ราตรีกาลมืดมิดกลบซ่อนเงาจันทรา แสงดาวมืดหม่นไม่ส่องแสงสว่างดังเช่นทุกค่ำคืนที่ผ่านมา
รถยนต์สีดำคันหนึ่งพุ่งทะยานสู่เบื้องหน้าด้วยความเร็วบนถนนสายหลักใจกลางเมืองหลวง ก่อนที่จะหยุดลงตรงหน้าตึกระฟ้าที่สูงที่สุดในเมืองปักกิ่ง
สีหน้าคนขับที่อยู่บนรถเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด เหงื่อเย็นผุดขึ้นบนขมับทั้งสองข้าง มือทั้งสองที่กำพวงมาลัยอยู่เกร็งแน่น ต่างจากน้ำเสียงที่ราบเรียบสงบนิ่งราวอยู่ในใต้น้ำลึก แผ่วเบาและเฉียบขาด
“คาดว่าเป้าหมายอยู่ชั้น 21 ห้อง 13 ฝั่งซ้าย และห้อง 7 ที่ติดกับลิฟต์ มีเวลา 15นาทีก่อนที่ตึกจะถล่ม” อุปกรณ์สื่อสารส่งผ่านเสียงทุ้มเย็นยะเยือกให้กับผู้บังคับบัญชาสามคนที่อยู่บนตึก
“ความเป็นไปได้อยู่ที่เท่าไหร่” เสียงเรียบนิ่งดั่งสายน้ำของหญิงสาวผู้หนึ่งดังมาตามสาย หากแต่ยังขาดความรู้สึกราวกับไม่แยแสสถานการณ์คับขันนี้
“9 ใน 10 นี่เป็นภารกิจสุดท้ายของพวกเรา อย่าให้พลาดเป็นอันขาด แอลไปห้อง 13 ส่วนที่เหลือไปห้อง 7” ไม่มีเสียงตอบรับกลับมาจากปลายสาย แต่ทั้งสามบนตึกก็วิ่งเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย ชายหนุ่มทิ้งตัวลงบนเบาะรถอย่างหมดเรี่ยวแรงพลางหลับตาแน่น ยิ่งเข้าใกล้เป้าหมายมากเท่าไหร่หัวใจยิ่งเต้นเร็วมากเท่านั้น ราวกับว่ามันจะหลุดออกมาจากอก เขาสังหรณ์ใจว่าจะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น ความรู้สึกมันบอกว่าอันตราย!
“ไม่พบเป้าหมาย” ไม่กี่นาทีต่อมาเสียงจากเพื่อนร่วมงานอีกสองคนดังขึ้น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป้าหมายนั้นอยู่ที่ห้องของเธอ หญิงสาวค่อยๆ ผลักประตูเข้าไปอย่างระมัดระวัง
สิ่งที่กระทบกับดวงตาของเธอคือแสงวิบวับจากอัญมณีโปร่งใสแวววาว วางอยู่บนโต๊ะกลางห้อง อัญมณีเหล่านั้นติดล้อมรอบกล่องสี่เหลี่ยมใส กำไลสีม่วงลวดลายมังกรเก้าหางวงเล็กวงหนึ่งนอนสงบนิ่งอยู่ภายในกล่อง ของ “สิ่ง” นี้ต้องมีอายุไขไม่ต่ำกว่าพันปี เมื่อเธอเดินเข้าไปใกล้หัวใจก็ยิ่งเต้นแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เจ็บแปลบๆ ที่หน้าอกด้านซ้ายอย่างไม่ทราบสาเหตุ หญิงสาวสงบสติอารมณ์สักพักหนึ่งก่อนจะรายงาน
“ยืนยันเป้าหมาย” หลังจากได้ยินเสียงตอบรับลอยมาจากอุปกรณ์สื่อสาร หญิงสาวมองไปรอบๆเพื่อสำรวจกับดักต่างๆ ภายในห้อง เมื่อพบว่าปลอดภัยจึงเดินเข้าไปหยิบกล่องแปลกประหลาดนั้นขึ้นมา เก็บมันไว้ภายใต้อกเสื้อ พร้อมออกไปอย่างรีบเร่ง พลางคิดอย่างสงสัยว่าทำไมภารกิจสุดท้ายก่อนผ่านการทดสอบถึงได้ง่ายดายนัก
ตึง!
“เร็วเข้า! ตึกกำลังถล่ม ทุกคนรีบออกมา!” ยังไม่ทันจะได้รู้คำตอบ ก็ได้ยินเสียงร้อนรนของหัวหน้าทีมร้องออกมาอย่างตื่นตระหนก ในชั่วขณะนั้นไม่มีใครสังเกตวัตถุโบราณชิ้นนี้ค่อยๆ ส่งแสงเรืองรองออกมาทีละน้อย
ทำไมถึงได้พังลงมาก่อนเวลาล่ะ? หญิงสาวครุ่นคิดแต่ก็ไม่ได้รับคำตอบ ในค่ำคืนอันเงียบสงบได้บังเกิดแรงสั่นสะเทือน เสียงถล่มของตึกระฟ้ากึกก้องจนหูแทบจะดับ เธอตัดสินใจวิ่งไปที่หน้าต่าง จากนั้นโหนตัวลงกระโดดลงมา เงาร่างยาวเมื่อกระทบกับแสงสว่างค่อยๆ ปรากฏเด่นชัดราวกับนางปีศาจร้ายยั่วเย้าที่ผุดขึ้นมาจากขุมอเวจี เสื้อคลุมสีดำตัวยาวพลิ้วไหวไปตามจังหวะก้าวกระโดด ผมสีดำสนิทถูกปล่อยสู้แรงลมปลิวสะบัดท้าทายความมืด รูปโฉมงดงามราวประติมากรรมเลื่องชื่อไม่แสดงออกถึงอาการหวาดกลัว ต่างก็แต่ดวงตาเมล็ดซิ่ง* เรียวสวยได้รูปหรี่ลงเล็กน้อยเนื่องจากอาการปวดหนึบบนข้อมือและอาการเจ็บหน้าอกที่ทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ
หญิงสาวยกมือขวาขึ้นมา นัยน์ตาที่เคยหรี่ลง ทันใดนั้นก็เบิกกว้างด้วยความไม่อยากจะเชื่อ บนข้อมือขวาปรากฏกำไลสีม่วงวงนั้น มันรัดแน่นและพยายามดูดเลือดของเธออย่างหื่นกระหาย
“นี่...นี่มันเกิดอะไรขึ้น” เป็นครั้งแรกที่อัจริยะอย่างเธอสูญเสียการควบคุม กำไลที่ควรจะนอนอยู่อย่างสงบในกล่องกลับมาอยู่บนข้อมือของเธอ มันเรื่องบ้าอะไรกัน!
หญิงสาวพยายามใช้ปากดึงมันออกมา แต่ยิ่งออกแรงดึงมากเท่าไหร่กำไลวงนั้นก็ยิ่งรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ สีของมันจากสีม่วงค่อยๆ ย้อมเป็นสีแดง แสงสีขาวสว่างไสวเรืองรองจนตาพร่ามัว สติสัมปชัญญะของหญิงสาวค่อยๆเลือนราง เรี่ยวแรงทั้งหมดถูกใช้ไปกับการหนีเอาตัวรอด ร่างกายของเธอเริ่มอ่อนล้าลงเรื่อยๆ มืออีกข้างค่อยๆ ปล่อยจากเชือกที่เธอใช้โหนลงมา ร่างของเธอทิ้งตัวลงบนพื้นตามแรงโน้มถ่วง ก่อนที่สติจะดับวูบเธอเห็นกำไลวงนั้นแตกกระจายบนอากาศสว่างพร่างพราวระยิบระยับราวหมู่ดาวในค่ำคืนสุดท้ายที่สวยงามของเธอ หญิงสาวพลางคิดอย่างทดท้อใจว่า
นี่ฉันจะมาตายเพราะเสียเลือดจากกำไลเวรนี่เนี่ยนะ! มันจะไม่ยุติธรรมเกินไปหน่อยหรอ!
“หลี่หลิงเฟิ่ง” หรือ แอล นักเรียนอันดับหนึ่งในองค์กรลับของรัฐบาลที่บ่มเพาะเฉพาะอัจริยะทั่วประเทศชั้นปีสุดท้าย ปฏิบัติภารกิจสุดท้ายก่อนจะได้เป็นเจ้าหน้าที่หน่วยลับอย่างเต็มตัว อนาคตที่สดใสกำลังรอเธออยู่ แต่เธอต้องมาตายเพราะกำไลบ้าบอนี่หรือ ช่างน่าขำสิ้นดี
กว่าจะได้เข้ามาในองค์กรลับที่ทรงอานุภาพที่สุดนี้ กว่าจะผ่านการทดสอบแสนทรหดที่สามารถคร่าชีวิตเธอได้ทุกเวลา แต่เธอก็ผ่านมันมาได้ด้วยสมองและความสามารถที่ไม่เป็นสองรองใคร
รัตติกาลมืดมิด สายลมสงบนิ่ง แอลไม่เคยคิดว่าภารกิจที่ง่ายแสนง่ายเช่นนี้ จะทำให้ชีวิตของเธอต้องดับสูญ
โลกใบนี้มันช่างประหลาดโดยแท้ แม้แต่วิทยาศาสตร์ก็ยังหาข้อพิสูจน์ไม่ได้
*เมล็ดซิ่ง คือ เมล็ดอัลมอนด์ สื่อถึงดวงตากลมโตรับกับตาสองชั้น เรียวสวย ไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป เป็นดวงตาที่งดงาม
*ขอเปลี่ยนจากตำหนักเทพธิดา เป็นตำหนักธิดาสวรรค์*คำพูดของหลี่หลิงเฟิ่งดุจสายฟ้าฟาดลงบนผิวน้ำอันสงบนิ่ง เงาสะท้อนแห่งศรัทธาที่เหล่าผู้อาวุโสเคยยึดมั่นภักดี เริ่มแตกร้าว เทพธิดาแห่งตำหนักธิดาสวรรค์มิได้ตอบกลับทันที นางยืนนิ่งราวรูปสลักกลางห้อง ศูนย์รวมแห่งความเคารพที่เคยเปล่งประกายความสง่างามไร้ราคี บัดนี้กลับถูกความเงียบห่มคลุมราวหมอกหนาอาภรณ์ขาวสะอาดที่เคยดั่งแสงจันทร์เหนือเมฆ บัดนี้ดูซีดหม่นลงในสายตาของหลายคน ม่านผ้าบางเบาที่บดบังใบหน้างดงามพลิ้วไหวไปตามแรงลมเบา ดวงตาเรียวยาวใต้ผืนผ้าทอแสงแข็งกร้าว เงาที่เคยสงบ บัดนี้กลับเจือความตึงเครียดแนบแน่นฝ่ามือเรียวงามของนางละจากจุดชีพจรของเป่ยเฉินหลง ราวกับตัดขาดพันธะบางอย่างที่มองไม่เห็น“หากพวกท่านเห็นว่า ตำหนักธิดาสวรรค์ไม่ควรข้องเกี่ยว ข้าย่อมถอย” เสียงของนางยังคงอ่อนหวานดั่งระฆังเงิน ทว่าในห้วงลึกของถ้อยคำกลับมีความเยียบเย็นที่ทำให้ผู้ฟังขนลุก “ข้ามิเคยยัดเยียดตนเข้าสู่ที่ที่ผู้คนไม่ต้อนรับ ข้าเพียงทำตามวิถีที่ควรจะเป็น หากพวกท่านมิอาจวางใจ ข้าย่อมไม่อยู่ให้เป็นภาระใจผู้ใด” แม้ถ้อยคำจะฟังดูอ่อนโยนสงบเสงี่ยม ทว่าแรงสะท้อนกลับตึงเครียดเ
ปัง!เสียงเปิดประตูดังขึ้นอย่างกะทันหัน พร้อมกับเสียงฝีเท้าเร่งรีบที่ก้าวเข้ามาในห้อง"เกิดอะไรขึ้น!?" เสียงอันทรงอำนาจของบุรุษวัยกลางคนดังขึ้นหลี่หลิงเฟิ่งเงยหน้าขึ้นก็พบว่าชายวัยกลางคนที่แต่งกายด้วยอาภรณ์หรูหรากำลังมองนางด้วยสายตาคมกริบ ด้านหลังของเขามีชายชราผู้อาวุโสหลายคนยืนเรียงราย สีหน้าทุกคนล้วนเต็มไปด้วยความสงสัยและวิตกกังวล"ท่านพ่อ!" ผู้อาวุโสเป่ยรีบคารวะชายผู้นั้น "นางผู้นี้เป็นหมอที่สามารถตรวจพบพิษของเฉินหลง และตอนนี้กำลังรักษาเขาอยู่ขอรับ""พิษรึ" ประมุขเป่ยขมวดคิ้ว สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ "เจ้ากำลังจะบอกว่าเฉินหลงถูกพิษ ไม่ใช่ต้องคำสาปอย่างที่เราคิดมาโดยตลอดรึ"หลี่หลิงเฟิ่งไม่แปลกใจต่อปฏิกิริยานั้น นางจ้องประมุขเป่ยด้วยสายตาเรียบเฉย ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง "ถูกต้อง"บรรยากาศในห้องหนักอึ้งขึ้นมาทันที ผู้อาวุโสหลายคนหันมองหน้ากันอย่างลังเล ทว่าเมื่อเห็นโม่จื่อหลิงในห้องก็ไม่กล้าปริปากเสียมารยาทต่อหลี่หลิงเฟิ่ง"หากเป็นเช่นนั้น หมายความว่าที่ผ่านมามีคนจงใจปกปิดเรื่องนี้" ผู้อาวุโสเป่ยคนหนึ่งกล่าวขึ้นหลี่หลิงเฟิ่งตอบ "ข้าไม่อาจกล่าวเช่นนั้นได้ แต่สิ่งที่ข้
ท้องฟ้าสีครามสดใส แสงแดดทอดลงมาต้องกระเบื้องหลังคาร้านค้าจนเป็นประกายระยิบระยับ เสียงเจรจาซื้อขายดังอื้ออึงไปทั่วบริเวณ ตลาดแห่งนี้เป็นศูนย์กลางของการค้าขายในดินแดนไร้ขอบ ผู้คนมากมายเดินขวักไขว่ไปมา ทั้งพ่อค้า แม่ค้า นักเดินทาง และเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ที่แวะเวียนมาหาซื้อสมุนไพรหรืออาวุธหลี่หลิงเฟิ่งเดินทอดน่องอยู่ท่ามกลางกลิ่นหอมของอาหารและเสียงเจรจาต่อรอง นางสวมชุดเรียบง่ายและมีผ้าคลุมบางปกปิดใบหน้าเพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจ ข้างกายนางคือโม่จื่อหลิงที่ยังคงแต่งกายด้วยชุดดำสนิท และโม่เจี้ยนหมิง น้องชายของเขา ที่แม้จะมีสีหน้าผ่อนคลาย แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความเฉียบคม"ข้าคิดถึงบรรยากาศแบบนี้เสียจริง" โม่เจี้ยนหมิงเอ่ยขึ้นขณะทอดสายตามองรอบด้าน "หลังจากถูกกักอยู่แต่ในตระกูลถัง ข้าก็แทบไม่ได้สัมผัสชีวิตเรียบง่ายเช่นนี้อีกเลย""เจ้าถูกกัก หรือเจ้าขี้เกียจออกมาเองกันแน่" โม่จื่อหลิงกล่าวเสียงเรียบ แต่เต็มไปด้วยความรู้ทัน"เฮอะ พี่รอง ท่านก็รู้ว่าข้าเป็นคนเช่นไร" โม่เจี้ยนหมิงยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะเบนสายตาไปทางหลี่หลิงเฟิ่ง "ว่าแต่พี่สะใภ้ ท่านอยากได้อะไรหรือไม่ ข้าเต็มใจซื้อให้"หลี่หลิงเฟิ่งปรายตามอ
โม่จื่อหลิงส่งคนของหอสิบทิศปลอมตัวเป็นคนรับใช้ในงานเลี้ยง กระจายข่าวซุบซิบไปตามโต๊ะอาหาร ตามลานเรือน ทุกอย่างยังคงดำเนินไปอย่างปกติ แขกเหรื่อกำลังดื่มกิน สนทนา และร่วมแสดงความยินดี ระหว่างนั้น ข่าวลือเริ่มแพร่กระจายไปทั่วงานอย่างแนบเนียน"ข้าได้ยินมาว่าตระกูลหลินไม่ได้เต็มใจให้ลูกสาวแต่งเข้าจวนตระกูลหนานเลยสักนิด""ใช่หรือ? ข้าก็ว่าอยู่ ทำไมพวกเขาถึงไม่มีท่าทีเต็มใจ ทั้งที่เป็นวันมงคลโดยแท้ ขนาดรอยยิ้มยังดูน่าเกลียด""ตอนแรกข้าก็ไม่เชื่อ พอได้ยินคนพูดบ่อยเข้าก็เหมือนจะจริงอย่างที่พวกเจ้าว่า พวกเขาแค่ทำตามแรงกดดัน ดองกันเพียงผลประโยชน์ จะมีความรักอันใดได้"“อย่าพูดเสียงดังไป หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง ที่ข้าได้ยินมากกว่านั้นคือพวกเขาถึงกับกล้าไปเจรจากับศัตรูของตระกูลหนานอีกด้วย”“จิจิ คนตระกูลใหญ่พวกนี้ ยากแท้หยั่งถึง ช่างน่ากลัวเหลือเกิน”เสียงกระซิบกระซาบดังไปทั่วทุกมุมขณะเดียวกัน ‘สายลับ’ เลื้อยเข้าไปในห้องพักของประมุขตระกูลหนาน มันทิ้งจดหมายปลอมที่มีข้อความเกี่ยวกับการเจรจาลับกับอีกตระกูลที่ไม่ลงรอยกับตระกูลหนาน จดหมายดังกล่าวถูกเขียนขึ้นอย่างแยบยลให้ดูเหมือนเป็นแผนการที่จะหาทาง "ปลด
ฮูหยินถังสีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความไม่พอใจ นางตวัดสายตามองอย่างมุ่งร้าย บังอาจไม่เห็นพวกนางอยู่ในสายตา สมควรตายไปเสียให้หมด "สนทนาธรรมดารึ ดูเหมือนจะมีบางคนที่ล่วงเกินลูกสาวข้าแล้วกลับมองว่าเป็นเรื่องปกติ พวกเจ้าเห็นตระกูลถังของข้าเป็นสวนหน้าบ้านของพวกเจ้าเช่นนั้นรึ"หลี่หลิงเฟิ่งเพียงยิ้มบางเบา ท่าทางสงบไม่หวั่นไหวต่อถ้อยคำข่มขู่ "หากการพูดความจริงถือเป็นการล่วงเกิน ข้าก็คงต้องขอโทษด้วยที่ทำให้ท่านรู้สึกหยามเกียรติ""เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร ถึงได้กล้าต่อปากต่อคำอยู่ที่นี่" ฮูหยินถังเอ่ยเสียงกร้าว "หรือว่าเพราะเจ้ามีคนคอยหนุนหลังอย่างหอสิบทิศ ถึงได้กล้าหยิ่งผยองในที่ของผู้อื่น?"น่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ที่มาของโม่จื่อหลิง รู้เพียงว่าเขาเข้าร่วมหอสิบทิศ เพียงแต่ส่วนน้อยเท่านั้นที่รู้ว่าเขาเป็นเจ้าของหอสิยทิศผู้ลึกลับ ฮูหยินถังก็ไม่เว้นโม่จื่อหลิงแค่นเสียงหัวเราะ ดวงตาคมกริบจับจ้องฮูหยินถังไม่วางตา "ข้ารู้สึกผิดนักที่ท่านเข้าใจผิด หอสิบทิศไม่ใช่สถานที่ที่ต้องพึ่งพาใครเพื่อยืนหยัด แต่ทว่าก็เป็นสถานที่ที่ใครๆ ต่างก็ต้องระวังให้ดีเวลาคิดจะล่วงเกิน"พูดเช่นนี้คิดว่านางจะกลัวหรือ เป็นเพีย
สิบห้าวันที่พักอยู่ในหอสิบทิศ หลี่หลิงเฟิ่งใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพในการฝึกฝนและเตรียมพร้อมสำหรับภารกิจข้างหน้า นางจัดการส่งกองทัพแมวรัติกาลทั้งห้าสิบคนที่ติดตามมาจากเมืองหลวงออกไปสืบข่าวคราวเกี่ยวกับเบาะแสของจิ่นหนาน ร่วมมือกับสายข่าวของหอสิบทิศที่มีเครือข่ายแผ่กว้างไปทั่วดินแดนไร้ขอบแม้จะมีกองกำลังที่เชี่ยวชาญช่วยเหลือ แต่นางเองไม่เคยประมาท นางใช้เวลาทุกวันในการฝึกยุทธ์เพิ่มพูนพลังให้มั่นคง ดาบกลืนวิญญาณที่ครั้งหนึ่งเคยสั่นสะท้านอยู่ในมิติมายา บัดนี้กลับเปี่ยมไปด้วยออร่าที่ทรงพลัง นางพยายามฝึกควบคุมพลังเพลิงพิรุณลืมเลือนบทที่สองให้เชี่ยวชาญยิ่งขึ้น เปลวเพลิงที่เคยลุกโชนอย่างรุนแรง บัดนี้แฝงไว้ด้วยความเยือกเย็นที่บรรจบเป็นหนึ่งเดียวกับพลังยุทธ์ได้ในที่สุดเวลาพักจากการฝึก หลี่หลิงเฟิ่งมักใช้เวลากับเหล่าสัตว์อสูรที่อยู่ในมิติมายา เสี่ยวมู่ยังคงทำหน้าที่ผู้เฝ้ามิติอย่างขยันขันแข็ง ขณะที่เสี่ยวจูจูก็ยังส่งเสียงครางไปมาราวกับบ่นเรื่องความวุ่นวายของมนุษย์ที่เขาไม่เข้าใจนางยังหลอมยาลูกกลอนด้วยสมุนไพรหายากที่ได้รับมาจากดินแดนไร้ขอบ ยาบำรุงโลหิต ยาปราณสมานแผล และลูกกลอนบำรุงจิตใจล้วนถูกหล