บทที่ 2
ของเดิมพันมีชีวิต
“ที่ท่านหมอกล่าวมาจริงหรือไม่ อนุเจ็ดช่างน่าสงสารนัก” น้ำเสียงกลั้วหัวเราะดังขึ้นมาจากฮูหยินใหญ่แห่งจวนตระกูลอู๋
นางคือลู่เหมยฮวาผู้กุมอำนาจของเรือนหลังทั้งหมด ใบหน้าที่งดงามเย้ายวนนี้กลับซ่อนความร้ายกาจเอาไว้มากมาย ไม่ว่าสตรีนางใดของสามีล้วนแต่ต้องเกรงกลัวนางทั้งสิ้น ล้วนเป็นเพราะอำนาจของตระกูลลู่ที่หนุนหลังนาง และความเจ้าแผนการของลู่เหมยฮวาด้วย
“ขอรับ ช่างน่าสงสารอนุเจ็ดนัก บาดแผลของนางพุพองเป็นอย่างมาก ข้าน้อยจ่ายยาช่วยลดอาการอักเสบแล้ว ช่วงนี้อนุเจ็ดจึงต้องเก็บตัวอยู่แต่ในเรือน ไม่รู้ว่าหากแผลหายดีแล้วจะทิ้งรอยแผลเป็นหรือไม่”
ท่านหมอก้มหน้าเอ่ยตอบด้วยความนอบน้อม หากความจริงถูกเปิดเผยว่าใบหน้าอนุเจ็ดไม่มีรอยแผลเป็นก็จะมาโทษเขาไม่ได้ เพราะเขาเองก็ไม่ได้บอกว่านางจะมีรอยแผลเป็น แค่บอกว่าอาจจะเท่านั้นเอง
“ไม่รู้ว่าท่านพี่รู้เข้าจะว่าอย่างไร สตรีที่มีรอยแผลเป็นบนใบหน้าช่างอัปมงคลนัก เรื่องนี้ข้าคงต้องแจ้งให้ท่านพี่ทราบโดยด่วน ขอบคุณท่านหมอมากที่รักษาอนุเจ็ดจนสุดความสามารถ”
ลู่เหมยฮวาแสยะยิ้มอย่างพอใจ นางพยักหน้าให้สาวใช้ข้างกายเป็นสัญญาณว่าให้มอบรางวัลกับท่านหมอที่มาแจ้งข่าวดีนี้แก่นางมากหน่อย
ท่านหมอรับคำก่อนจะจากไป พร้อมกับถุงเงินหนานัก เขาคิดไม่ผิดจริง ๆ ว่าการที่ทำตามความต้องการของอนุเจ็ดจะได้รับเงินมากมายถึงเพียงนี้ เช่นนี้เขาก็สามารถมีเงินใช้เป็นค่าเล่าเรียนให้แก่บุตรชายของเขาจนเรียนจบได้เลย
ค่ำวันนั้นที่ศาลาริมสระบัวของจวนตระกูลอู๋นั้น มีชายหญิงคู่หนึ่งกำลังนั่งคลอเคลียกันอย่างสุขสำราญ อู๋ซานผู้เป็นประมุขก้มหน้าลงไปดอมดมที่ซอกคอขาวผ่องของภรรยารักด้วยความคิดถึง ฝ่ามือหนาใหญ่ล้วงเข้าไปในสาบเสื้อเพื่อบีบเคล้นเต้าหู้ก้อนอวบอย่างไม่เกรงสายตาใคร
อู๋ซานผู้นี้เป็นบุรุษที่มีรูปโฉมหล่อเหลา เขาชมชอบการเสพสังวาสกับสตรีที่มีใบหน้างดงาม และเรือนร่างที่อวบอิ่มเย้ายวนใจชาย หากสตรีนางใดที่ถูกใจเขาก็จะรับเข้ามาเป็นอนุ โดยไม่สนว่าชาติกำเนิดของนางจะเป็นอย่างไร ขอเพียงแค่ถูกใจเขาก็เป็นพอ
“อื้อ...ท่านพี่ ข้าเสียวนะเจ้าคะ”
ลู่เหมยฮวาร้องครางเสียงกระเส่า เมื่อถูกผู้เป็นสามีลูบคลำเรือนร่างของนางไม่ยอมปล่อย
“อ่า...ฮวาเอ๋อร์ของพี่ยังหอมหวานเหมือนเดิมมิแปรเปลี่ยน พี่ชักจะทนไม่ไหวเสียแล้ว เราเปลี่ยนบรรยากาศกันเป็นที่นี่ดีหรือไม่”
“ท่านพี่ละก็...ไม่อายสายตาบ่าวไพร่เลยหรือเจ้าคะ” นางหลบสายตาคมด้วยความขัดเขิน
“หึ ๆ ถ้าเจ้าอายพี่ให้พวกมันออกไปไกลแล้วกัน”
อู๋ซานโบกมือไล่บ่าวไพร่ที่ยืนอยู่รอบ ๆ ศาลาให้ถอยจากไป พวกเขาที่เห็นสัญญาณมือของเจ้านายก็ได้แต่ทำตามคำสั่ง แม้ว่าภายในใจจะลอบก่นด่าความหน้าหนาของเจ้านายก็ตามที
ร่วมรักกันในที่กลางแจ้งเช่นนี้ ช่างไม่ละอายใจเสียบ้างเลย
“คิก ๆ ท่านพี่นี่ช่างใจร้อนเสียจริง เราย้ายไปทำบนเรือนของข้าไม่ดีกว่าหรือเจ้าคะ”
“อ่า...พี่ไม่ไหวแล้วฮวาเอ๋อร์”
อู๋ซานแหวกสาบเสื้อของลู่เหมยฮวาออกไป ก่อนจะก้มหน้าลงไปดูดอมที่ก้อนเต้าหู้อวบด้วยความหื่นกระหาย ลิ้นของเขาปาดเลียเม็ดทับทิมสีหวานจนมันแข็งเป็นไตขึ้นมา ปลายลิ้นร้อนดูดดึงสลับกันไปมาทั้งสองข้าง
“อื้อ...อ่า ข้าเจ็บนะเจ้าคะ”
“อืม เจ้ายังอร่อยเหมือนเดิม ไม่ว่าสตรีนางใดก็สู้เจ้าไม่ได้เลย”
เขาเปล่งเสียงครางในลำคอหนาด้วยความชอบใจ
จากนั้นไม่นานภายในศาลาไม้พลันมีเสียงเนื้อกระทบเนื้อ และเสียงร้องครวญครางของเจ้านายทั้งสองให้ได้ยินไม่ขาดสาย กว่าพายุอารมณ์ของทั้งสองจะมอดดับลงเวลาก็ล่วงเลยผ่านไปเกือบครึ่งคืน
หลังจากผ่านศึกรักไปหลายยก อู๋ซานก็อุ้มร่างที่เปลือยเปล่าของภรรยาเข้าไปยังเรือนนอนของตน ทั้งสองยังคงนอนกอดก่ายกันไม่ห่าง ลู่เหมยฮวานอนหนุนแขนอู๋ซานพลางเอื้อมฝ่ามือเล็กลูบไล้แผ่นอกของเขาเล่น
“ท่านพี่เจ้าคะ วันนี้ที่จวนเกิดเรื่องเล็กน้อยเจ้าค่ะ”
“เรื่องใดหรือ”
อู๋ซานที่เพิ่งผ่านศึกรักมาเมื่อครู่ เอ่ยถามทั้งที่ยังหลับตาอยู่ ตั้งแต่ลู่เหมยฮวามาเป็นนายหญิงที่จวนนี้ นางก็ทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม ทุกสิ่งทุกอย่างเขาจึงมอบหมายงานที่จวนให้นางทั้งหมด
“วันนี้อนุเจ็ดเกิดอุบัติเหตุ ทำให้ใบหน้าของนางมีรอยแผลพุพองจากการถูกน้ำร้อนลวก ท่านหมอยังกล่าวว่าอาการของนางหนักนัก เกรงว่าจะทิ้งรอยแผลเป็นไว้ที่ใบหน้าเจ้าค่ะ ข้าคิดว่าการที่สตรีของท่านพี่มีรอยแผลเป็นจะไม่ค่อยเป็นมงคลสักเท่าไหร่ เกรงว่าลางร้ายครานี้อาจจะเป็นลางบอกเหตุก็เป็นได้ ท่านพี่คิดเห็นเช่นไรเจ้าคะ”
อู๋ซานที่ได้ยินเช่นนั้นพลันลืมตาขึ้นมาในทันที เขาขบคิดว่าอนุเจ็ดผู้นี้คือใครกันนะ
“นางชื่อว่าอะไรนะ”
ลู่เหมยฮวาที่ได้ยินเช่นนั้นพลันหัวเราะขำ แม้แต่ชื่อสามีของนางก็ยังจำไม่ได้
“นางชื่อจางเฟินเยว่เจ้าค่ะ มาอยู่ที่จวนของเราสามปีกว่าแล้ว แต่เพราะเหตุครานั้นที่นางพลาดทำท่านพี่บาดเจ็บ ท่านพี่จึงได้โกรธนางมากเสียจนไม่ได้ไปหานางอีกเลยเจ้าค่ะ”
“อ้อ...สตรีที่เล่นตัวเสียราวกับตัวเองเป็นคุณหนูสูงศักดิ์ ไม่อยากหลับนอนกับข้าใช่หรือไม่”
“เจ้าค่ะ”
ตอนพิเศษ 2หวนคืนสู่นิรันดร์18 ปีผ่านไปเวลาผ่านไปราวกับสายน้ำไหลที่ไม่ไหลย้อนคืนกลับมา บัดนี้บุตรชายและบุตรสาวในวัยเยาว์ของทั้งสองได้เติบโตขึ้นมาอย่างสง่างามและงดงาม สมกับที่เหวินมู่หยางและจางเฟินเยว่เลี้ยงดูพวกเขาด้วยความรักและความอบอุ่นคุณชายใหญ่เหวินมู่เฉินถอดแบบบิดามาทุกกระเบียดนิ้ว เขาได้กลายเป็นท่านกุนซือน้อยที่คอยช่วยงานของกองทัพคุณชายรองเหวินอี้หานชมชอบการฟันดาบ ด้วยอายุยังน้อยและการสนับสนุนจากบิดา เขาจึงสามารถไต่เต้าด้วยความสามารถของตนเองจนกลายเป็นรองแม่ทัพที่อายุน้อยที่สุดของเมืองหวงซ่างคุณชายเล็กเหวินอี้เจ๋อชมชอบเรื่องการค้าขาย เมื่อเขาได้รับหน้าที่ให้ดูแลร้านผิงเยว่ เขาสามารถขยับขยายร้านผิงเยว่จนตอนนี้มีสาขาย่อยทุกหัวเมือง กิจการเติบโตอย่างรวดเร็วจนแผ่ขยายไปยังเมืองหวงของแคว้นเจียงหนานส่วนคุณหนูหนึ่งเดียวเหวินอ้ายเยว่ นางได้ถอดแบบความงามและความสามารถด้านการทำอาหารมาจากมารดาไม่ผิดเพี้ยน ผู้คนในเมืองหวงซ่างจึงยกย่องให้นางเป็นยอดพธูและเพราะความงามที่ร่ำลือไปไกลนั้น จึงทำให้มีบุรุษมากมายพากันส่งแม่สื่อมาทาบทามเหวินอ้ายเยว่ แต่ทุกคนต้องรีบถอยทัพกลับไปเป็นการด่วน เพราะเหว
ตอนพิเศษ 1ลูก ๆ ของจางเฟินเยว่เวลาผ่านไปราวสองปีนับตั้งแต่เหวินมู่เฉินได้กำเนิดขึ้นมา เขาที่เป็นคุณชายของบ้านถูกดูแลอย่างประคบประหงม ทั้งจากบิดาผู้ใจดีและมารดาที่อ่อนโยน ทำให้เด็กชายที่อายุแค่สองหนาวมีนิสัยที่โอบอ้อมอารี และเป็นเด็กยิ้มง่าย เขาไม่เคยรู้สึกหวาดกลัวหรือต้องรู้สึกเศร้าเสียใจเลยแต่ในวันที่อากาศเย็นลงนั้น เหวินมู่เฉินกลับเริ่มคิดหนัก เขาเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายที่ต้องเล่นกับผู้ใหญ่ และยิ่งได้ไปเห็นว่าเพื่อนเล่นของเขามีน้องน้อยที่น่ารัก เขาเองจึงรู้สึกอยากมีน้องเป็นของตัวเองบ้าง“ทั่นแม่ ทั่นแม่ ข้ายั่กมีน้องขอยับ”เหวินมู่เฉินในวันสองหนาวออกเสียงอ้อแอ้ เขาเดินเตาะแตะมาออดอ้อนผู้เป็นมารดา หญิงสาวหัวเราะขำด้วยความเอ็นดู“อาเฉินของแม่เหงาหรือ”“ขอยับ ข้ายั่กมีน้อง ยั่กมีฉองคนขอยับ”“ฮ่ะฮ่ะ เช่นนั้นพ่อคงต้องรีบมีน้องให้แล้วสินะ”เหวินมู่หยางที่เพิ่งกลับมาจากค่ายทหารได้ยินที่ทั้งสองคุยกันพอดี“ทั่นพ่อ ทำน้องให้ข้านะขอยับ ข้าขอฉองคน”“ได้สิ งั้นคืนนี้อาเฉินของเรานอนคนเดียวได้หรือไม่”เด็กน้อยเอียงคอด้วยความสงสัย เหตุใดเขาต้องนอนคนเดียวด้วย แต่เพราะเขาอยากมีน้องมากจึงยอมพยักหน้าต
จวนตระกูลเหวินหลังจากเรื่องราวในครั้งนั้น นี่ก็ผ่านมาร่วมเจ็ดวันแล้ว จางเฟินเยว่กลับมาใช้ชีวิตของนางดังเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือข่าวการตั้งครรภ์ของนาง สิ่งที่นางสงสัยนั้นเป็นจริงตอนนี้นางตั้งครรภ์ได้หนึ่งเดือนเศษแล้ว!เหวินมู่หยางที่รู้ว่าตัวเองจะได้เป็นพ่อคน เขารู้สึกตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก เพราะข่าวดีนี้เขาจึงได้ประกาศแต่งตั้งให้จางเฟินเยว่เลื่อนขั้นเป็นฮูหยินรอง โดยหลังจากที่นางคลอดบุตรแล้ว เขาก็จะแต่งตั้งให้นางเป็นภรรยาเอกหากทำเช่นนี้ก็จะไม่มีผู้ใดสามารถมาโต้แย้งได้ แต่ถึงจะกล้าโต้แย้งคงต้องถามดาบในมือของเขาเสียก่อน จางเฟินเยว่ที่คราแรกอยากเป็นเพียงแค่อนุ แต่เพราะนางนึกถึงฐานะของบุตรที่จะกำเนิดมาจึงได้ยินยอมทำตามที่เหวินมู่หยางต้องการในยามพลบค่ำที่ห้องนอนของทั้งคู่ จางเฟินเยว่นั่งพิงหน้าอกแกร่งของเหวินมู่หยาง ในมือของนางกำลังจดข้อควรปฏิบัติและสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงในยามตั้งครรภ์ ทั้งที่เคยได้ยินจากชีวิตก่อน และจากคำแนะนำของท่านหมอที่ดูแลนาง“ไม่นอนก่อนหรือเยว่เอ๋อร์ เจ้าต้องพักผ่อนให้มาก ๆ นะ”“อีกนิดเดียวเจ้าค่ะท่านพี่ ข้าใกล้เสร็จแล้ว”หญิงสาวกลับมาจดจ่ออีกครั้ง เวลาผ่านไปก
บทส่งท้ายเหวินมู่หยางกับจางเฟินเยว่กลับมาที่เมืองหวงซ่างในยามสาย บ้านพักของอู๋ซานที่พาจางเฟินเยว่ไปนั้นอยู่อีกเมืองหนึ่ง แต่เพราะเป็นเมืองที่อยู่ติดกันจึงใช้เวลาเดินทางไม่นานนัก ผู้คนที่เห็นว่าท่านกุนซือขี่ม้าตัวเดียวกันกับจางเฟินเยว่ต่างพากันประหลาดใจขบวนของเหวินมู่หยางตรงไปยังค่ายทหารทันที เขาต้องการจัดการเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด เพราะยังมีอีกคนที่ไม่อาจปล่อยให้หลุดมือไปได้ เหวินมู่หยางได้พาจางเฟินเยว่ให้ไปรอเขาที่เรือนพักของเขาที่ค่ายทหารก่อน ส่วนเขาจะไปจัดการเรื่องทั้งหมดเองทหารของท่านแม่ทัพใหญ่บุกเข้าไปยังจวนตระกูลลู่ พวกเขาจับกุมตัวลู่เสียนผู้เป็นเจ้าเมืองที่มีตำแหน่งขุนนางขั้นสูงของที่นี่โดยไม่ไว้หน้า เรื่องนี้ยิ่งสร้างความสับสนให้กับชาวเมือง“ปล่อยข้านะ พวกเจ้ามีสิทธิ์อันใดมาจับข้า ข้าเป็นถึงเจ้าเมืองเชียวนะ” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดดังมาจากร่างของชายสูงวัยใบหน้าที่มีรอยเหี่ยวย่นเคร่งขรึมลงด้วยความเคร่งเครียด เขากังวลว่าอาจจะมีคนรู้เรื่องที่เขาแอบทำลับหลังแล้วก็เป็นได้‘ไม่ใช่ว่าพวกมันรู้แล้วนะ บัดซบ!!’ลู่เสียนสบถในใจด้วยความหวาดหวั่น ความกริ่งเกรงที่มีต่อท่านแม่ทัพใหญ่และกุนซือ
เหวินมู่หยางกลับมาที่ห้องอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขากลับรู้สึกลำคอแห้งผาก เสียงกลืนน้ำลายดังเอื๊อกเมื่อเห็นภาพเย้ายวนตรงหน้าจางเฟินเยว่ที่ควรจะนอนตัวสั่นเพราะความหวาดกลัว กลับนอนยั่วยวนเขาบนเตียงเสียอย่างนั้น อาภรณ์สีแดงที่เนื้อผ้าบางเบาเผยออกมาจนเห็นเนินอกขาวผ่องของนาง รอยยิ้มมุมปากที่แสนยั่วยวนของนาง ราวกับกำลังเชิญชวนเขาให้รีบมาจัดการนางโดยเร็ว“จะ เจ้าไม่นอนหรือเยว่เอ๋อร์” กว่าเขาจะหาเสียงตัวเองเจอก็ผ่านไปหลายลมหายใจ“ข้ารู้สึกอากาศมันร้อนเจ้าค่ะ ตอนนี้ข้าเองก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก แต่ข้าอยากได้อ้อมกอดจากคนที่ข้ารักเจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าความปรารถนาของข้าจะเป็นจริงหรือไม่”เหวินมู่หยางก้าวเดินเข้าไปหาคนช่างยั่วพลางหัวเราะออกเบา ๆ“เยว่เอ๋อร์คงจะเสียขวัญมาก พี่คงต้องปลอบเจ้าทั้งคืนใช่หรือไม่”“เจ้าค่ะท่านพี่”จางเฟินเยว่ยิ้มยั่ว ฝ่ามือเล็กค่อย ๆ ถอดเสื้อคลุมของตัวเองออกไป จนตอนนี้ร่างกายของนางเหลือเพียงเอี๊ยมบังทรงเท่านั้น ซึ่งมันไม่สามารถปกปิดก้อนเต้าหู้อวบใหญ่ของนางได้เลย“อ่า...คนช่างยั่วต้องโดนอะไรนะ” น้ำเสียงแหบพร่าดังมาจากลำคอหนา สายตาคู่คมมองร่างเย้ายวนตรงหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลาย ตรง
บทที่ 13อ้อมกอดของคนรักเหวินมู่หยางโอบประคองจางเฟินเยว่ด้วยความหวงแหน สีหน้าของนางซีดขาวด้วยความหวาดกลัว นางที่เพิ่งมาอยู่ในยุคนี้คงไม่เคยเห็นการฆ่าฟันกันมาก่อน แต่เขาที่มาอยู่ที่นี่นับสิบปี และอยู่แต่ในสนามรบจึงชินชากับเรื่องนี้ ฝ่ามือหนาที่ปิดดวงตาของนางเอาไว้คลายออก พร้อมกับช้อนร่างของนางเข้ามาในวงแขนของขา เขาพานางออกไปจากห้องที่มีแต่กลิ่นคาวเลือดและศพของอู๋ซาน“นี่มืดแล้ว เราคงต้องพักกันที่นี่หนึ่งคืน พรุ่งนี้ค่อยกลับบ้านของเรากันนะเยว่เอ๋อร์”เหวินมู่หยางวางร่างที่แสนบอบบางของจางเฟินเยว่ที่เตียงกว้าง เขาได้สั่งให้สาวใช้ที่นี่นำทางเขาไปยังอีกห้องหนึ่งที่เว้นว่างเอาไว้“เจ้าค่ะท่านพี่แล้วเหยาเหยาเล่าเจ้าคะ”“เหยาเหยาปลอดภัยดี ตอนนี้พี่ให้นางนอนพักอีกห้องหนึ่งแล้ว”“ขอบคุณเจ้าค่ะ”ผู้คนที่นี่ที่นางพอจะรู้สึกเป็นห่วงก็มีเพียงเหยาเหยาคนเดียวเท่านั้น เหยาเหยาไม่ใช่เพียงสาวใช้ข้างกาย แต่นางรู้สึกรักและเอ็นดูเหยาเหยาเปรียบเสมือนน้องสาวคนหนึ่งเลย“ขออภัยขอรับ เราพบคุณหนูรองลู่ที่ห้องด้านข้างขอรับ”องครักษ์ของเหวินมู่หยางเอ่ยรายงานเสียงเข้มที่หน้าห้อง ในตอนที่พวกเขากำลังจัดการคนทั้งหมดนั