เสียงฮือฮาดังขึ้นเมื่อหลันเยว่ซินพูดจบ มีเสียงหัวเราะเกิดขึ้นโดยรอบแม้แต่ท่านอ๋องและจงลี่เองก็อดขำไม่ได้ คำนี้ดูจะเหมาะกับชายคนนี้เสียจริง
หวังเสิ่นอี้ไม่พอใจและรู้สึกเสียหน้าอย่างมาก เขาเงื้อมือขึ้นมาจะตบนาง เยว่ซินเองก็เตรียมอาวุธลับในมือแล้วเช่นกัน แต่พอเขายกมือขึ้นมา ท่านอ๋องดึงปลอกดาบของจงลี่พุ่งไปที่มือของหวังเสิ่นอี้ แรงนั้นทำให้แขนเขาพลิกไปทันที
“โอ๊ย ใครลอบโจมตีข้า นี่เจ้า!! ฮึ้ย….”
หวังเสิ่นอี้กำหมัดแน่นและพุ่งเข้าใส่หลันเยว่ซินแต่นางหลบทันพร้อมกับใช้ขาขวางทางเขาเอาไว้พร้อมกับดึงสายเสื้อเขาออกมาและรัดคอเขาและดึงไปรอบๆถนนและฟาดไปที่ต้นไม้อีกฝั่งหนึ่งทันทีพร้อมความสะใจของผู้ที่พบเห็น
“ฝีมือไม่เลวนี่”
“นี่เจ้า…เจ้า”
“ทำไม คุณชายอยากจะลองอีกสักท่าหรือไม่”
“เจ้า…หากว่าเจ้าไม่ยั่วยวนข้า ข้าก็คงไม่ต้องทำเช่นนี้ เจ้ามันหญิงแพศยา”
“นี่เจ้า!!…..”
“ผลัก!!..”
หลันเยว่ซินไม่ทันได้ลงมือ ฝ่าเท้าท่านอ๋องพุ่งไปที่ใบหน้าของหวังเสิ่นอี้เต็มแรง ใบหน้าของเขาตอนนี้มีรอยเท้าของคนที่ส่งไปให้เต็มหน้า เลือดที่ออกจากทั้งปากและจมูกนั่นทำให้เขาสลบลงไปทันที
“ขอบ…”
“เขาพูดเรื่องจริงหรือไม่ที่แม่นางไปยั่วยวนเขาก่อน”
หลันเยว่ซินจำเสียงนั้นได้ในทันทีแม้ว่านางจะไม่ได้พบเขามานานกว่าสี่ปี นางยังคงก้มหน้าไม่เงยขึ้นจน จวินลู่หานเริ่มสงสัย
“แม่นาง เหตุใดเจ้าจึง….”
“ขอตัว”
“เดี๋ยว เดี๋ยวก่อนสิ”
“คุณหนู…”
“นี่เจ้า อย่าตามไป”
“แต่ว่า….คุณหนูหลัน...”
“หา เจ้าบอกว่า…นั่นคือคุณหนูหลันเยว่ซินงั้นหรือ คุณหนูกลับมาแล้ว นี่เจ้าจงรีบกลับจวนไปก่อน ไปบอกว่าอีกสักครู่ท่านอ๋องจะเสด็จกลับไปพร้อมกับคุณหนู”
“แต่ว่า....”
“มีข้าอยู่ ไม่ต้องห่วงหรอกน่า”
“เจ้าค่ะองครักษ์จง”
หลันเยว่ซินเดินหนีเขา แต่ท่านอ๋องก็ไม่ยอมลดละ เหตุใดนางจึงไร้มารยาทถึงเพียงนี้ เขาช่วยนางไว้แท้ๆ แต่นางกลับเดินหนีเขาและยังไม่แม้แต่จะทักทายด้วยซ้ำ
“รอก่อน เจ้าหยุดนะ”
หลันเยว่ซินยังไม่อยากเจอเขาในตอนนี้เพราะไม่คิดว่าเขาจะพบนางในรูปแบบนี้ นางวิ่งหนีไปทางลำธารที่ไร้ผู้คน คิดว่าเขาคงไม่ตามมาแล้ว แต่เปล่าเลย เขาดักนางไว้ที่ด้านหน้าจนนางเดินชนเขา
“นี่แม่นาง เจ้าจะไม่….”
“ปล่อยข้านะ…”
นางผลักเขาและซัดฝ่ามือใส่ แต่ท่านอ๋องมีหรือจะพลาด เขารับกระบวนท่านางได้ทุกท่า พวกเขาประมือกันที่ริมน้ำนั่นจนท่านอ๋องไม่อยากเล่นด้วยแล้วจึงได้รวบตัวนางและจับนางหันมา
“แม่นาง ข้าแค่ต้องการรู้ว่า…..”
เยว่ซินหันไปสบตาเขา พร้อมกับจวินอ๋องที่มองหน้านางชัดๆเช่นกัน นางที่เขาส่งออกจากตำหนักไปเมื่อสี่ปีก่อน บัดนี้นางกลับมายืนอยู่ตรงหน้าเขาอีกครั้ง และไม่คิดว่า…นางจะงดงามได้ถึงเพียงนี้
“เยว่…..เยว่ซิน เจ้าคือเยว่ซิน….เยว่ซินเจ้ากลับมาแล้วจริงๆ”
ด้วยความดีใจ เขาดึงนางไปกอดเต็มแรง หลันเยว่ซินที่ไม่เคยแตะเนื้อต้องตัวบุรุษใดมาก่อนถึงกับตกใจและทำตัวไม่ถูกเมื่อถูกท่านอ๋องดึงเข้าไปกอดอย่างกะทันหันเช่นนี้ หัวใจนางเริ่มเต้นผิดจังหวะ ใบหน้าเริ่มร้อนผ่าวเพราะคนที่กอดนางแน่น
“สะ…เสด็จอาเพคะ”
คำเอ่ยเรียกทำให้ท่านอ๋องตกใจไปชั่วขณะ เขาหุบยิ้มลงเล็กน้อยเมื่อปล่อยตัวนาง เขาดีใจจนลืมตัวว่าบัดนี้นางมิใช่เด็กสาวคนเดิมอีกแล้ว แต่เติบโตงดงามราวบุบผางดงามที่เขาเกินเอื้อมถึง
ความงามที่ไร้ที่ตินี้ทำให้เขาละสายตาจากนางไม่ได้ แม้ตอนนี้นางจะเริ่มถอยห่างจากตัวเขาแล้วก็ตาม
“หลันเยว่ซินถวายบังคมเสด็จอาเพคะ”
“เจ้าลุกขึ้นเถิด อย่าได้มากพิธี”
เขาก็ยังมิวายที่จะเข้าไปโอบกอดตัวนางขึ้นมา ร่างกายเขามันสั่งการโดยเขาไม่รู้ตัว ราวกับว่าคือสิ่งที่ต้องทำ
“ดูเจ้าสิ ห่างตาไปถึงสี่ปี นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะเติบโตจนข้า…จำเจ้าไม่ได้เสียแล้ว”
“เสด็จอาก็ดู……เป็นบุรุษหนุ่มที่ดูองอาจและน่าเกรงขามมากกว่าเดิมเพคะ”
“เจ้าก็ยังเป็นเช่นนี้อยู่ร่ำไป พูดเอาใจข้าได้เสมอว่าแต่เจ้ากับเจ้าหนุ่มนั่นมาพบกันได้อย่างไร”
“หม่อมฉันออกมาพร้อมกับสาวใช้เพื่อจะมาซื้อผักกาดไปทำเกี๊ยวให้พระองค์เพิ่มเพคะ นึกไม่ถึงเช่นกันว่าเมืองเฉินโจวจะมีอันธพาลเช่นคุณชายหวัง”
“เอาไว้ข้าจะจัดการเรื่องนี้ให้เจ้าเอง”
“ขอบพระทัยเพคะ เสด็จอาเหตุใดจึงได้มาที่ตลาดเช่นนี้ เหตุใดไม่กลับตำหนักเลยเล่าเพคะ”
“เดิมทีข้าจะเดินดูรอบๆเมืองเพื่อสำรวจเหตุการณ์หลังจากจบสงคราม แต่ดูแล้วคงห่วงเกินไป นอกจากนักเลงข้างถนนแล้วไม่มีสิ่งใดน่าห่วง แต่ก็นับว่าโชคดีที่มา ถึงได้พบว่าเจ้ากำลังถูกรังแก”
“หม่อมฉันนะหรือเพคะจะถูกรังแก หึ คนกระจอกเช่นนั้นหาทำอะไรหม่อมฉันได้ไม่”
“ข้าก็ลืมไปว่าเจ้าเป็นศิษย์เอกของสำนักป๋อเหวิน เก่งทั้งบุ๋นบู๊และยังเรียนเก่งเป็นอันดับหนึ่งของสำนัก”
เยว่ซินหันไปมองคนข้างๆที่พูดเรื่องพวกนี้ นางกับเขาไม่เคยติดต่อกันมาก่อนตลอดสี่ปีนี้ แต่เขากลับรู้ทุกความเคลื่อนไหวของนางที่สำนักศึกษา
“เสด็จอา เขียนจดหมายติดต่อกับอาจารย์หลิงสินะเพคะ”
“ข้า…..ข้าก็แค่….”
“รีบกลับเถิดเพคะ ทุกคนรอต้อนรับพระองค์อยู่ อย่ามัวเสียเวลาอยู่ตรงนี้เลย”
เยว่ซินเดินนำหน้าเขาออกไปจนเขาเริ่มตามนางไม่ทันและไม่เข้าใจว่านางโกรธเรื่องอะไร
“เยว่ซิน เจ้าโกรธอะไรข้างั้นหรือ”
“เปล่าเพคะ หม่อมฉันจะโกรธสิ่งใดได้ ต้องขอบพระทัยเสด็จอามากกว่าที่ส่งหม่อมฉันไปเรียนที่นั่นถึงสี่ปี หม่อมฉันได้เรียนรู้อะไรมากมายจริงๆ มากพอที่จะใช้ชีวิตด้วยตัวเองได้แล้วเพคะ”
ท่านอ๋องสะดุดตรงคำกล่าวของนาง นี่ไม่ใช่ว่านางพูดเช่นนี้เพราะอยากออกจากตำหนักของเขาใช่หรือไม่
“เยว่ซิน เจ้าพูดเช่นนี้….หมายความว่าอย่างไร”
“ไม่มีอะไรเพคะ หม่อมฉันเพียงแค่รู้สึกขอบพระทัยพระองค์มากเท่านั้น แม่นมเถียนก็อยู่อย่างสบายมีคนคอยดูแลเป็นอย่างดี หม่อมฉันต้องขอบพระทัยพระองค์ที่ทรงดูแลนางแทนหม่อมฉัน แต่หลังจากนี้…”
“หลังจากนี้เจ้าก็ต้องดูแลแม่นมเถียนให้ดีๆในตำหนัก เจ้ารู้หรือไม่ว่านางเริ่มชรามากแล้ว นางไม่คิดจะย้ายไปที่อื่นอีกแล้ว เจ้าคงไม่พานางไปลำบากที่อื่นหรอกใช่หรือไม่”
“แม่นม…ป่วยหรือเพคะ”
“ก็...ก็ใช่น่ะสิ เจ้าจากไปตั้งสี่ปี ไม่เคยลงเขามาเยี่ยม….นางเลย หรือเจ้าลืมไปแล้วว่านางมีเพียงเจ้าเพียงคนเดียว นางจะไปหาเจ้าก็ไม่ได้เพราะสภาพร่างกายที่ย่ำแย่และชรามากแล้ว แต่เจ้านี่สิ เป็นเด็กแท้ๆ แต่กลับไม่คิดจะมาเยี่ยม….นางเลยสักครั้ง หากว่าข้าเป็นนาง ก็คงคิดน้อยใจอยู่ไม่น้อย”
หลันเยว่ซินไม่ได้คิดเรื่องนี้มาก่อน แม้ว่าตอนที่กลับมาจะเห็นว่าแม่นมยังแข็งแรงดี แต่อายุที่เริ่มมากขึ้นก็คงจะเป็นอย่างที่ท่านอ๋องตรัสจริงๆ หากว่าจะต้องออกจากตำหนักอ๋อง นางคงต้องคิดให้ดีอีกหน่อย หากว่าแม่นมป่วยจริงๆ นางก็คงไม่ฝืนพาแม่นมไปกับนางด้วย
“เยว่ซิน เจ้าคิดสิ่งใดอยู่”
“เปล่าเพคะ”
“ว่าแต่ เจ้าบอกว่าเจ้าจะทำเกี๊ยวให้ข้ากินงั้นหรือ”
“ใช่เพคะ หม่อมฉันทำไว้แล้ว แต่คิดว่าอาจจะไม่มากพอ ก็เลยจะออกมาซื้อของไปทำเพิ่ม เลยพบกับคุณชายหวังเข้าเพคะ”
“เช่นนั้น ข้าจะได้กินเกี๊ยวฝีมือเจ้าหรือไม่ในวันนี้”
เมี่ยวเข่ออ้ายนิ่งไป นางรู้สึกตกใจราวกับว่าไม่ใช่เรื่องจริง ลี่หยางจินผู้นั้น คนที่เอาแต่พูดหลักการมากมาย บัณฑิตที่พูดแต่สิ่งที่นางไม่เข้าใจ บอกรักนางงั้นหรือ นางตกใจอีกครั้งเมื่อเขากระชับกอดเข้ามาพร้อมกับใบหน้าที่วางที่ไหล่ของนาง“เข่ออ้าย ข้ารักท่านจริงๆ เรื่องนี้มิได้โกหก แม้ว่าสิ่งที่ข้าพูดกับท่านก่อนหน้านี้จะร้ายกาจ แต่ที่พูดเรื่องเจ้ากับหย่งเล่อ เพราะว่าข้า…หึงเจ้า ไม่อยากให้เจ้าอยู่ใกล้กับบุรุษอื่น”เข่ออ้ายทำตัวไม่ถูก ลี่หยางจินผู้นั้น บัณฑิตน่ารำคาญนั่นบอกว่ากำลังหึงนางงั้นหรือ นี่เขาป่วยจนเพี้ยนไปแล้วใช่หรือไม่“นี่ท่าน เพ้อเพราะพิษไข้งั้นหรือ”“เรื่องที่ข้าป่วยเป็นเรื่องโกหก แต่เรื่องความรู้สึกของข้าเป็นความจริง เจ้าอย่าผลักใสข้าอีกเลยนะเข่ออ้าย”“นี่พวกท่าน…รวมหัวกันหลอกข้างั้นหรือ”“มันจำเป็น หากว่าครั้งนี้ไม่อาจคุยกับเจ้า ข้าก็ไม่มีโอกาสแล้ว ดังนั้น…”“ดังนั้นพวกท่านจึงใช้เรื่องนี้มาล้อเล่นกับความรู้สึกข้า มาหลอกข้า ท่านมัน…อุ๊บ…อื้มมม”ลี่หยางจินผลักนางลงที่เตียงและจูบนางทันทีเพื่อให้นางหยุดโมโห หากว่าเขาปล่อยนางไป ให้พบนางอีกครั้งคงยากแล้ว แผนแรกพูดไปแล้ว เหลือแค่แผนที
วังหลวงแคว้นฮั่วซู“องค์หญิง เอ่อ…กระหม่อม…”ลี่หยางจินเดินตามเมี่ยวเข่ออ้ายเมื่อเขาเดินออกมาจากห้องทรงงานของฝ่าบาทและจะเดินกลับไปยังตำหนัก ตั้งแต่ที่ทุ่งหญ้าเมื่อวานนี้พอกลับมาที่วังหลวง พวกเขาก็ไม่พบนางอีกเลย….“ท่านทูตเจ้าคะ องค์หญิงให้ข้าน้อยเรียนว่าวันนี้นางไม่ค่อยสบาย จึงไม่อยากรับแขกเจ้าค่ะ ขอเชิญท่านทูตกลับไปก่อนเถิดเจ้าค่ะ”“แต่ว่า…”“พี่ใหญ่ ท่านไปหาเข่ออ้ายมาอีกแล้วงั้นหรือ เหตุใดจึงไม่รอทำตามแผนการของข้าก่อนเล่าเจ้าคะ”“แต่เวลาอีกแค่สองวัน ข้าเกรงว่านางจะไม่ให้โอกาสข้าอีกแล้ว”“เฮ้อ….เช่นนี้แผนของพวกข้าก็ล่มหมดสิเจ้าคะ”“แผน แผนอันใดกัน”“เช่นนี้นะเพคะ…..”ตำหนักองค์หญิง“พี่เยว่ซิน พี่หลานเฟิน พวกท่านมาแล้ว”“เข่ออ้าย เหตุใดเจ้าดูซูบเช่นนี้เล่า เจ้า…อดอาหารงั้นหรือ”“เปล่าเจ้าค่ะพี่เยว่ซิน ข้าเพียงแต่….”“อดนอน…นี่เข่ออ้าย เจ้าจะป่วยอีกคนไม่ได้นะ ให้พี่จอมอ่อนแอของข้าป่วยแค่คนเดียวก็พอ อุ่ย…”“หลานเฟิน ไหนเจ้ารับปากพี่ลี่แล้วอย่างไรว่าจะไม่…”เข่ออ้ายตกใจเมื่อได้ยินว่าลี่หยางจินล้มป่วย“เกิดสิ่งใดขึ้น พี่หยางจินป่วยงั้นหรือ เหตุใดไม่เห็นมีผู้ใดมาแจ้งข้าเลย”"เข่ออ้ายเจ้าใ
ลี่หยางจินยืนเฝ้ามองที่ทุ่งหญ้าว่างเปล่านั้นเป็นเวลาเกือบสองเค่อ เมื่อมองออกไปอีกทีก็เห็นว่าองค์หญิงขี่ม้ากลับมาพร้อมกับม้าอีกตัว น่าจะเป็นม้าของฟู่หย่งเล่อ แต่ไม่เห็นอีกสองคน “องค์หญิง แล้ว…”“ไม่พบ แต่ไม่ต้องห่วง พี่ฟู่ไม่หลงทางหรอก”“แต่ว่าหย่งเล่อไม่เคยมาที่นี่”“ข้าพาเขามาขี่ม้าสำรวจเมื่อวันก่อน เขาบอกว่าจะมาหาที่ให้พี่หลานเฟินหัดขี่ม้า”“องค์หญิงเสด็จมากับเขาตามลำพังงั้นหรือ!!”เข่ออ้ายหันไปมองเขาอย่างนึกตกใจ เมื่อนางลงจากม้าและดื่มน้ำพักเหนื่อย เขาเดินตรงมาถามนางอย่างใคร่รู้จนนางเริ่มตกใจ“ท่านเป็นอะไรไป ข้าก็แค่พาเขามาสำรวจทุ่งหญ้าเท่านั้น”“แต่ชายหญิงห้ามอยู่ด้วยกันตามลำพัง เหตุใดท่าน…อย่าว่าแต่อยู่ด้วยกันเลย นี่ท่านกล้าพาเขาออกมาสองต่อสองในที่เช่นนี้ เหตุใดท่านจึงไม่ทำตัวเหมือนสตรี….”“พอที!!”“เลิกเอาข้าไปเปรียบเทียบกับสตรีในดวงใจของท่าน ข้าก็เป็นคนเช่นนี้อยู่แล้ว และเรื่องที่ข้าจะไปไหนกับผู้ใดก็มิใช่กงการอะไรของท่าน ขอตัวก่อน”“เดี๋ยว องค์หญิง เหตุใดท่านออกมากับคุณชายฟู่ กระหม่อมจึงไม่ทราบเรื่องนี้”เขาเอื้อมมือไปจับนางไว้พร้อมกับดึงเข้ามาถาม เมี่ยวเข่ออ้ายตกใจเมื่อเขาดึง
ฟู่หย่งเล่อและหลานเฟินกลับมายังที่พักม้า เข่ออ้ายและหยางจินรอพวกเขาอยู่ที่นั่น องค์หญิงนั้นนั่งอยู่ห่างจากหยางจินคนละทางเมื่อสาวใช้ตะโกนบอกว่าพวกเขามาถึงแล้ว“องค์หญิงเพคะ แม่นางกับท่านรองแม่ทัพมาถึงแล้วเพคะ”เข่ออ้ายรีบวิ่งไปที่ม้าของหย่งเล่อเพื่อรอพวกเขา หยางจินที่ยืนมองนางอยู่กำลังจะพูด แต่เข่ออ้ายหันมามองเขาและเดินเลี่ยงไปอีกฝั่งของม้าเมื่อหลานเฟินถูกอุ้มลงมาจากหลังม้าแต่นางเหมือนกับเดินไม่ไหวจนหย่งเล่อตัดสินใจอุ้มนางเดินมาหาพวกเขา“พี่หลานเฟิน เหตุใดเป็นเช่นนี้เกิดอะไรขึ้น!!”“เข่ออ้าย คือว่าข้า…”หลานเฟินนั้นไม่กล้าตอบ ใครจะกล้าพูดว่าฟู่หย่งเล่อรังแกนางจนนางเดินไม่ไหวจนเขาต้องอุ้มนางนั่งม้ามาด้วยกันเช่นนี้ แต่ฟู่หย่งเล่อนั้นเก็บอาการได้ดีกว่านางมากนัก เขาเป็นผู้เอ่ยขึ้นมา“นางตกม้าน่ะ ข้าไปช่วยเอาไว้ทันแต่ขานางยังเจ็บอยู่ ช้าไปมากเพราะมัวแต่เรียกและตามหาม้าอยู่” (ม้าบอกโบ้ยความผิดมาที่ตรูเฉยเลย พวกเอ็งนั่นแหละ)“เช่นนั้น ท่านไปนั่งรถม้าดีหรือไม่”“ดีเหมือนกัน”“ไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง หลานเฟินอยากจะขี่ม้า ให้กระหม่อมนั่งไปกับนางจะได้ช่วยสอนไปด้วย ไม่ต้องห่วงนะพี่ลี่”“เอ่อ น้
หลานเฟินมองเขาที่ถูกนางนอนทับอยู่จึงได้จะลุกขึ้นแต่เขาดึงนางเข้ามาพร้อมกับประกบปากจูบอย่างรวดเร็วและผลักนางลงไปอยู่ด้านล่างแทนสายคาดเอวถูกปลดออกไปจนได้ด้วยมือเขาที่ดึงออกมา มือหนาเริ่มรุกล้ำไปที่ด้านในปกเสื้อผ่านชั้นในเข้าไป นางรู้ว่ามือเขาสั่นน้อยๆเมื่อสัมผัสถูกยอดปทุมด้านในนั้น“พี่หย่งเล่อ ท่าน…ตื่นเต้นหรือเจ้าคะ”“ข้า…อยากเห็นข้างใน เจ้า..จะอนุญาตหรือไม่”“เจ้าค่ะ ตัวข้า ใจข้าเป็นของท่านทั้งหมด ในเมื่อตกลงแล้วข้าย่อมยินยอม”“หลานเฟินเจ้าพูดเช่นนี้รู้หรือไม่ว่ามันหมายความว่าเช่นไร”“ข้าเองก็อยากเห็นเช่นกันว่าในตอนนี้แผงอกกว้างของท่านยังเหมือนเดิมเหมือนครั้งที่อยู่ที่สำนักศึกษาหรือไม่”มือเรียวบางนั้นเอื้อมไปปลดเข็มขัดของเขาออกเช่นกัน ฟู่หย่งเล่อรู้งานทันที เขาถอดชุดคลุมด้านนอกออกและปูรองเอาไว้ที่พื้นและพาหลานเฟินไปนอนที่ชุดคลุมของเขาลิ้นที่ยังพัวพันกันไม่หยุดและเริ่มถอดชุดของนางออก เขาเริ่มเห็นเนินอกขาวเนียนนั้นแต่เขาอยากเห็นมากกว่านั้นเมื่อหลานเฟินเริ่มครางอย่างพอใจ“หลานเฟิน เจ้างามจริงๆ”ปากของเข้าเปลี่ยนมาครอบครองหน้าอกขาวตรงหน้าทันที ช่างพอเหมาะพอดีมือของเขาเสียยิ่งนัก เสียง
ทุ่งหญ้าแคว้นฮั่วซู“เบาๆหน่อย เจ้าอย่าดึงบังเหียนแรงเกินไปหลานเฟิน หากมันเจ็บมันจะดีดเจ้าเอา”“ข้ารู้ๆ อย่าพูดมากนัก ข้าตื่นเต้นจนลนลานไปหมดแล้ว”“เจ้าอย่าเกร็งจนหลังตรงเช่นนั้นปล่อยตัวตามสบาย”“หากท่านพูดอีกอีกคำเดียวนะฟู่หย่งเล่อ ข้าจะ ว๊าย…”“หลานเฟิน!! จับให้แน่นๆ”ม้าที่นางขี่เกิดตกใจเมื่อลี่หลานเฟินเผลอใช้เท้ากระแทกไปที่ลำตัวมันเพราะโมโหฟู่หย่งเล่อ มันจึงพานางวิ่งไปยังทุ่งหญ้ากว้างด้านล่าง ตัวนางเอนไปมาเพราะยังทรงตัวไม่ได้ ฟู่หย่งเล่อเร่งความเร็วม้าของเขาตามนางไป“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย!!”“ข้ามาแล้ว เจ้าอยู่นิ่งๆ จับให้แน่นๆนะ”“พี่หย่งเล่อ ช่วยข้าด้วย มัน…มันวิ่งไม่หยุดเลยข้ากลัว”“เจ้าอย่าตะโกนมันจะตกใจข้ามาแล้ว”ฟู่หย่งเล่อเร่งความเร็วม้าและขี่เข้าไปใกล้ม้าพร้อมกับกระโดดไปที่ม้าตัวที่นางนั่งอยู่ เขาซ้อนตัวอยู่ด้านหลังของนางและเริ่มคุมบังเหียนม้าให้นิ่ง ใช้เวลาไม่นานมันก็ค่อยๆสงบลงและลดความเร็วลง “จับดีๆ ค่อยๆลุกขึ้นมาสิเจ้าปลอดภัยแล้ว”“ข้า…ข้าอยากลง”“หากเจ้ากลัวมัน เจ้าก็จะขี่มันไม่ได้ เจ้าลองลืมตาดูสิ”“ข้ากลัว ไม่เอา”นางลุกขึ้นได้ก็หันเข้าซบอกของเขาทันที ฟู่หย่งเล่อนั้นเร
สิบวันถัดมาพิธีอภิเษกท่านอ๋องและหลันเยว่ซินถูกจัดขึ้นหลังจากที่จัดการเรื่องกบฏซ่งเสวียนและลงโทษขุนนางที่เป็นผู้ร่วมมือซึ่งถูกจับมาได้หมด ทั้งหมดให้การรับสารภาพ แต่ก็ถูกปลดยศขุนนางและลงโทษเนรเทศออกจากเฉินโจว“พระชายาช่างงดงามยิ่งนัก”“ข้าเคยพบนางครั้งที่มาเดินตลาด ครั้งนั้นยังจ้องมองอยู่เลยแต่มิกล้าถามว่าเป็นบุตรสาวจวนใด ทั้งหน้าตาและผิวพรรณช่างแตกต่างกับชาวบ้านธรรมดาเหลือเกิน”“ช่างเหมาะสมกับท่านอ๋องยิ่งนัก”หลังพิธีอภิเษกที่ถูกจัดขึ้นที่ท้องพระโรงแล้ว ท่านอ๋องและพระชายาก็เดินออกมาพบปะกับประชาชนที่ระเบียงชั้นสามของวังหน้า ทั้งคู่ในชุดอภิเษกสีแดงสดยืนโบกมือให้กับประชาชนด้านล่าง“พระชายา วันนี้เจ้าเหนื่อยหรือไม่”“ไม่เพคะ เพียงแค่รอยยิ้มของทุกคนด้านล่างนั้นก็คุ้มค่าเพียงพอแล้วเพคะ”“ไปกันเถอะ เราต้องไปไหว้บรรพบุรุษและทำพิธีจารึกนามของพระชายาอีก”“เพคะ”ภารกิจหลายอย่างทั้งพิธีกราบไหว้ฟ้าดิน แต่งตั้งพระชายาและจารึกชื่อในศาลบรรพชนสกุลจวินอ๋องผ่านไปด้วยดี จนเมื่อถึงเวลาส่งตัวเข้าห้องส่งตัวห้องส่งตัว“หลันเยว่ซิน ในที่สุดข้าก็ทิ้งฐานะเสด็จอาได้อย่างหมดสิ้นในวันนี้เอง”“ไม่คิดว่าพระองค์จะอย
จวินลู่หานถามชุนถง สาวใช้คนสนิทของเยว่ซินเมื่อเห็นนางเดินออกมาจากห้องของเยว่ซิน“ทูลท่านอ๋อง คุณหนูไปอาบน้ำเพคะ”“อ่อ งั้นหรือ เข้าใจแล้วเจ้าไปเถอะ”“เพคะ”เขาเดินตามเยว่ซินเข้าไปในห้องอาบน้ำทันที เมื่อเข้ามาก็เห็นว่านางนั่งพิงของสระอยู่ เขาจึงได้ค่อยๆเดินลงไปแช่น้ำกับนางทันที เมื่อลงไปแล้ว นางกลับไม่มีท่าทีตกใจหรือกล่าวว่าเขา อันที่จริง นางไม่พูดเลยต่างหาก“เยว่ซิน …เจ้ามาอาบน้ำนานแล้วงั้นหรือ”“…..”เยว่ซินมิได้ตอบเขานางหันข้างให้ท่านอ๋องเล็กน้อยแต่มิได้หนีไปที่ใด เขาจึงเดินไปอีกทางเพื่อดักนางเอาไว้“เยว่ซิน เหตุใดไม่ตอบข้า เจ้ายังโกรธข้าอยู่งั้นหรือ”นางเดินและเตรียมจะขึ้นเมื่อเขาดึงแขนนางเอาไว้ได้ทัน“เดี๋ยวสิอย่าพึ่งไป เจ้า….หากว่าเจ้าโกรธข้าจะด่าข้าก็ได้ หรือตีข้าก็ได้ แต่อย่าเดินหนีแล้วไม่คุยกับข้าเช่นนี้”หลันเยว่ซินหันไปมองท่านอ๋องแวบนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงที่เรียบไร้ความรู้สึก“รีบอาบแล้วตามขึ้นมา”“เยว่ซิน…”นางสลัดมือเขาออกและเดินขึ้นไปสวมเสื้อคลุมและเดินออกไปทันที ทิ้งให้ท่านอ๋องที่เริ่มทำตัวไม่ถูกกับท่าทีที่เย็นชานั้น เขาไม่เคยง้อสตรีที่มีอาการเช่นนี้ เขาไม่รู้ว่าต
มีดปลายแหลมซึ่งเป็นอาวุธลับของแคว้นอวิ๋น ทำจากทองคำขาวบริสุทธิ์ ซึ่งอาวุธนี้มีเพียงคนของแคว้นอวิ๋นเท่านั้นที่มีใช้เพราะพวกเขาทำขึ้นมาเอง ทั้งร้ายแรงและคมดุจกระบี่และยังอาบยาพิษร้ายแรงอีกด้วย ซ่งเหมยลี่พุ่งตัวเข้าไปบังท่านอ๋องไว้ พร้อมกับมีดสั้นสีเงินด้านหลังที่พึ่งปักไปที่กลางหลังของซ่งเสวียน“เยว่ซิน!!”“แม่นางซ่ง!!”ซ่งเหมยลี่ใช้ตัวบังท่านอ๋องไว้ ครานี้นางได้ปกป้องชีวิตของเขาเอาไว้ตามแผนการที่บิดานางวางไว้เสียทีในที่สุด แต่อาวุธที่ปักที่อกของนางกลับเป็นมีดที่พ่อนางซัดใส่เองกับมือ“เหมย…เหมยลี่ ทำไม!!”ร่างของนางล้มลงพร้อมกับบาดแผลจากเลือดสีแดงสด เปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำเพราะยาพิษที่อาบเอาไว้ที่มีด ท่านอ๋องรับซ่งเหมยลี่เอาไว้ในอ้อมแขน ซ่งเสวียนถูกฟู่หย่งเล่อจับตัวเอาไว้ แต่เขาเองก็กำลังหายใจรวยรินอยู่เช่นกันเพราะมีดของหลันเยว่ซินที่พุ่งมาปักกลางหลังของเขา“ท่านฆ่าพ่อข้าสินะ ข้าจะไม่กลายเป็นคนบ้านแตก หากมิใช่การกระทำของท่านในครั้งนั้น วันนี้ยังกล้าลอบสังหารท่านอ๋อง ท่านคิดว่าข้าจะยอมปล่อยให้ท่านทำเช่นนั้นหรือ!!”“ฮ่าๆ ฮ่าๆๆ นึกไม่ถึง….ว่าข้าจะถูกบุตรของศัตรูฆ่าเอาได้ เดิมทีคิดว่าจะตายเพร