“หนี่ว์เอ๋อร์ เจ้าอย่าได้ลืมสิ ว่าสหายของเจ้าในภายหน้านางจะต้องขึ้นเป็นฮองเฮา นางจะมีข่าวลือเสียหายไม่ได้แม้เจ้าจะเป็นสหายที่สนิทสนมกันก็ตามอย่างไรก็ควรรักษาระยะห่าง”
“แต่ข้ากับนางบริสุทธิ์ใจต่อกันเหตุใดต้องหวาดกลัวเสียงเล่าลือของผู้อื่นด้วยเจ้าคะ ข้าไม่สนหรอกเจ้าค่ะใครจะเอาข้าไปเล่าลืออย่างไร”
‘หนี่ว์เอ๋อร์ เจ้าบริสุทธิ์ใจ แต่สตรีผู้นั้นไม่ได้บริสุทธิ์ใจเช่นที่เจ้าคิดน่ะสิ’ แม้จะอยากกล่าวไปแต่ชินอ๋องซื่อจื่อก็เลือกที่จะเงียบ
“ข่าวลือก็เป็นแค่ข่าวลือ ไม่ใช่เรื่องจริงเสียหน่อย”
“แล้วเหตุใดพอเป็นเรื่องพี่ เจ้าถึงเชื่อสนิทใจว่าพี่เป็นคนรักของสตรีผู้นั้น”
‘นี่เขากำลังยอกย้อนข้า’
“เจ้าก็เห็นแล้วไม่ใช่หรือว่าคำเล่าลือทำให้เจ้ามองพี่ผิดไปมากเช่นไร แล้วคราวนี้เจ้าจะยังดื้อรั้นไม่สนใจข่าวลือเรื่องเจ้ากับสหายเรื่องที่เป็นหมัวจิ้งอยู่หรือไม่”
‘ต่อล้อต่อเถียงเก่งเหลือเกินบุรุษผู้นี้’ นางค่อนขอดอยู่ในใจก่อนจะรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา
เมื่อใดกันนะที่นางกับตัวซวยผู้นี้สนทนากันได้อย่างลื่นไหลเช่นนี้ คล้ายกับความอยากหลีกหนีลดลงหลังจากได้พูดคุยรู้จักกันมากขึ้น
หลังจากจบบทสนทนาไม่นาน รถม้าจวนชินอ๋องก็หยุดวิ่งพร้อมกับเสียงบอกกล่าวว่าถึงจวนจางแล้ว คุณหนูจางจึงลุกขึ้นเพื่อจะลงจากรถม้าแต่กลับถูกฉุดรั้งข้อมือจากบุรุษรูปงาม เนื่องจากไม่ทันตั้งตัวร่างบอบบางจึงเซถลาไปตามแรงดึงเข้าหาอกแกร่งอย่างตั้งใจ
มุมปากหยักยกยิ้มเล็กน้อยเมื่อได้กลิ่นหอมจากกายนุ่มนิ่ม นัยน์ตาดำวาววับเปล่งประกาย ใบหน้าหล่อไร้ที่ติก้มลงเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยปากที่ข้างหูสตรีตัวน้อยที่ทำท่าจะดิ้นรนไม่อยู่นิ่ง
“ท่านคิดจะทำอันใด ปล่อยข้านะเจ้าคะ” ชินอ๋องซื่อจื่อผู้ถ้อยทีถ้อยอาศัยคนเมื่อครู่หายไปไหนเสียแล้ว
“เจ้าดิ้นเช่นนี้ ทำให้รถม้าโยกไหวไปมาช่างชวนให้คนที่ผ่านไปมาคิดไม่ดีเอาเสียเลย” เขากล่าว ปลายจมูกและริมฝีปากเฉียดผ่านดวงหน้าหวานไปมายามนางดิ้น
“ท่าน! ก็ปล่อยข้าสิเจ้าคะ” นางหยุดดิ้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นจ้องมองเขาด้วยสายตาวาววับด้วยโทสะ
“สนทนากันนานสองนาน เจ้าเข้าใจแล้วใช่หรือไม่ว่าข่าวลือพวกนั้นเป็นแค่เรื่องเหลวไหล พี่ไม่ได้พึงใจสตรีคนใดทั้งนั้น”
“เจ้าค่ะ” อะไรกันอยากพูดเรื่องนี้เองหรอกหรือ
"เช่นนั้นต่อจากนี้พี่หวังว่าจะไม่ได้ยินหรือเห็นเจ้าทำตัวเป็นผู้เฒ่าจันทราพยายามผูกด้ายแดงให้พี่กับคุณหนูสวี่หรือสตรีอื่น” ใบหน้าไร้ที่ติเคลื่อนเข้ามาใกล้มากขึ้นจนปลายจมูกเขาสัมผัสกับแก้มเนียน เสียงกระซิบและลมหายใจที่เป่ารดหูนางนอกจากจะทำให้นางขนลุกแล้ว ยังทำให้ดวงหน้าหวานแดงก่ำลามไปจนถึงใบหู
‘เขาพึงใจข้าหรืออย่างไร เหตุใดถึงกินเต้าหู้ข้ามากเช่นนี้’ แต่จะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไรในเมื่อนางเพิ่งได้เจอเขาเพียงไม่กี่ครั้ง ก่อนหน้านี้ก็หลบเลี่ยงมาโดยตลอดไม่เคยใกล้ชิด แล้วจะเอาอันใดมาพึงใจนาง
“ว่าอย่างไร เข้าใจที่พี่บอกหรือไม่”
“ขะ เข้าใจเจ้าค่ะ”
“แล้วเรื่องที่พี่เตือนเจ้าว่าต่อจากนี้ให้รักษาระยะห่างจากคุณหนูเจิ้งเล่า”
“เข้าใจเจ้าค่ะ” เรื่องแรกนั้นเข้าใจชัดเจน แต่เรื่องหลังนางขอรับปากส่งๆ ไปได้หรือไม่ เพราะความสนิทสนมระหว่างสหายมันไม่ได้เสียหายอันใดนี่ หรือว่าแท้จริงแล้วเป็นองค์รัชทายาทหวงแหนคู่หมาย จนแม้แต่สตรีก็ไม่อยากให้ใกล้
จะเป็นบุรุษคลั่งรักมากเกินไปหรือไม่...
“ช่วงนี้ใกล้ปักปิ่นแล้วอย่าได้ออกไปเที่ยวเล่นซุกซนที่ไหน”
“เจ้าค่ะ” สั่งนางยิ่งกว่าพี่ใหญ่
“เช่นนั้นเอาไว้เจอกัน” กล่าวจบเขาก็คลายอ้อมกอดด้วยความเสียดาย
“ข้าลาล่ะเจ้าค่ะ” สตรีตัวน้อยรีบร้อนลงจากรถม้าไปทันทีที่เขาปล่อยมือ นางรีบสาวเท้าเดินเข้าจวนอย่างรวดเร็วและไม่คิดหันกลับไปมองตัวซวย ที่ต่อจากนี้นางจะเรียกเขาว่าตัวอันตรายแทน
อันตรายต่อนางไม่พอยังอันตรายต่อหัวใจนางด้วย หลีกหนีมาตั้งหลายปี จะให้สูญเปล่าภายในวันเดียวไม่ได้
“แมวป่าดื้อรั้นอย่างเจ้า น่าจับไปวิ่งเล่นในตำหนักอ๋องเสียจริง” รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้าไร้ที่ติ บุรุษรูปงามทอดสายตาอ่อนโยนมองตามสตรีตัวน้อยที่รีบวิ่งเข้าจวนอย่างไม่คิดรักษากิริยา หรือเขาอาจจะเปิดเผยมากเกินไปนางถึงได้ดูตื่นตกใจเช่นนั้น
การแต่งฮูหยินที่เร่งรีบของท่านราชครู มีคนมากมายที่อาจจะสงสัยว่าเหตุใดท่านราชครูจางเหว่ยถึงได้เร่งรีบตบแต่งเถ้าแก่เนี้ยร้านขายภาพวาดซือซือเข้าจวนจาง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีข่าวลือว่าคบหากัน หรืออาจจะเป็นเพราะได้เห็นบทเรียนจากการเล่าลือเรื่องของคุณหนูสวี่ ที่จู่ๆ คนเหล่านั้นบังเอิญลิ้นขาดกลายเป็นคนพูดไม่ได้ แต่โชคดีหนึ่งในนั้นมีคนเขียนอักษรได้ จึงได้เขียนเตือนคนรอบตัวไม่ให้เล่าลือเรื่องราวเกี่ยวกับเชื้อพระวงศ์หรือตระกูลที่ใกล้ชิดราชวงศ์ สุดท้ายจึงไม่มีใครกล้าเล่าลือหรือสงสัยถึงความเร่งรีบของท่านราชครู “พี่เหว่ย ท่านจะไม่เสียใจทีหลังห
ฮองเฮาพบปะสหาย ภายในจวนท่านราชเลขาฯจาง วุ่นวายไม่น้อยเมื่อมีผู้สูงศักดิ์มาเยือนโดยได้นัดหมายกันล่วงหน้า “ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ” ชินอ๋องที่เพิ่งลงจากรถม้าแสดงความเคารพโอรสสวรรค์และฮองเฮา “ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ” พระชายาสกุลจางที่ลงรถม้ามาภายหลังทำความเคารพอีกฝ่ายเช่นกัน “ตามสบายเถิด พวกเจ้าเป็นสหายของเราใช้คำธรรมดาสามัญเถิด”
“เจ้าโอบอุ้มบุตรชายของเราให้แน่นๆ ส่วนเจ้าพี่จะจับให้แน่นๆ เอง” กล่าวจบเขาก็ใช้วิชาตัวเบาโอบอุ้มพานางและบุตรชายกลับตำหนัก ทันทีที่ถึงตำหนักโจวหลี่หมิงถูกส่งตัวให้ซานจี สาวใช้ประจำตัวคนใหม่ของนางที่ทางพระสวามีหามาให้ แน่นอนว่านางมิใช่สาวใช้ธรรมดา เพราะสตรีผู้นี้คือองครักษ์เงาที่ถูกฝึกมาอย่างหนักเพื่อดูแลดวงใจของท่านอ๋อง “นำไปซื่อจื่อไปมอบให้แม่นมแล้วเจ้าไปพัก ข้าจะดูแลพระชายาเอง” บุรุษที่ชื่นชอบการปรนนิบัติฮูหยินกล่าว “แงๆ” แม้จะดีดดิ้นเพียงใด แต่บุตรชายมีหรือจะต่อต้านบิดาได้ “ท่านพี่ หากลูกไม่อยากไป...” ไม่มีมาร
เรื่องเล่าหลังเป็นพระชายาของชิงหนี่ว์ ดวงตาเมล็ดซิ่งทอดมองผืนดินที่เขียวชอุ่มไปด้วยพืชผัก ที่ดินผืนนี้นางใช้เงินที่ได้จากการวาดภาพขายมาซื้อเก็บไว้ เพื่อสร้างรายได้ให้กับบ่าวรับใช้ผู้ภักดีทั้งสอง ก่อนหน้าที่นางจะแต่งเข้าตำหนักอ๋องไม่นาน นางก็จัดการให้จื่อรั่วและจื่อเป่าที่ความสัมพันธ์คืบหน้าไปอย่างรวดเร็วได้เข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินกันก่อนจะคืนสัญญาทาสแล้วให้ทั้งสองคนย้ายมาปลูกจวนอยู่บนที่ผืนนี้ “พระชายาท่านนั่งพักดื่มน้ำก่อนเถิดเพคะ รอแดดร่มลมตกค่อยออกไปเดินดูด้านนอก”&
“เช่นนั้นก่อนจะลงโทษน้อง ท่านพี่กินข้าวก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ” “มิต้อง” กล่าวจบเขาก็รั้งนางเข้าไปแนบชิด มือใหญ่จับยึดคางเรียวเอาไว้ริมฝีปากร้อนกดลงบนกลีบปากบาง ลิ้นร้อนบุกรุกโพรงปากนางอย่างเอาแต่ใจ ในขณะที่มือช่วยปลดเปลื้องอาภรณ์ให้นางอย่างรวดเร็ว ช่างใจร้อนเสียจริง... ดวงหน้าหวานแดงก่ำด้วยความเขินอาย เมื่อพระสวามีของตนที่เพิ่งถอนจุมพิตเร่าร้อนเมื่อครู่ จับจ้องนางราวกับหมาป่าหิวกระหาย “น้องหญิงของพี่เลิศรสกว่าอาหารใดๆ” กล่าวจบเขาก็ช้อนเรือนร่างเปลือยเปล่าเข้าหลังฉากกั้น ว่ากันว่าฮองเฮาชื่นชอบการแช่น้ำร้อน ภายในตำหนักจึงมีบ่อน้ำร้อนขนาดใหญ่อยู่ติดห้องบรรทม 
ฮ่องเต้ผู้เด็ดขาดกับฮองเฮา (แค่บนเตียง) นัยน์ตาดำของบุรุษสูงศักดิ์จับจ้องใบหน้าของสตรีที่ตนรักอย่างไม่ละสายตา มือใหญ่ช่วยคีบอาหารใส่ชามให้นางอย่างเอาใจ “ท่านพี่กินบ้างเถิดเจ้าค่ะ อย่ามัวแต่คีบให้ข้าเลยเจ้าค่ะ” แม้ยามนี้ทั้งสอ