พอตื่นนอนอีกครั้งดวงอาทิตย์ก็ลอยขึ้นกลางหัวเสียแล้ว ไฉ่หงยืนบิดตัวไปมาบนระเบียงหน้าบ้านที่ยื่นออกมา อากาศเย็นสบายยามลมโชยมากระทบทำให้รู้สึกสดชื่นยิ่งนัก
ตื่นมาก็ท้องร้องหิวเลยหากแต่ในครัวไม่มีอะไรให้กินแล้ว อาหารมื้อค่ำนั้นที่ผ่านมานางอิ่มแล้วจึงเป็นฝ่ายผลักป้อนชายหนุ่มคืนจนหมดเกลี้ยงไม่เหลือ ยามนี้ไฉ่หงมีเงินติดตัวอยู่ทั้งหมดสามสิบอีแปะกับหน่อไม้สดอีกหนึ่งตะกร้าใหญ่ๆ เช่นนั้นควรนำมาหมักดองไว้กินดีหรือไม่ สมองน้อยๆ เริ่มคิดว่าแผนหนทางอิ่มท้องในวันข้างหน้า สรุปคือนางต้องไปตลาดดูว่าควรซื้ออะไรมาเก็บไว้บ้าง แต่นางใช้เงินไม่เป็นนี่สิ “จะไปที่ใด” ทันทีที่นางก้าวออกจาประตูบ้าน ไฉ่หงตัวแข็งทื่อเมื่อตรงหน้าคืออาซาน ไฉนกลับมาเล่าหากเป็นเช่นนี้นางจะถูกปรับเงินเป็นสองเท่านะ “ท่านกลับมาทำไมรึ” “อยากกลับ” สองคำสั้นๆ ทำเอาไฉ่หงแทบจับลมลงไป เป็นบุรุษเสียเปล่าช่างความอดทนต่ำยิ่งนัก หนักไม่เอาเบาไม่สู้แล้วหรือไรกัน “มาให้ข้าตีหน่อยเถอะ” อาซานคลียิ้มยังคงเอามือไพล่หลังท่าทางนิ่งเฉย “จะไม่ให้ข้ากินข้าวหน่อยหรือไร ช่างใจร้ายเกินไปแล้ว” เช่นนั้นก็แล้วไป แต่ท่านลืมไปแล้วหรือว่าไม่หลงเหลืออะไรให้กินแล้ว ไฉ่หงพลางทำหน้าอดสู ก่อนพ่นลมหายใจยาวออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย เรื่องปากท้องเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง “อาซาน” “…..” “ที่นี้ไม่เหลืออะไรให้กินอีกแล้ว ไม่มีแล้ว” อาซานพยักหน้าเข้าใจได้ทันที ก่อนจะลวงมือเข้าไปในสาบเสื้อหยิบถุงๆ หนึ่งออกมาจึงโยนไปให้หญิงสาวที่อยู่ตรงข้าม โชคดีที่นางยังมีไวพริบหากเช่นนั้นคงตกหกกระจายลงพื้น เชาอาจจะต้องมีอันเลือดตกยางออกเป็นแน่ ให้ตายเถอะยื่นให้ดีๆ ไม่เป็นหรือไยกระไรหากนางพลาดรับไม่ได้ขึ้นมาเล่าจะทำอย่างไร “กระไรหรือ” ไฉ่หงเอ่ยทำขณะกำลังแกะถุงถุงๆ หนึ่งอยู่ “นั่งลงคุยกันก่อน” นางเงยหน้าขึ้นเอ่ยปากบอกอีกฝ่าย อาซานเมื่อเห็นปฏิกิริยาของนางก็อดกลั้นยิ้มหัวหรอกไม่ได้ “เงินค่าจ้างที่ข้าได้ล่วงหน้า วันพรุ่งข้าจะต้องเข้าป่าไปตัดฝืนอาจจะหลายวันหน่อย เขาเห็นว่าข้าเป็นยาจกทั้งยังมีภรรยาสติฟั่นเฟือนผู้หนึ่งด้วยความสงสารจึงให้เงินล่วงหน้ามา” ภรรยาสติฟั่นเฟือน!? หากไม่ใช่นางแล้วยังจะเป็นผู้ใดได้อีก เพ่ย! เจ้าคนผู้นั้นคือใครกันมารดาอยากเห็นหน้ายิ่งนัก แต่เขาให้เงินมาเต็มถุงมากมายเช่นนี้ไม่กลัวเจ้าบุรุษมากเล่ห์เพอุบายเช่นเขาชิงหนีหรือไรกัน “ท่านตัดไม้ทั้งป่าเลยหรือไรกันเหตุใดถึงได้เงินเยอะเช่นนี้” นางว่ามันเกินไปเสียด้วยซ้ำหรือเถ่แก่ผู้นี้ใช้เงินมือเถิบ อีกเหตุผลหนึ่งคงเพราะบุรุษผู้นี้เกียจคร้านยิ่งนัก “เชื่อได้หรือไม่” บัดซบ! ชีวิตนี้หากเขาเอ่ยอะไรผู้คนย่อมเชื่อทั้งนั้น “หรือเจ้าอยากไปทำงานแทนข้า” ไฉ่หงชะงักคล้ายคนหูดับไปแล้ว จ้องมองอาซานอยู่ครู่หนึ่ง นางพลางสูดลมหายใจลึกๆ ทีหนึ่งก่อนเอ่ยปาก “ไปเสีย” “กลับไปทำงานประเดี๋ยวนี้!” “สีหน้าเจ้ายามนี้น่าขันนัก” อาซานอารมณ์ดีถึงขั้นสุด เช่นนี้ค่อยคุ้มค่าไม่ขาดทุนสมกับการบากหน้าไปหยิบยืมเพียงเศษเงินหน่อย เขาระบายยิ้มอย่างเบิกบานใจ มีอะไรให้ขันรึ ไฉ่หงขมวดคิ้ว ถลึงตาใส่เขา “ตลกมากเลยรึ” เขาพยักหน้าสุดชีวิต ก่อนจะลุกขึ้นยืนเตรียมเดินจากไป แท้จริงแล้วก็ไม่ได้หิวดังเช่นที่ปากบอกทว่าเพียงแค่อยากมาเจอนางเท่านั้น “หุบปาก!” อาซานเดินไปได้สองก้าวจึงชะงัก “ภรรยาข้ายามเกรี๊ยวกราดน่าเอ็นดูยิ่งนัก” น่าเอ็นดูกับผีน่ะสิ! ไฉ่หงกำลังนั่งอยู่แคร่ลานหน้าบ้านกับป้าเอินและเอินอิ๋น คนทั้งสามกำลังจับกลุ่มเข้าหากันอย่างขมักเขม้นหากแต่พูดคุยกันสนุกสนานยิ่งนัก ขณะนั้นเองกลับมีน้ำเสียงทุ้มของบุรุษเอ่ยขึ้น “แม่นางใช่ภรรยาผู้สติฟั่นเฟือนของอาซานหรือไม่” กระไรนะ? ป้าเอินและเอินอิ๋นต่างหันมามองผู้ถูกเอ่ยถึงตาปริบๆ สีหน้าชายหนุ่มลอกแล่กแต่ถึงอย่างนั่นก็วางท่าทีนิ่งเฉยไร้ อารมณ์ใดๆ โม่เหวินเดิมที่เป็นองค์รักษ์ระดับสูงอยู่แล้วการวางตัวนั้นจึงควบคุมได้เป็นอย่างดี เหอะ ภรรยาผู้สติฟั่นเฟื่อน! “ภรรยาผู้สติฟั่นเฟื่อนคือข้าเอง มีกระไรหรือ” โม่เหวินเห็นสีหน้าอีกฝ่ายขมวดคิ้วคล้ายไม่พอใจจึงเริ่มคิดไม่ตกว่าตนพูดขัดหูไปตั้งแต่คำใดรึ เฟยหลงชินอ๋องบอกกล่าวมาเช่นไรเขาก็รับสารมาบอกต่อเช่นนั้นไม่บิดเบือน “อ่า ข้าเป็นนายจ้างเขา” หากแต่ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับชินอ๋องนั่นคงต้องเป็นความลับมิอาจบอกได้ “อาซานไหว้วานให้ข้าแวะเวียนมาดูเป็นครั้งคราวเขาเกรงว่สภรรยาเขาจะน้อยใจจนถึงขั้นตรอมใจอดข้าวอดน้ำ” ทุกถ้อยคำที่กล่าวออกมาจนเป็นประโยคชินอ๋องล้วนชี้แนะทั้งสิ้นมิได้ปรุงแต่ง ไฉ่หงทอดถอนลมหายใจพยักหน้ารับ เอาเถอะอย่างน้อยเขายังเป็นห่วงว่านางจะอยู่อย่างไรแต่ ระหว่างนางและเขามีอะไรมากไปกว่านี้ที่จะต้องถึงขั้นต้องอดข้าวอดน้ำงั้นรึ แม้ว่าจะมีบางช่วงที่รู้สึกวังเวงเงียบเหงาปากก็เถอะ “ข้าสบายดี” “ท่านช่างเป็นนายจ้างที่ดีแท้ แม้แต่ลูกจ้างว่ายวานยังทำตามอย่างว่าง่ายทั้งยังจ่ายค่าจ้างเกินแรงเสียอีก” โม่เหวินยิ่งฟังยิ่งสะท้านอยู่ในอก ถ้อยคำวาจาของสตรีผู้นี้ช่างไม่เป็นรองใดแม้แต่ชินอ๋องของเขาด้วยซ้ำ หากนางได้เลื่อนขั้นเป็นชินหวางเฟยคงดีไม่น้อยจวนชินอ๋องคงเงียบสงบไร้ผู้คนพลุ่งพล่านดียิ่ง จริงๆ แล้วเขาเองก็รำคาญเบื่อหน่ายสตรีบำเรอหลังจวนชินอ๋องมากนัก ทั้งมากเล่ห์เพอุบาย แก่นแย่งยิ่งดียิ่งเด่นกันเหลือเกินทั้งที่ชินอ๋องน่ะหรือสตรีก็คือสตรีไยต้องมีผู้ใดเหนื่อยกว่ากันทั้งสิ้น บางทีครานี้อาจจะมีผู้เหนือกว่าก็เป็นแน่ โม่เหวินเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยตอบขึ้นอย่างเบาๆ “มิใช่เรื่องใหญ่อะไรแม่นาง” “ขอบใจท่านมากเถ้าแก่”จวนชินอ๋องตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้ยามค่ำคืนมีแสงไฟส่องสว่างตลอดทั้งคืน เสมือนกำลังเตรียมตัวให้พร้อมกับบางอย่างไฉ่หงส่ายหน้า “ข้าไม่เป็นไร”บุรุษผู้นี้ไม่มีความพอดีเอาซะเลย ตั้งแต่รู้ว่าในท้องของนางมีเด็กตัวแดงอาศัยก็เฝ้าถามด้วยสายตาสงสารตลอดว่าเด็กจะออกมาเมื่อไหร่นางมิใช่สุนัขที่ต้องตั้งท้องสองเดือนแล้วออกนะเฟยหลงชินอ๋องพยักหน้า ทว่าไม่ได้ช้อนตาขึ้นมองนางหากแต่กำลังจดจ้องอยู่ที่หน้าท้องกลมใหญ่“เขาอึดอัดหรือไม่” มนุษย์อาศัยอยู่ในนั้นได้นานเพียงนี้เชียวหรือ“ไม่รู้ แต่มารดาอึดอัด” ไฉ่หงเบะปากเจ้าเด็กตัวแดงนี่พอหิวก็โวยวายถีบท้องนางจนจุก พออิ่มแล้วก็นอนสบายใจจนใจหาย ช่างเหมือนสามีผู้นี้ไม่มีผิด!เอาแต่ใจ!“เขาเหมือนท่าน”“……” เฟยหลงชินอ๋องเขาเงียบไปพักหนึ่ง จ้องคนบนเตียงอย่างจริงจัง เห็นได้ชัดว่าหลังคลอดลูกแล้ว เขาจะช่วยนางอบรบสั่งสอนลูกให้เป็นคนดีเอง เกรงว่าหากไม่เป็นเช่นนั้นคงมีนิสัยไม่ต่างจากมารดาแน่ แค่นางคนเดียวก็เกินจะรับมีไหวแล้ว“มานั่งนี่” ไฉ่หงตบมือลงเตียงที่ว่างข้
หลังปีใหม่ผ่านพ้นไปดูเหมือนอากาศจะเย็นลงทุกพื้นที่ยามพลบค่ำและรุ่งสางมีหมอกแผ่ปกคลุมขึ้นมา ยามลมพัดโชยมาเห็นได้ว่าวันนี้คงเป็นวันที่หนาวเย็นที่สุดในฤดูกระมัง เฟยหลงชินอ๋องยืนหลับตาเหม่อลอยหวนคิดถึงเหตุการณ์เมื่อสามเดือนก่อนปลายฤดูใบไม้ผลิอีกตามเคย“สามี..”สองคำเรียกสั้นๆ นั้นทำให้เขาปรือตาขึ้น เหลียวตัวหันกลับไปมอง ทั่วหล้านี้จะมีผู้ใดเอ่ยเรียกเช่นนี้นอกจากนางเฟยหลงชินอ๋องเลิกคิ้วมองสองมือน้อยที่แบออกมา“ขวัญถุง”ขวัญถุง? ตัวเขายังจะมีเบี้ยอะไรติดตัวอีกเล่า ทุกอย่างล้วนมอบให้อยู่ในมือนางแล้วเขาเอื้อมมือไปกอบกุมฝ่ามือเย็นเฉียบไว้ออกแรงถูกเบาๆ ให้เกิดความร้อน “ยามนี้สามีเองไม่ต่างจากยาจกผู้หนึ่งแล้ว ถึงแบบนั้นอยากได้อะไรก็เอ่ยปากมาย่อมให้ภรรยาได้”“อยากได้อาหลง…ได้หรือไม่”ไฉ่หงถอนหายใจ ก่อนปล่อยมือเปลี่ยนเป็นคล้องกอดแขนชินอ๋องพร้อมบ่นพึมพำ “ท่านนี่นะซื่อบื้อยิ่งนัก”ผู้ใดจะกล้าเอ่ยบอกด่าชินอ๋องหากไม่ใช่ไฉ่หง“ผู้ใดได้ยินจะถูกครหาเอาได้” ชินอ๋องชะงักเอ่ยห้ามปราบ ยามอยู่ในห้องนางจะเรี
ไฉ่หงเพิ่งลืมตาตื่น ค่อยข้างสะลึมสะลือ ร่างทั้งร่างบังเกิดความปวดเหนื่อยส่วนที่เจ็บที่สุดคงเป็นศีรษะ นางไม่มีแต่เรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้นจากเตียง“ชินหวางเฟย”ชิงชิง?น้ำเสียงเล็กแหลมเช่นนี้จะเป็นใครไปได้อีก ไฉ่หงปรายตามองเห็นร่างเล็กของสาวใช้ข้างกายฉุกละหุกวิ่งออกไป ได้ยินแจ่เสียงตะโกนว่า ‘ชินหวางเฟยพื้นแล้ว’ ดังไม่ขาดสาย“ชะ ชิง ชิง” ทว่าบอกเอ่ยปากเรียกน้ำเสียงนางกับแหบแห้งประหนึ่งปลาขาดน้ำครั้นตั้งสติได้ เมื่อคืนนางฝัน คล้ายรู้สึกว่าเป็นความฝันที่เหมือนจริงเกินไป ทั้งความเจ็บปวด ทั้งความเสียใจ ยามนี้แม้กระทั่งนึกถึงขอบตากับร้อนผ่าว น้ำตาจะไหลออกมาได้ทุกเมื่อหรือแต่จริงแล้วนั่นคือเจ้าของร่างก่อนที่นางจะมานางชื่อซูเม่ยมองค์หญิงแคว้นล่มสลายมารดาเป็นสนมขั้นเฟย บิดาเป็นฮ่องเต้พี่สาวต้องพระราชสมรสเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างแคว้นเพื่อให้รอดพ้นจาะสถานการณ์บ้านเมือง เสด็จแม่ทรงทำทุกวิธีทางเพื่อให้ท่านพี่ได้ตบแต่งออกไป แล้วข้าเล่า….จนหนึ่งปีให้หลังแคว้นล่มสลาย บุรุษถูกประหารไม่เว้นส่วน
“มันตัวใดขวางทางก็ฆ่าทิ้งซะ”ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในคืนนี้เป็นซื่อจื่อรนหาที่เองเพียงประโยคนี้ประโยคเดียวของชินอ๋องก็เพียงพอแล้ว องค์รักษลับล้วนพยักศีรษะเข้าใจเฟยหลงชินอ๋องชินยืนอยู่หน้าท้องพระโรง สวมเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกยามมีสายลมเย็นโชยมาก็บิดพริ้วปลิ้วไสว ทั้งใบหน้านิ่งเย็นยะเยือก นัตย์ตาสีน้ำหมึกดุจมัจจุราชก็ไม่ปานทหารกบฎเห็นเฟยหลงชินอ๋องปรากฎกายเบื้องหน้า ตัวพลันหวั่นหวาดกลัวเพราะความสามารถของอีกฝ่ายอยู่ลึกในใจ “ท่านอ๋อง...เฟยหลงชินอ๋อง ทรงกลับไปเถอะขอรับ สายเกินไปแล้ว” แม้น้ำเสียงช่วงแรกจะตะกุตะกะหากแต่ช่วงหลังเต็มไปด้วยความมั่นใจ ท้ายที่สุดแล้วบังลังก์มังกรก็ตกเป็นของซื่อจื่อ เป็นหลานของสกุลหลี่อยู่ดี“ถอยไป!” เฟยหลงชินอ๋องแค่เสียงฮึออกมาจะไม่หลีกบิดาแน่ใจแล้วหรือ เขาเบี่ยงเบนสายตาส่งสัญญาณไปยังโม่เหวินก่อนที่อีกฝ่ายจะชักคมดับออกจาฝักเดินก้าวขุมก็ตะบันคอกบฎหลุดออกจากบ่าไม่มีขอกาสได้ร้องขอชีวิตทหารรักษาหน้าประตูห้องพระโรงขาดความระมัดระวังมาก ไม่นานก็มีเสียงดาบครืนเคร้งปะทะกัน กลิ่นเลือดคละคลุ้งตามอากาศชวนอ้วกแต
ไฉ่หงรูม่านตาหดเล็ก หลี่มองชินอ๋องที่เดินมาแต่ไกลใบหน้าอิดโอย “อาหลง…” ยังไม่ทันได้เอ่ยอันได้ออกไปนางก็ถูกรวบเข้าอ้อมกอดนัตย์ตาสีน้ำหมึกพลันคลายความตึงเครียดลงเมื่อเห็นนางยืนอยู่เบื้องหน้าตนผ่านมาครึ่งปีแล้วที่นางย้ายนำพักมาอาศัยอยู่เมืองหลวงและผ่านมาเกือบจะหนึ่งปีแล้วที่สถานการณ์ภายในวังหลวงเริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ ไม่เว้นวันต่อวันที่มีขุนนางใหญ่ถูกฆ่าปิดปากนางเม้มปาก มือลูบหลังเขาเบาๆ ก่อนเอ่ยขึ้น “ไม่ดีขึ้นเลยหรือ”“ไม่” น้ำเสียงพูดขึ้นห้วนๆ แผ่วเบา เว้นช่วงจึงพูดว่า “สมควรตาย” บิดาอยากจะหยิบดาบขึ้นไปตะบั่นคอกบฎผู้นั้นให้แล้วสิ้นไป เพียงแต่เขาไม่ใช่แม่ทัพแคว้นและจะทำเรื่องเช่นนี้ข้ามหน้าข้ามตาฮ่องเต้ได้อย่างไรบรรยากาศโดยรอบเงียบสงบได้ยินแต่เสียงลมหายใจฟืดฟัดของเขาเท่านั่นเฟยหลงชินอ๋องกระแอ่มไอกลบเกลือนทีหนึ่ง ได้สติว่าตนพลั้งปากสถบออกไปด้วยความเคยชิน “นั่นไม่ใช่ข้า…”ไม่ใช่ท่านแล้วจะใครอีกล่ะ“นั่นไม่ใช่ท่านจริงแท้ อาหลงของข้านั่นสุภาพกับสตรี อ่อนโยนต่อผู้อื่นยิ่งนัก”“ไฉนจึงเพ้อเจ้อ” ถึงแบบนั้นเขาก็ฟังจนจบประโยค รู้สึกว่าไม่ถูกนัก เพียงแต่นางพูดอะไรเขาย่อมเชื่อโดยไม่เอ๊ะใจไ
ไฉ่หงยืนรออยู่เนินนานจนกระทั่งยามโหย่ว(17.00-18.59) ก็ยังไม่เห็นแม้กระทั่งเงาของเจ้าของจวน สถานการณ์ในวังหลวงยามนี้จากคำบอกเล่าของชินอ๋องน่าจึงรู้สึกเป็นกังวลใจ“เรากลับไปรอในจวนดีไหมเพคะ” ชิงชิงแอบสังเกตอยู่เงียบๆ นายท่านได้เข้าวังหลวงในสถานการณ์เช่นนี้เกรงว่าจะปลีกตัวออกมายากนางเหลือบตามองแวบหนึ่งเอ่ยตอบ “รอเพียงนี้แล้วก็รออีกหน่อยเถิด”สองสามเดือนที่ผ่านมาสิ่งที่มองออกคือหวางชินใจเย็นรอคอยผู้อื่นแน่วแน่โดยมิปริปากชิงชิงเป็นเพียงบ่าวไพร่นายว่าเช่นไรก็ตามนั้น“สตรีบำเรอในหลังจวนชินอ๋องมีมากมายเพียงนี้ หากเราใช้โอกาสในยามเทศกาลปล่อยพวกนางไปจะได้หรือไม่”“ล้วนขึ้นอยู่กับเจ้าของจวนเพคะ”เช่นนั้นก็หมายความว่าได้ทว่าไฉ่หงได้ยินแล้วกลับไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นเรื่องที่ข้องคาใจ “จะตรวจร่างกายประจำเดือนอีกเมื่อใด”เหตุใดบุตรของนางยังไม่มาไม่อยากเกิดมาใช้เงินจวนชินอ๋องให้หมดคลังรึ มีมากมายกลายกองเพียงนี้มาเถิดสักสิบคน“ทำมารดายังไม่ท้อง” ไฉ่หงพิมพำชิงชิงมองไฉ่หงด้วยความตกตะลึง กระพริบตาปริบๆครู่หนึ่งพลันได้ยินเสียงรถม้าเคลื่อนที่มาแต่ไกลโพ้น แสงตะเกียง