันจะได้ก้าวย่างไปทางใด ก็มีผ้ากองใหญ่ลอยละลิ่วมาปะทะกับใบหน้าตนเสียอย่างนั้น ก่อนจะตามมาด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ ของสตรีผู้หนึ่งดังก้องมาจากทางด้านหลัง “เจ้าลูกนอกคอกวันนี้เจ้าหายไปไหนมา ไยเจ้าไม่มาเก็บผ้าคุณชายเขาไปซักล้าง อย่าลืมสิว่านี่คืองานที่เจ้าต้องทำทุกวัน”

ยามได้ยินเช่นนั้น จ้าวเสี่ยวหมิงจึงยกมือขึ้นมาจับกองผ้ามากมายที่กองทับอยู่บนศีรษะของตน แล้วค่อยๆ ลากมันลงมาถือไว้ในมือ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มหรี่มองกองผ้าอย่างใช้ความคิด จากนั้นจึงเอ่ยพึมพำเสียงเบา “ผ้าของผู้ใดกัน”

“เจ้านี่สติเลอะเลือนหรืออย่างไร” สตรีนางนั้นกล่าวเสียงแข็งแล้วทำท่าฮึดฮัดใส่อย่างมิพึงใจ จากนั้นจึงเดินมาด้านหน้าของหลิวมู่เหยียน มือทั้งสองข้างยกขึ้นมาเท้าเอวหลวมๆ เอาไว้ แล้วตวาดเสียงดังลั่นใส่อย่างมีโทสะภายในใจว่า “ก็เห็นๆ อยู่ว่าเป็นผ้าของคุณชายใหญ่กับคุณชายรองแค่นี้ก็ทำทีเป็นจำไม่ได้”

ยามได้เห็นกิริยาเช่นนั้นของคนตรงหน้า จ้าวเสี่ยวหมิงจึงกวาดสายตาขึ้นลงมองดูสตรีนางนี้ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ปลายเท้าจรดศีรษะ ก็คาดเดาได้ไม่ยากจากชุดที่สวมใส่ว่าหญิงผู้นี้คงมิแคล้วเป็นเพียงแค่สาวใช้ภายในสกุลที่ชอบอวดอ้างตนไปวันๆ

ในครานั้นริมฝีปากของจ้าวเสี่ยวหมิงก็ยกยิ้มขึ้นมาอย่างบางเบา แล้วรอยยิ้มดังกล่าวจึงแปรเปลี่ยนไปเป็นผยองอย่างเยียบเย็น ด้วยเหตุที่ว่าในเมื่อมิอาจออกจากร่างนี้ไปได้ ไหนๆ ก็ไหนๆ เขาก็อยากลองใช้ชีวิตเหมือนแต่ก่อนดูสักหน ชีวิตก่อนหน้าที่ตัวเองจะได้ฉายาว่าจอมมาร

เพราะตัวตนของเขาแต่ก่อนนั้นก็มิใช่คนที่คอยให้คนอื่นมาดูแคลนเสียที่ไหน ซ้ำเมื่อครู่นี้เขาก็ได้ยินเต็มสองรูหูว่าเจ้าของร่างหาได้อยู่ในฐานะบ่าวไพร่ให้สาวใช้ในเรือนมาข่มกัน

เมื่อคิดได้จ้าวเสี่ยวหมิงจึงเอ่ย “ข้าไม่ทำ” ก่อนจะโยนกองผ้ากองนั้นกลับไปให้สาวใช้ตามเดิม แล้วย่างเท้าเดินจากไป

ทว่ากิริยาดังกล่าวของหลิวมู่เหยียน กลับสร้างความมิพึงใจให้กับไป๋หลิวสาวใช้คนสนิทของชูหลินเฝ่ยอยู่ไม่น้อย นางจ้องมองกองผ้าในมือด้วยแววตาแข็งกระด้างจากเพลิงโทสะที่สั่งสม ก่อนจะโยนกองผ้าดังกล่าวไปให้บ่าวรับใช้คนอื่นๆ ที่ยืนอยู่ไม่ไกล แล้วย่างเท้าเข้าไปหาบุรุษร่างกายซูบผอมอย่างไม่รั้งรอ

มือหยาบกร้านจากการทำงานหนัก พุ่งตรงไปกระชากผมยุ่งๆ กระจุกนั้นอย่างเต็มแรง เป็นเหตุให้หลิวมู่เหยียนต้องหงายหลังตามแรงฉุดรั้งดังกล่าวลงไป

ไป๋หลิวฉุดทึ้งเรือนผมสีน้ำตาลเข้มของบุรุษหนุ่มเอาไว้ แล้วกดศีรษะให้ลงต่ำ จากนั้นจึงกรอกเสียงของตนลงไปข้างๆ หูอย่างช้าๆ ชัดๆ ว่า “เจ้าเป็นใครแล้วข้าเป็นใคร คนเช่นเจ้าได้มีที่ซุกหัวนอนอยู่ที่บ้านสกุลหลิวก็ดีเพียงใดแล้ว”

ได้ยินเช่นนั้นจ้าวเสี่ยวหมิงจึงก่นด่าอยู่ในใจ ‘ข้าก็เป็นมารร้ายที่สังหารชีวิตผู้คนไปแทบนับมิได้น่ะสิ’ ยามถูกปฏิบัติด้วยกิริยาอันต่ำทรามเข้าใส่ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจึงปรายหางตามองไปยังสตรีข้างๆ กาย 

ในครานั้นเองโทสะที่สั่งสมพลันไม่อาจระงับไว้ จ้าวเสี่ยวหมิงจึงเอื้อมไปคว้าข้อมือของไป๋หลิวที่ยังค้างเติ่งบนศีรษะตน แล้วบีบด้วยพละกำลังเพียงสองในสิบส่วนของพลังภายในทั้งหมดที่มี ก่อนจะบิดท่อนเนื้อหุ้มกระดูกดังกล่าวตามกระบวนท่าที่เคยเรียนรู้มา

เสียงของกระดูกหักดัง ‘กร็อบ’ แทรกเข้ามาในรูหู ยามนั้นสติของจ้าวเสี่ยวหมิงพลันคืนกลับมา บุรุษหนุ่มจึงค่อยๆ ปรายหางตามองไปยังท่อนแขนของสตรีผู้นั้นอย่างหวาดหวั่นที่ตนนั้นเผลอพลั้งมือใส่แรงลงไป

เมื่อภาพที่สะท้อนให้เห็นคือเรียวแขนขาวเขียวช้ำ กระดูกหักบิดงอมิอาจคงรูปได้ จ้าวเสี่ยวหมิงก็พลันสะดุ้งโหยงแล้วจึงอุทานเสียงดัง “อึ๋ย” อย่างตกใจ ยามได้ไล่สายตาขึ้นมามองใบหน้าของสาวใช้ที่บัดนี้ประเดี๋ยวซีดประเดี๋ยวคล้ำเมื่อกำลังเพ่งมองยังแขนที่หักของตน 

ในครานั้นเองจ้าวเสี่ยวหมิงก็พึงตระหนักได้ว่าสตรีนางนี้คงเป็นเพียงแค่สาวใช้คนสนิทของใครสักคนในสกุล อาจมิได้มีวรยุทธ์สูงส่งเฉกเช่นคุณชายน้อยใหญ่ผู้บำเพ็ญตน

มาถึงตรงนี้หางตาก็พลันกระตุกยิกออกมาเสียหลายหน ก่อนจะค่อยๆ ปล่อยท่อนแขนข้างที่หักลงอย่างเบามือ จากนั้นก็ฝืนหัวเราะแหะๆ ขัดตาทัพออกมา แต่เสียงภายในใจนั้นกลับกู่ตะโกนออกมาว่าแย่แล้วอยู่ครามครัน

ยังมิทันที่จ้าวเสี่ยวหมิงจะกระทำการใดๆ ไป๋หลิวก็พลันคืนสติกลับมาได้ นางจึงรู้สึกตัวว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ก่อนจะหลุบตาลงมายังแขนข้างที่หักของตน นางมองแขนข้างนั้นสลับกับใบหน้าหวาดๆ ของหลิวมู่เหยียนไปมา ก็พึงตระหนักได้ว่าตนเองนั้นคงมิแคล้วถูกเจ้าลูกสุนัขตัวนี้หักแขนเข้าอย่างจงใจ

ในครานั้นเองนัยน์ตาสีดำสนิทก็พลันสว่างวาบขึ้นทันใด แล้วตวาดเสียงดังลั่นใส่หน้าหลิวมู่เหยียนอย่างหมดความอดทน “เจ้าลูกนอกคอกเจ้ากล้าหักแขนข้าเชียวรึ” ก่อนจะปรี่เข้าไปหาบุรุษร่างกายสกปรกมอมแมมอย่างไม่รั้งรอ

ไป๋หลิวยกมือข้างหนึ่งขึ้นมา จากนั้นจึงพลิกข้อมือให้อยู่ในระดับอก แล้วอัดกระแทกฝ่ามือเข้าไปหาบุรุษร่างกายซูบผอมที่กำลังยืนมองตนอย่างรวดเร็ว “อย่าอยู่เลย”

‘มารดาเถอะ! แม้แต่สาวใช้ผู้นี้ก็มีวรยุทธ์เช่นนั้นรึ มิน่าเล่าถึงไม่ร้องออกมาสักครึ่งคำ’

จ้าวเสี่ยวหมิงผรุสวาทในใจอย่างหยาบคาย นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเบิกโพลงอย่างตกใจยามได้เห็นกระบวนท่าที่สตรีผู้นี้ใช้ ก่อนร่างกายจะขยับหลบฝ่ามือที่อัดกระแทกเข้ามาแบบจ้าละหวั่น

เขาเบี่ยงกายหลบไปมา แล้วทำทีเป็นแหกปากร้องตะโกนเสียงดังลั่น “มิใช่ข้าที่ทำท่าน ฟังก่อนพี่สาวคนสวย” ก่อนจะโบกมือทั้งสองข้างไปมา แม้ร่างกายจะอ่อนล้าเพียงใด จ้าวเสี่ยวหมิงก็ยังพยายามหลบลูกเตะที่ซัดกระแทกเข้ามาอยู่หลายกระบวนท่า พลางรีบกล่าวด้วยน้ำเสียงหอบหายใจว่า “ข้าหาได้มีวรยุทธ์ใดๆ ตันเถียนก็ถูกทำลายไปแล้ว จึงมิอาจรวบรวมลมปราณไว้ในกาย ไหนเลยจะหักแขนท่านได้เล่า”

“หุบปาก”

“ข้ามีปากก็ต้องพูด เหตุใดต้องหุบด้วยเล่า”

จ้าวเสี่ยวหมิงร้องตะโกนโหวกเหวกโวยวาย แล้วทำเพียงเบี่ยงแค่ร่างกายหลบไปมา โดยมิได้ตอบโต้กลับไปแม้เพียงกระบวนท่าเดียว ถึงแม้จะเอาแต่หลบ ทว่าจ้าวเสี่ยวหมิงก็สูญเสียกำลังไปไม่น้อย ด้วยเหตุที่ว่าในยามนี้ ดวงวิญญาณกับกายหยาบที่ตนเข้ามาสิงสู่ยังไม่เข้าที่ และถ้าหากต้องหลบไปมากกว่านี้ ก็คงมิอาจหลบพ้น ยิ่งพยายามหลบเลี่ยงเพียงใด กำลังกายก็ยิ่งอ่อนล้าลง

แต่ไหนเลยไป๋หลิวจะได้ยินคำพูดของจ้าวเสี่ยวหมิงที่พยายามแก้ตัว นางใช้วรยุทธ์ไปถึงสิบกระบวนท่า ก็ไม่โดนแม้แต่ผิวกายของบุรุษที่มิอาจรวบรวมพลังปราณภายในกายได้สักนิด ก็ยิ่งเพิ่มเพลิงโทสะเป็นทบทวีจนมิอาจควบคุม

ในครานั้นจ้าวเสี่ยวหมิงที่กำลังหลบฝ่ามือของหญิงสาว ก็เบี่ยงกายมาทางด้านหลัง ก่อนจะยกมือขึ้นมาหมายจะสกัดจุดนางให้หยุดนิ่งอยู่กับที่ เพื่อให้สตรีผู้นี้สงบลงเสียที

ทว่ายังไม่ทันจะได้ทำอันใดต่อ ก็มีเสียงของบุรุษผู้หนึ่งก็ดังแทรกขึ้นมาเสียก่อนว่า “เสียงดังเอะอะไปถึงเรือข้า มีเรื่องอันใดหรือ” ก่อนเจ้าของเสียงดังกล่าวจะก้าวเข้ามาถึงจุดที่ทั้งสองโต้เถียงกันอยู่

โดยที่บุรุษผู้นี้มีรูปร่างสูงใหญ่ มีโครงหน้าละม้ายคล้ายหลิวซูหยวนถึงแปดส่วน ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย นัยน์ตาสีดำขลับคมปลาบทอประกาย กรอบหน้าสมส่วนดุจชายชาตรี ริมฝีปากบางเฉียบแต่หยักลึกราวกับถูกลิ่มสลักไว้ องคาพยพทั้งห้าถูกหลอมรวมกันยิ่งดูหล่อเหลาและหยิ่งทะนง สวมใส่แพรพรรณสีฟ้าเข้มเนื้อดีเสริมบารมีให้คนผู้นี้ดูสง่าราศีไม่ด้อยไปกว่าใคร เขาก้าวเข้ามา ก่อนจะกวาดสายตามองทั้งสองคน

ในฉับพลันไป๋หลิวจึงรีบลดมือลง แล้วขยับร่างกายให้ไปยืนด้านข้าง ห่างจากจุดที่ยืนอยู่เมื่อครู่ราวหนึ่งจั้ง[5] ก่อนจะโค้งคารวะผู้มาเยือนอย่างนอบน้อม แล้วกล่าวอ้อมแอ้มออกมา “ไป๋หลิวคารวะคุณชายใหญ่”

เมื่อได้เห็นใบหน้าบุรุษผู้มาเยือนอย่างถ้วนถี่ จ้าวเสี่ยวหมิงก็มิอาจขยับกายได้อีก เลือดในกายพลันฉีดพล่านไปทั่วร่าง มือเท้าเย็นยะเยือกราวกับมีน้ำค้างแข็งเกาะไว้ ผิดจากในใจที่ร้อนรุ่มดั่งมีไฟโลกันตร์แผดเผาอยู่ภายใน

ยิ่งดูยิ่งใช่ยิ่งมองยิ่งเหมือน คนผู้นี้ต่อให้ตายอีกสักกี่ชาติจ้าวเสี่ยวหมิงก็มิอาจลืมเลือน บุรุษที่ครั้งหนึ่งนั้นตัวของเขาเคยสอนวรยุทธ์ให้เองกับมือ คุณชายใหญ่แห่งสกุลหลิว หลิวห้าวเหลียง ผู้เป็นเครือญาติเดียวกันกับหลิวหลี่เฉวี่ยนเจ้าสำนักหลิวสุ่ยคนปัจจุบันแห่งเจิ้งโจว และเป็นเขาเองที่คนลงมือทำร้ายคนผู้นี้จนเกือบปางตายเช่นกัน

นี่มันเวรกรรมอะไรกันหนอ ชดใช้ไม่จบไม่สิ้น ชาติก่อนข้าทำร้ายเจ้าชาตินี้เจ้าเลยมาข่มเหงข้า กรรมนั้นหนาช่างเร็วดั่งลูกเกาทัณฑ์เสียจริง

จ้าวเสี่ยวหมิงขบคิดในใจอย่างนึกขัน ยืนนิ่งคิดได้เพียงไม่นานก็มีเสียงผรุสวาทจากสาวใช้ดังแทรกเข้ามา “เจ้าคนนอกคอกไยยังมิเคารพคุณชายใหญ่อีก” 

เสียงตวาดดังลั่นเรียกให้จ้าวเสี่ยวหมิงปรายตามองไปยังสาวใช้ผู้นั้น ก็เห็นเพียงใบหน้าย่นยับอย่างมีโทสะส่งมาให้ ในครานั้นเขาก็เรียกสติกลับคืนมาได้ จึงทำทีเป็นโค้งคารวะบุคคลที่เดินเข้ามาเผชิญหน้าตนอย่างสำรวมกิริยา ก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “ข้าน้อยคารวะคุณชายใหญ่”

“ไม่ต้องมากพิธี” หลิวห้าวเหลียงเอ่ยออกมาก่อนจะกวาดตาขึ้นลงมองหลิวมู่เหยียนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยสายตาเรียบเฉย ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ จากนั้นจึงปรายตามองไปทางที่ไป๋หลิวยืนอยู่ แล้วกล่าวออกมา “มีเหตุอันใดกัน เสียงดังเอะอะไปถึงเรือนข้า”

ยามได้ยินวาจาจากผู้เป็นนาย ไป๋หลิวจึงรีบเอ่ยตอบ “เรียนคุณชายใหญ่ ไอ้ลูกนอกคอกผู้นั้นมันหักแขนข้าเจ้าค่ะ” พร้อมกับยกนิ้วชี้ ชี้มายังใบหน้าของหลิวมู่เหยียนอย่างไร้มารยาท 

เป็นเหตุให้จ้าวเสี่ยวหมิงถึงกับกลอกตาขึ้นลงอย่างระอา ยามได้เห็นท่าทีไร้ซึ่งความเคารพ ของสาวใช้ที่กระทำใส่ตน เขาจึงทำทีเป็นเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มเหมือนไม่ยิ้มว่า “เจ้าพูดอันใดให้มีความคารวะเสียบ้าง ข้าเป็นใครแล้วเจ้าเป็นใคร ไยเรียกขานข้าแบบนั้น รู้ถึงหูผู้คนภายนอกเข้าคงได้เป็นขี้ปากชาวบ้าน ว่าบ่าวรับใช้ในสกุลนี้ไม่เคารพยำเกรงผู้เป็นนาย”

“เจ้า”

“พอ” หลิวห้าวเหลียงชิงเอ่ยห้ามอย่างระอา ยามสิ้นเสียงตวาดลั่นของสาวใช้ในเรือนอนุภรรยาของผู้เป็นบิดา บุรุษหนุ่มยกมือขึ้นมาข้างหนึ่งขวางหน้าไป๋หลิวเอาไว้ เพื่อห้ามปรามก่อนที่สตรีผู้นี้จะปรี่เข้าไปทำร้ายน้องชายต่างมารดาของตน แล้วปรายตามองหลิวมู่เหยียนเสียหนึ่งหน จากนั้นจึงเอ่ยต่อ “แล้วเรื่องที่เจ้าไปทำร้ายนางเสียจนแขนหักเป็นความจริงรึ”

ยามได้เห็นแววตาของหลิวห้าวเหลียง จ้าวเสี่ยวหมิงก็อุทานว่าแย่แล้วออกมาภายในใจ ด้วยความที่ตั้งแต่เขาได้เข้ามาสิงสู่ก็พึงตระหนักได้หนึ่งอย่างว่าเจ้าของร่างนี้ไร้ซึ่งวรยุทธ์ จุดรวมตันเถียนทั้งสามถูกทำลายด้วยฝีมือของใครสักคน จนมิอาจฝึกยุทธ์ใดๆ เฉกเช่นผู้อื่นเขาได้

หากคนผู้นี้ล่วงรู้เข้าว่าตนนั้นพลั้งมือหักแขนของสตรีที่มีวรยุทธ์อย่างหญิงสาวรับใช้ผู้นี้ได้ในชั่วพริบตานั่นคงมิใช่เรื่องดี เพราะตอนนี้กายหยาบที่ตนได้สิงสู่อยู่กับดวงวิญญาณยังไม่เข้าที่ เขายังมิอาจใช้ร่างๆ นี้ได้อย่างใจ

จ้าวเสี่ยวหมิงจึงไม่อยากจะประกาศศักดากับผู้ใด คิดได้เช่นนั้นจึงทำทีเป็นรีบคุกเข่าลงกับพื้นสกปรกอย่างจำใจพร้อมแสร้งเอ่ยเสียงสั่นอย่างอ้อนวอน

“มะ…มิเป็นความจริงนะขอรับ ตัวข้าหามีวรยุทธ์เฉกเช่นผู้อื่นไม่ ไหนเลยจะหักแขนคนที่มีวรยุทธ์สูงส่งอย่างนางได้เล่าขอรับ”

“ถ้าไม่ใช่เจ้าแล้วแขนข้าจะหักได้อย่างไร” ไป๋หลิวโต้เถียงอย่างไม่ยอมแพ้ พลางปรี่ใส่หลิวมู่เหยียนหมายจะเข้าไปเตะอัดให้หนำใจ แต่โชคยังดีที่มีบ่าวสองคนมารั้งกายเอาไว้ ก่อนที่ปลายเท้าของนางจะทันได้สัมผัสใบหน้าซูบผอมอย่างเต็มกำลัง

สิ้นคำของไป๋หลิวนัยน์ตาสีดำสนิทของหลิวห้าวเหลียงพลันสว่างวาบขึ้นอย่างมีโทสะ เขาปรายตามองไปทางหญิงสาวอย่างมิใคร่พอใจ จากนั้นจึงเอ่ยเสียงเย็นใส่ “สำรวมกิริยาด้วยไป๋หลิว เป็นถึงคนสนิทชูอี๋เหนียงแห่งสกุลหลิว ไยเจ้าทำตัวยิ่งกว่าแม่ค้าในตลาดเล่า”

ยามได้สบมองสายตาของหลิวห้าวเหลียง เลือดภายในกายก็แข็งค้างราวกับถูกแช่แข็งเอาไว้ ขาทั้งสองข้างพลันอ่อนแรง ด้วยเหตุที่ว่าหากมีเรื่องเกิดขึ้นมา อาจทำให้ต้องระเห็จออกจากสกุลหลิวไปก่อนเวลาอันสมควรทั้งที่เป้าหมายของตนนั้นยังมิทันได้ลุล่วงดี และนั่นอาจเป็นเหตุให้ตนไม่สามารถรักษาชีวิตไว้ได้

ในเมื่อเอ่ยก็มิได้ โต้เถียงก็มิออก นางจึงทำทีเป็นทรุดตัวลงกับพื้นดินสกปรกแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบสั่น “บ่าวต่ำช้ายิ่งนัก มีปากกลับพูดแต่สิ่งที่ไม่สมควร สมควรถูกลงโทษตบปากตัวเองจนปากฉีกถึงหูแล้วเจ้าค่ะ” จากนั้นจึงยกมือขึ้นมาตบใบหน้าของตนเองอย่างแรง จนใบหน้าขาวซีดเริ่มมีรอยแดงจากฝ่ามือ “บ่าวสมควรโดนแล้ว…สมควรแล้ว”

“พอ” 

หลิวห้าวเหลียงเอ่ยเสียงเย็น ยามได้เห็นท่าทางชวนสังเวชของสตรีตรงหน้าผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนสนิทภรรยารองของผู้เป็นบิดาตน เขาปรายหางตามองอีกเพียงหน แล้วสบถพึมพำเบาๆ อย่างมิพึงใจ “น่าสมเพชยิ่งนัก” ว่าจบก็เบือนหน้าหนี ก่อนหันกลับไปมองหลิวมู่เหยียน ที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นดินสกปรกด้วยสายตาเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ จากนั้นจึงเปรยออกมา “เห็นน้องรองพูดเปรยๆ ว่าอีกหนึ่งชั่วยามจะไปฝึกวิชาโดยให้เจ้าเป็นคู่ซ้อมที่ลานฝึก ไยเจ้ายังอยู่ตรงนี้ยังมิไปเตรียมตัวเตรียมใจ”

ได้ยินเช่นนั้นจ้าวเสี่ยวหมิงจึงนึกขึ้นมาได้ และเข้าใจถึงความหมายคำพูดของบุรุษอีกคนที่เอ่ยออกมา ว่าต้องการสิ่งใด จ้าวเสี่ยวหมิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแสร้งให้สั่นเข้าไว้ “ข้ากำลังจะไปแล้วขอรับคุณชายใหญ่ แต่มาเจอพี่สาวผู้นี้เสียก่อน นางโยนผ้ามาให้ข้าซักล้างทำความสะอาดให้” นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มหลุบมองยังพื้นดินแห้งแตกระแหง เพื่อมิให้ใครเห็นแววตาพราวระยับอย่างนึกสนุกที่หลบซ่อนอยู่ภายใน ก่อนจะเอ่ยต่อ “แต่ข้าเห็นว่าจะไม่ทันการจึงบ่ายเบี่ยงไป แต่นางเข้ามากระชากผะ...”

เป็นเหตุให้ไป๋หลิวก็ตวาดเสียงดังลั่น “ข้าทำอันใด” ขัดขึ้นมาเสียก่อนที่จ้าวเสี่ยวหมิงจะเอ่ยจบประโยคดี นิ้วเรียวยาวของนางชี้มายังใบหน้าของเขาอย่างไร้มารยาท ใบหน้ารูปไข่ที่เคยสวยหวานบัดนี้บิดเบี้ยวด้วยเพลิงโทสะอย่างท่วมท้นจนมิอาจระงับไว้ แล้วสบถลอดไรฟันออกมา “อย่ามาพูดมั่วซั่วใส่ร้ายข้า”

เมื่อหลิวห้าวเหลียงได้เห็นกิริยาอันมิสมควรของสตรีที่นั่งคลุกฝุ่น ใบหน้าหล่อเหลาพลันบึ้งตึงหม่นคล้ำลงหลายส่วน ก่อนจะเอ่ยเสียงเข้มออกไปว่า “หุบปาก” จากนั้นปรายหางตามองไปยังสาวใช้ด้วยแววตาแข็งกระด้างอย่างหยาบคายยิ่งขึ้น “ใครใช้ให้เจ้าพูดกัน”

“ก็เจ้า…” ไป๋หลิวเอ่ยออกมาได้เพียงประโยคเดียว จำต้องกลืนคำพูดทุกอย่างลงคอไป ยามได้สบเข้ากับสายตาแข็งกระด้างของผู้เป็นนาย นางพลันก้มหน้าลงอย่างหวาดหวั่นแล้วเอ่ยเสียงสั่นออกมา “ขะ...ขออภัยเจ้าค่ะ”

“ไม่สำรวมกิริยาทำตัวต่ำช้ายิ่งนัก เอานางไปโบยห้าสิบที แล้วล้างด้วยน้ำเกลือ”

“บ่าวสำนึกแล้วอย่าทำบ่าวเลย” ไป๋หลิวรีบเอ่ยเสียงสั่น ก่อนจะโขกศีรษะลงบนพื้นดินอย่างแรง เสียงดังก้องหนักแน่น แต่ก็มิอาจพ้นโทษทัณฑ์เหล่านั้นไปได้ เพียงครู่เดียวก็มีบ่าวรับใช้ร่างกายกำยำปรากฏกาย เดินเข้ามาหิ้วต้นแขนของนางจากไป 

สตรีปากร้ายจากไปแล้ว มีเพียงเสียงร้องโหยหวนดังแว่วเข้ามาในโสตประสาท บ่งบอกให้รู้ซึ้งว่าการถูกโบยแต่ละครั้งของสกุลหลิวนั้นเจ็บปวดเพียงใด

‘เป็นความผิดของเจ้าที่มารังแกข้าก่อน’

จ้าวเสี่ยวหมิงนึกภายในใจ ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา ภาพตรงหน้ามีเพียงคุณชายใหญ่ของสกุลกำลังชายหางตามองไปยังทางที่บ่าวรับใช้ถูกลากออกไป ในครานั้นใบหน้าบึ้งตึงจึงคลายลงหลายส่วน ริมฝีปากบางยกยิ้มอย่างพอใจ

ไม่นานหลิวห้าวเหลียงก็ผินใบหน้าหันกลับมาหาผู้เป็นน้องชายต่างมารดา แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “วันนี้เจ้าสำนักหยางเจียน หยางซิวอวี่จะมาคุยธุระกับท่านพ่อ เขาอาจแวะเวียนไปที่ลานฝึกก็เป็นได้ วันนี้อย่าได้ทำอะไรให้ขายขี้หน้าเชียวล่ะ” 

“ขอรับ”

“ดี” หลิวห้าวเหลียงกล่าวเพียงเท่านั้น นัยน์ตาสีดำสนิทหลุบมองญาติผู้น้องด้วยแววตาเรียบเฉย ก่อนจะเอื้อนเอ่ยออกมา “ลำบากเจ้าแล้ว” กล่าวจบก็พลันสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป

เมื่อคุณชายใหญ่แห่งสกุลหลิวเดินจากไปแล้ว จ้าวเสี่ยวหมิงจึงหยัดกายลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล เสียงโครกครากในกระเพาะก็ดังขึ้นมาอีกหน และมันยิ่งทวีความหนักแน่นขึ้นทุกขณะยามขยับกาย บุรุษหนุ่มจึงรีบยกมือขึ้นมาลูบท้องตนเบาๆ แล้วพึมพำออกมาว่า “โรงครัวสกุลนี้ไปทางใดกัน” จบคำนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มก็กวาดมองไปมาโดยรอบ เพื่อมองหาที่หมายจะเดินไป

จ้าวเสี่ยวหมิงสุ่มเดินไปทางเรือนด้านใน เขาเดินผ่านเรือนเล็กใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่เรียงราย ผู้คนสัญจรไปมาขวักไขว่ บ้างก็ทำงาน บ้างก็ยกของหนัก แต่คนเหล่านั้นหาได้สนใจเขาไม่ มิหนำซ้ำยังเดินหนียามเมื่อก้าวขาเข้าไปหาเสียหลายครั้ง

ในครานั้นเขาก็พึงตระหนักได้ว่า เจ้าของร่างนี้คงเป็นที่ชิงชังของผู้คนในสกุลนี้อยู่ไม่น้อย ถึงกระนั้นเสียงเรียกร้องในกระเพาะก็ยังมิคลาย จึงจำใจสุ่มเท้าเดินไปด้านหน้าเรื่อยๆ อย่างสะเปะสะปะไร้จุดมุ่งหมาย

เพียงไม่นานสายตาก็ไปเห็นเด็กหนุ่มอายุราวๆ สิบสามขวบปีเห็นจะได้ เสื้อผ้าที่สวมใส่ขะมุกขะมอมยับยู่ยี่ไม่ต่างจากตนเองเสียเท่าใด ตามเรือนกายซูบผอมมีเพียงหนังหุ้มกระดูก กำลังก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่อย่างหนักไม่ยอมเงย มือทั้งสองข้างหอบหิ้วถังใส่มูลอยู่เพียงลำพัง

ในยามนั้นจ้าวเสี่ยวหมิงจึงสาวเท้าเข้าไปหา เมื่อเดินไปถึงก็ยกมือขึ้นมาสะกิดหลังเด็กหนุ่มผู้นั้นแล้วเอ่ยออกไปทันทีว่า “นี่ๆ เจ้ารู้หรือไม่โรงครัวไปทางใด”

เป็นเหตุให้เด็กหนุ่มพลันสะดุ้งตกใจ ของในมือร่วงลงกับพื้นหกกระจาย กลิ่นคาวน่าคลื่นเหียนคละคลุ้งจนมิอาจกลั้น เมื่อเห็นเช่นนั้นดรุณน้อยจึงเอ่ยละล่ำละลักอย่างหวั่นๆ “คะ...คุณชายสามมีอะไรหรือขอรับ” นัยน์ตาสีดำสนิทหลุบมองอาจมที่หกกระจายเกลื่อนพื้น ร่างกายซูบผอมสั่นเทิ้มอย่างหวาดกลัว

ส่วนจ้าวเสี่ยวหมิงยามได้กลิ่นน่าคลื่นเหียน ก็มิอาจควบคุมร่างกายตนได้อีกต่อไป แม้จะรีบเบือนหน้าหนีแต่ช่องท้องก็ตีรวนปั่นป่วนอยู่ภายใน สุดท้ายก็เกินจะกลั้นไหวจนต้องโก่งคออาเจียนออกมา

พรวด!

ในยามนั้นเองเด็กหนุ่มหน้าตามอมแมมจึงได้สติคืนกลับมา สีหน้าขาวซีดกลับซีดลงยิ่งกว่า ก่อนจะมิอาจทรงตัวยืนได้อีกต่อไป เขาคุกเข่าลงกับพื้นที่เปรอะเปื้อนไปด้วยอาจมเหล่านั้นอย่างอ่อนแรง แล้วโขกศีรษะลงบนพื้นสกปรกอย่างหวาดกลัว “บ่าวขออภัยขอรับคุณชายสาม บ่าวไม่ระวังให้ดีทำให้ท่านต้องวิงเวียนเช่นนี้ ยกโทษให้บ่าวด้วยขอรับ”

เมื่อได้เห็นการวิงวอนต่อหน้า จ้าวเสี่ยวหมิงพึงตระหนักได้ว่าตนเองนั้นเป็นเหตุให้เด็กหนุ่มตรงหน้าเดือดร้อนเข้าเสียแล้ว เขาจึงรีบเงยหน้าขึ้นมาแล้วใช้ชายเสื้อสกปรกเช็ดมุมปากอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะกล่าวออกไป “อ่า...ขอโทษทีขอโทษที ผิดที่ข้าไม่ระวังให้ดี หาใช่ความผิดเจ้าไม่ เจ้าลุกขึ้นเถิด...อุ๊บ” เอ่ยได้เพียงเท่านั้น บุรุษหนุ่มก็โก่งคออาเจียนอีกหนอย่างมิอาจกลั้นไหว เขาอาเจียนจนไม่เหลือสิ่งใดในกระเพาะให้ออกมาอีก ถึงจะเงยหน้าขึ้นมาได้ “ที่ข้ามาหาเจ้า ข้าเพียงแค่อยากถาม เรือนของข้าไปทางใด”

แม้จะงุนงงมิอาจเข้าใจว่าเหตุใดบุรุษตรงหน้าถึงถามหาเรือนของตนเอง แต่เด็กหนุ่มเนื้อตัวสกปรกก็ชี้ทางให้อยู่ดี “เดินจากตรงนี้ไปทางทิศตะวันตกจนสุดด้านในเลยขอรับ เรือนของคุณชายสามอยู่ด้านในสุดขอรับ”

“อย่างนั้นรึ” จ้าวเสี่ยวหมิงหันไปมองตามทางที่เด็กหนุ่มชี้ไป แล้วพยักหน้าลงอย่างเข้าใจ ก่อนจะหันหน้ากลับมามองใบหน้าเด็กหนุ่มอีกหน “แล้วโรงครัวล่ะ”

“อยู่หลังเรือนใหญ่ทางด้านหน้านู้นน่ะขอรับ”

“อย่างนั้นสินะ” จ้าวเสี่ยวหมิงพึมพำออกมาเบาๆ มือทั้งสองข้างยกขึ้นเท้าเอวเอาไว้ เขาหลุบตามองอาจมที่หกกระจายแล้วกล่าวออกไป “ข้าทำให้ของพวกนั้นหกให้ข้าช่วยเจ้าทำความสะอาดดีหรือไม่”

“มะ... ไม่ต้องหรอกขอรับ แค่นี้บ่าวทำเองได้ขอรับคุณชายสามลดตัวลงมาคุยกับบ่าวถือเป็นบุญคุณแล้ว”

“เช่นนั้นหรอกรึ รบกวนเจ้าแล้ว” จ้าวเสี่ยวหมิงยกมือขึ้นตบบ่าเด็กชายอย่างไม่นึกรังเกียจ ก่อนจะคลี่ยิ้มน้อยๆ ออกมา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงร่าเริงว่า “แล้วเจ้าชื่อแซ่อะไร ไว้วันหน้าข้าจะตอบแทน”

“บ่าวชื่อไท่จูขอรับ”

“เป็นชื่อที่ดี” พูดเพียงแค่นั้นบุรุษหนุ่มก็หมุนกายแล้วจึงเดินออกไปตามทิศทางที่เด็กชายผู้นั้นชี้ทางมา

[1]ฤดูจิงเจ๋อ (惊蛰) เริ่มวันที่ 5-7 มีนาคม ดวงอาทิตย์ทำมุม 345° ฝนตกชุกมีฟ้าคะนองในจีน  คำแปลของปักษ์นี้ก็เป็นไปตามเหตุการณ์ที่พบเห็น นั่นคือแมลงหรือสัตว์ที่จำศีลอยู่จะเริ่มตื่นขึ้นเพื่อจะออกมาหาอาหาร 

[2]ยามไฮ่(亥时)คือเวลา 21.00 - 22.59 น.

[3]หนึ่งก้านธูป เท่ากับ สิบห้านาที

[4]ยามซื่อ (巳时) คือเวลา 09.00 น. – 10.59 น.

[5] หนึ่งจั้ง เท่ากับ 10 ฉื่อ หรือราวๆ 2.5 เมตร

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • ข้านี่แหละจอมมาร (yaoi)   บทที่ 33 สงบสุขหวนคืน

    “คุณชายใหญ่มาทางนี้”เสียงสะท้อนในอกดังก้องในมโนสำนึกตน นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเพ่งมองไปยังเบื้องหน้า ก็เห็นเป็นภาพในอดีตเมื่อครั้งยังเยาว์วัย กำลังวิ่งเล่นรอบแปลงดอกโบตั๋นกับดรุณีน้อยนางหนึ่ง เพราะมีเพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่ชวนให้คิดถึงมารดาผู้ถูกเหล่าเซียนทั้งหลายรังแกจนจากไปเหม๋ยตงหม่าคือนามของเขา ผู้ที่เกิดจากฮูหยินใหญ่ตระกูลเหม๋ย ส่วนเหม๋ยยี่เถียนนั้นเกิดจากอนุภรรยาผู้ที่เคยเป็นบ่าวรับใช้ ที่แสนจะต่ำต้อยแต่ทว่าเหม๋ยยี่เถียนนั้นกลับมีร่างกายแข็งแรงกว่าดรุณีทั่วไป ด้วยพละกำลังอันมหาศาลนี้ จึงต้องวิ่งร่ามาปกป้องตนเองเสมอมา ส่วนตนเองนั้นที่อ่อนแอกว่า จึงต้องอยู่ภายใต้การคุ้มครองของน้องสาวผู้นี้อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ทั้งๆ ที่เป็นคุณชายใหญ่ของสกุลกลับถูกดูแคลนว่าไร้ซึ่งความสามารถไม่หยุดหย่อน ทั้งจากบิดา ถูกติฉินนินทาแม้กระทั่งบ่าวรับใช้ภายในเรือน แต่กระนั้นเขากลับได้รับความรักจากน้องสาวต่างมารดาผู้นี้เสมอมา มีเพียงเขาเท่านั้นที่คิดว่าเหม๋ยยี่เถียนเสแสร้งมาเอาใจและแล้วภาพเบื้องหน้าจะแปรเปลี่ยนไป เป็นภาพของเหม๋ยยี่เถียนผู้เป็นน้องสาวต่างมารดา กำลังกางมือเข้าปกป้องตนเองจากเหล่า

  • ข้านี่แหละจอมมาร (yaoi)   บทที่ 32 ศึกสุดท้าย

    “ไม่ได้ขอรับ ต่อให้เป็นอาจารย์ ต่อให้ข้าขึ้นชื่อว่าอกตัญญู ข้าก็มิอาจปลดตรวนให้ท่านได้”เสียงของหลิวห้าวเหลียงยังคงดังก้องในมโนสำนึกของตนไม่จางหาย หลังจากที่กลับออกมาเขาก็ได้แต่นั่งนิ่งอยู่บนฟูกนอนในเรือนตน ตรวนสองสายยังคงพันวนอยู่รอบกายมิได้ถูกปลดออกไป ด้วยเหตุที่ว่าราวหนึ่งชั่วยามที่ผ่านมา เมื่อตนเองเดินทางกลับมาถึงสำนักหลิวสุ่ย ก็เร่งฝีเท้าเดินทางมุ่งหน้ามาหาหลิวห้าวเหลียงโดยมิได้กระทำสิ่งอื่นใด เพื่อให้ช่วยปลดโซ่ตรวนที่พันอยู่รอบกาย ทว่ากลับถูกลูกศิษย์ของตนปฏิเสธเสียอย่างนั้น ซ้ำยังถูกห้ามมิให้ออกไปไหน ถูกบ่าวไพร่คอยจับตามองในเมื่อร้องขอก็แล้ว อ้อนวอนก็ทำไปแล้ว หรือแม้แต่ออกคำสั่ง สุดท้ายหลิวห้าวเหลียงก็มิยอมปลดปล่อยตนออกไป จ้าวเสี่ยวหมิงจึงนั่งนิ่งคิดอย่างใคร่ครวญอยู่หลายตลบ แล้วเอ่ยพึมพำออกมา “เจ้าเด็กเหลือขอพวกนี้เล่นพิเรนทร์อะไร มิรู้หรืออย่างไรว่าผลที่ตามมามันจะเป็นเช่นไร” เอ่ยเพียงแค่นั้นก็คว้าเอาเยวี่ยกวงขึ้นมาไว้ในมือ จากนั้นจึงหยัดกายลุกขึ้นยืนแล้วลอบออกไป ไปหาหลิวซูหยวน ผู้เป็นบิดาเจ้าของร่างนี้แทนเมื่อเข้าไปถึงเรือนของหลิวซูหยวน จ้าวเสี่ยวหมิงก็ไม่รอช้าที่เ

  • ข้านี่แหละจอมมาร (yaoi)   บทที่ 31 ตามติด

    รัชศกเสวียนหลีที่ 77 ปีวอกธาตุทอง ไป๋ลู่[1]กลางป่าอั้นฉิงรอยต่อระหว่างเขาหัวซานและที่ตั้งของสำนักหานเสียงเกือกม้ากระทบกับผืนดิน จ้าวเสี่ยวหมิงกุมบังเหียนม้าพ่วงพีตัวใหญ่ควบตะบึงติดตาม หยางหยุนเหลียง ที่ยังคงควบม้าอยู่ไม่ไกล แล้วร้องตะโกนออกมา “พี่หยางท่านหยุดบัดเดี๋ยวนี้รู้หรือไม่ว่าข้าตามหาท่านมานานเพียงใดแล้ว” ก่อนจะใช้ขาหนีบท้องม้า แล้วควบทะยานเข้าไปอย่างรวดเร็วหลายเดือนมานี้จ้าวเสี่ยวหมิงไล่ตามติดหยางหยุนเหลียงไม่หยุดหย่อน พอเข้าใกล้ตัวทีไร หยางหยุนเหลียงก็จะเตลิดหนีหายไปเสียทุกครั้ง ราวกับหลอกล่อให้วิ่งไล่จับ แต่พอใกล้ถึงตัวกลับหนีหายไปจ้าวเสี่ยวหมิงควบม้าพ่วงพีตัวใหญ่ เข้ามาในเขตป่าอั้นฉิง ตามหนทางราบเรียบราวกับมีคนมาถอนหญ้าคอยท่าไว้ ตามผืนดินเต็มไปด้วยเศษดินแห้งๆ แต่ทว่ากลับละเอียดราวกับเม็ดทราย แวดล้อมไปด้วยไม้ใหญ่นานาพรรณเขาควบม้าไล่ตามหยางหยุนเหลียงเข้ามาได้เพียงครู่เดียว ก็พบกับม้าสีขาวปลอดตัวหนึ่งถูกล่ามขวางหนทางไว้ จ้าวเสี่ยวหมิงจึงชะลอฝีเท้าม้าลง ก่อนจะกระโดดลงมาจากหลังม้าแต่รู้เสียที่ไหนว่าหยางหยุนเหลียงที่คอยจังหวะนี้ ใช้ดัชนีวายุร่อนระบำ ดีดลูกหินใส่หลังม้าของจ้

  • ข้านี่แหละจอมมาร (yaoi)   บทที่ 30 วิญญาณดวงสุดท้าย

    กล่าวมาถึงชิงเสี่ยวหม่าเมื่อต้องล่าถอยกลับมายังวังมาร ก็เจ็บหนักอยู่มิใช่น้อย จำต้องใช้เวลานอนพักรักษากายอยู่ราวสามวัน อาการจึงทุเลาลง และในวันนี้เมื่อร่างกายกลับมาเป็นปกติ เขาจึงนั่งมองคนโทเก็บวิญญาณที่ได้ไปรวบรวมวิญญาณของผู้บำเพ็ญตนในพิธีไล่ล่า ที่ตั้งอยู่อย่างสงบนิ่ง ภายในห้องสูบวิญญาณมาหลายวัน ด้วยแววตาเรียบเฉยทว่ากลับมีความพลุ่งพล่านร้อนรนอยู่ภายในด้วยเหตุที่ว่าชิงเสี่ยวหม่า มิอาจสูบวิญญาณเหล่านี้เข้าไปกายตนได้ เพราะต้องรอให้ได้ดวงวิญญาณดวงสุดท้ายที่ตนจักต้องไปไล่ล่ามาให้ครบเสียก่อนดวงวิญญาณที่มีเพียงสายเลือดบริสุทธิ์ของสกุลในตำนานเท่านั้นที่จะต้องเฟ้นหามา สายเลือดของสกุลหยางผู้มีสายปราณหยางวิ่งวนอยู่ภายในร่างกาย ดวงวิญญาณดวงสุดท้ายที่ตนจักต้องช่วงชิงมา และเวลาที่จักต้องดึงดวงวิญญาณนี้ออกมา คือในคืนวันเพ็ญเดือนแปดที่กำลังจะย่างกรายเข้ามาในอีกไม่ถึงหนึ่งขวบปีอีกทั้งยังมียังมีสิ่งที่ตนต้องตามหา นั่นคือหน้าสุดท้ายของคัมภีร์เดียรถีย์วิชาที่ขาดหายไป ไม่ว่าจะพลิกแผ่นดินหาเพียงใดก็ยังมิอาจพบเจอ เป็นสิ่งเดียวที่เขาจะต้องสืบเสาะให้ได้เสียก่อนพิธีกรรมการสูบดวงวิญญาณครั้งสุดท้ายจะเริ่มต

  • ข้านี่แหละจอมมาร (yaoi)   บทที่ 29 หยินหยางประสานกาย

    หยางหยุนเหลียงเหยียบเวหาก้าวทะยานไปยังทิศทางที่จ้าวเสี่ยวหมิงหนีไป นัยน์ตาสีดำสนิทกวาดมองไปมาจนทั่ว ภาพที่สะท้อนให้เห็นมีเพียงยอดไม้นานาพรรณ แผ่กิ่งก้านออกมาปกคลุมทั่วทั้งผืนป่าทว่าหากได้เพ่งมองดูอย่างถ้วนถี่ลึกลงไปถึงผืนแผ่นดิน ก็จะเห็นซากศพของนักพรตที่เพิ่งจะฝึกฝนระดับขั้นต้น ต้องมาสังเวยชีวิตให้กับเหล่าปีศาจจากวังมาร ทุกๆ ร่างต่างนอนแน่นิ่งไม่ไหวติ่งอย่างเดียวดาย มีเพียงผู้เหลือรอดค่อยๆ ออกตามหาร่างไร้ชีวิตของสหายตนเมื่อพบหนึ่งศพหยางหยุนเหลียงก็จุดพลุไฟบอกตำแหน่งเสียหนึ่งลูก ก่อนจะก้าวทะยานตามหาหลิวมู่เหยียนต่อไป เขาค้นหาทั้งผืนป่ากว้างใหญ่จนทั่ว แต่ก็ยังไม่เจอแม้เพียงเศษเส้นผมผ่านนานจนดวงตะวันคล้ายจะลาลับขอบฟ้า หิมะจึงค่อยๆ โปรยปรายลงมาอย่างบางเบา ในครานั้นเองสายตาของหยางหยุนเหลียงก็ไปสะดุดอยู่ตรงผาน้ำตก ที่มีไอเย็นแผ่ปกคลุมออกมา ด้วยเหตุที่เขาจำได้ว่าในยามเช้าตอนตนผ่านหนทางเส้นนี้มา น้ำตกสายนี้ยังไหลอย่างเอื่อยเฉื่อย มีไอความอบอุ่นคุกรุ่นอยู่ตลอดเวลา แม้จะเป็นยามช่วงต้นเหมันต์ฤดู ที่มีหิมะโปรยปรายลงมาปกคลุม ยังมิอาจแช่แข็งน้ำตกสายนี้ได้ทว่าในยามนี้กลับมีไอเย็นจัดแผ่ปกคลุมอยู่

  • ข้านี่แหละจอมมาร (yaoi)   บทที่ 28 ปะทะ

    หลังจากวันนั้นผ่านไปเพียงแค่สองวันหลิวเยี่ยเฟยก็มาขอเดินทางกลับไปยังสำนักหลิว เมื่อเห็นว่ามิมีส่วนใดเสียหาย หยางซิวอวี่ที่เพิ่งเดินทางกลับมา จึงอนุญาตให้กลับไปอย่างไร้ข้อกังขาใดๆ ด้วยความที่ว่าการบุกเข้ามาช่วงชิงกระบี่เยวี่ยกวงในวันนั้น มิมีผู้ใดปริปากบอกเจ้าสำนักหยางสักครึ่งคำ เมื่อหลิวเยี่ยเฟยเดินทางกลับไป วันเวลาก็ยังดำเนินต่อไปไม่มีหยุดพัก จากวันคือเปลี่ยนผันเป็นเดือน จากเดือนล่วงเลยเป็นแรมปี จ้าวเสี่ยวหมิงยังคงพำนักอยู่ที่สำนักหยางเจียนแห่งนี้ แม้จะมีผู้คนลอบเข้ามาแย่งชิงกระบี่ ก็จะถูกหยางซิวอวี่หรือหยางหยุนเหลียงไล่กลับไป โดยที่จ้าวเสี่ยวหมิงมิได้ออกแรงเสียเท่าไรจนกระทั่งสามปีพ้นผ่านไป ไร้ซึ่งผู้รุกรานใดๆ ย่างกรายเข้ามา แม้กระทั่งจอมมารฝูหมิงก็ยังมิยื่นมือเข้ามาช่วงชิงกระบี่คืนกลับไป ความสัมพันธ์ฉันท์สหายของหลิวมู่เหยียนและหยางหยุนเหลียงนั้นก็ยังคงดำเนินไปอย่างมิเป็นระเบียบ ดูคลายลิ้นกับฟันที่จะบังเอิญกระทบกันยามใด ย่อมมิอาจเลี่ยงการปะทะคารมเป็นครั้งคราวผ่านมาสามขวบปี ตบะฌานของหยางหยุนเหลียงก็ก้าวกระโดดไปไกลถึงระดับเจ็ด ไร้ซึ่งผู้ใดยากจะต่อกร ส่วนทางด้านจ้าวเสี่ยวหมิงนั้น ด

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status