“ให้ตายเถอะ!”ชวีเฟิงยังไม่ทันได้ใช้ศิลปะการต่อสู้เลย ก็เห็นเขาโดนกู้หว่านเยว่ผลักจนล้มลง จึงอุทานออกมาด้วยความตกใจ“ท่านทำอะไรกับเขา?”“เปล่านี่ แค่ทำให้เขาสลบ จะได้สอบสวนง่ายขึ้น”กู้หว่านเยว่พูดอย่างสบายๆนางเป็นไปที่ตรงหน้าวูเมิ่ง ค้นตามร่างกายเขาครู่หนึ่ง พบอาวุธลับและยาพิษมากมาย“แหม โชคดีที่ทำให้เขาสลบก่อน ของพวกนี้สามารถทำให้พวกเราเสียเวลาพักใหญ่เลย”“ของพวกนี้มันอะไร?” ชวีเฟิงมองขวดเหล่านั้นอย่างงงงวย“นี่คือยาพิษที่ฆ่าคนได้ในพริบตา”“น้ำยาทำลายศพ ความหมายตามชื่อเลย มีฤทธิ์กัดกร่อนสูงมาก”“ไห่ถังเจ็ดดาว ไร้สีไร้รส ผู้ที่ถูกพิษจะหมดสติทันที ตายอยู่ในความฝัน อีกทั้งยังเป็นฝันดีด้วย ตอนตายยังยิ้มอยู่เลย”“อันนี้…”“เดี๋ยวก่อน เลิกพูดได้แล้ว!”กู้หว่านเยว่ยังจะพูดต่อ ชวีเฟิงรีบห้ามนาง “ของพวกนี้ก็น่ากลัวมากแล้ว ขืนฟังต่อไป ข้ากลัวว่าข้าจะฝันร้ายทำไมเขาถึงพกยาพิษมากมายเช่นนี้ ไม่กลัวตัวเองโดนพิษของตัวเองเลยหรือ”“เขาเป็นคนของห้องปรุงพิษ เจอยาพิษป้องกันตัวบนตัวเขาก็เป็นเรื่องปกติ”กู้หว่านเยว่เก็บยาพิษเหล่านั้นเข้าไปในมิติอย่างใจเย็นหลังจากนั้น นางเดินไปที่ประตู ม
“อ๊ะๆๆๆ!”วูเมิ่งร้องคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด ถ้าหากไม่ได้โดนมัดไว้ เขาคงเจ็บจนกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นแล้ว“เขียนบนพื้น”กู้หว่านเยว่ยื่นน้ำชาให้เขาหนึ่งถ้วยน้ำตาของวูเมิ่งแทบจะแห้งแล้ว แม้ห้องปรุงพิษของพวกเขาก็มักจะสอบสวนผู้อื่นเช่นนี้แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโดนสอบสวน“ข้าเขียน ข้าเขียน”เขารีบทำปากพูด พลางยื่นมือสองข้างที่โดนมัดเข้าด้วยกันออกไป ใช้นิ้วชี้จุ่มลงไปในน้ำชาเดิมทีอยากฉวยโอกาสดีดยาพิษในซอกเล็บออกมา กลับพบว่าโดนกู้หว่านเยว่ค้นตัวจนไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ยาพิษในซอกเล็บก็โดนขูดออกมาแล้วเขากัดฟันแน่น ใช้ดวงตาที่เป็นประกายจ้องกู้หว่านเยว่เขาชอบผู้หญิงสวย ผู้หญิงที่เก่งกาจ เขายิ่งชอบ‘ชวีอวี้’ เก่งกาจเช่นนี้ เขาชอบสุดๆรอเขามีโอกาส เขาจะสยบนางแน่นอน“เขียน” กู้หว่านเยว่สั่งอย่างใจเย็นเหลือเวลาไม่มากแล้ว ชวีเฟิงกล้าร้องหนึ่งชั่วยาม แต่ใช้ว่าวูเมิ่งจะทำได้นานเช่นนี้“คุกใต้ดินห้องปรุงพิษ” วูเมิ่งเขียนลงบนพื้นกู้หว่านเยว่ประหลาดใจ “เจ้าบอกว่าอยู่ในมือของเจ้าไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงอยู่ที่ห้องปรุงพิษ?”แววร้อนตัวแลบผ่านดวงตาวูเมิ่งเขาเขียน “ไม่พูดเช่นนี้ เจ้าจะยอมแต่งง
“ได้”กู้หว่านเยว่พยักหน้า ลดความเร็วในการค้นหาเส้นทางช้าลงระหว่างทางพวกเขาได้พบกับแมงมุมยักษ์สีแดงสองตัวอย่างที่คิดไว้ข้างหลังของแมงมุมพิษแต่ละตัวจะมีฝูงแมงมุมตัวเล็กๆ เดินตาม มันเยอะจนดูน่ากลัว เห็นแล้วถึงกับหนังศีรษะช้า“นายหญิง ระวังแมงมุมพิษชนิดนี้”ระบบเตือนในมิติ“เมื่อไปรบกวนมัน มันจะระเบิดตัวเอง และพ่นแมงมุมตัวเล็กนับไม่ถ้วนออกมา เมื่อนั้นพวกท่านจะเจอปัญหาแน่นอน”กู้หว่านเยว่ขมวดคิ้ว ฟังดูเป็นปัญหาจริงๆ“รวบรวมของพวกนี้เข้าคลังในมิติ สามารถเพิ่มคะแนนสะสมหรือไม่?”“ได้” ระบบพยักหน้า“คะแนนสะสมที่เพิ่มขึ้นเยอะพอสมควร”เมื่อกู้หว่านเยว่ได้ยินก็ตาเป็นประกาย เช่นนี้ก็ง่ายอีกแล้วนางฉวยโอกาสโบกมือน้อยตอนที่ชวีเฟิงไม่สังเกต เก็บแมงมุมพิษสองตัวนี้เข้าไปในมิติ“แมงมุมพิษหายไปแล้ว”เนื่องจากฟ้ามืดเกินไป ชวีเฟิงก็มองเห็นไม่ชัดว่าแมงมุมสองตัวนี้ไปไหนแล้ว คิดแค่ว่าพวกมันเข้าไปในพุ่มหญ้าแล้ว จึงรีบมองหาดูรอบๆ“ไม่ต้องหาแล้ว พวกเราอ้อมไปอย่างระมัดระวังดีกว่า”กู้หว่านเยว่กล่าวเร่งเร้าประโยค ก็ไปเดินนำทางที่ข้างหน้าแล้วชวีเฟิงรับเดินตามทั้งสองเดินไปได้ครึ่งชั่วยาม ในที่ส
“มียาแค่หนึ่งเม็ด กลิ่นหอมจะจางหายไปในอีกไม่นาน พวกเรารีบฉวยโอกาสตอนนี้ เดินอ้อมแมงมุมพิษพวกนี้กันเถอะ”“ได้”ทั้งสองเร่งฝีเท้า หลังจากเดินอ้อมเส้นทางที่ยาวเหยียดสายหนึ่ง ในที่สุดก็ไม่เห็นแมงมุมพิษอีกแล้ว แต่ว่าสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าพวกเขากลับเป็นแม่น้ำใต้ดินสายหนึ่งลมเย็นที่มีกลิ่นคาวปนพัดพลิ้วมาจากแม่น้ำใต้ดินเป็นระลอก ทำเอาทั้งสองต้องย่นจมูก“พระมเหสี ท่านมั่นใจหรือว่าที่นี่ก็คือห้องปรุงพิษ?”“ใช่”กู้หว่านเยว่พยักหน้า ระบบได้ส่งแผนที่ที่สมบูรณ์ให้นางแล้ว ไม่มีทางผิดแน่นอน“ตอนนี้พวกเราต้องเข้าไปโดยผ่านแม่น้ำใต้ดินสายนี้”มีแพไม้ไผ่อยู่ที่ข้างๆ น่าจะเป็นพาหนะของห้องปรุงพิษที่ใช้เข้าออกกู้หว่านเยว่กระโดดขึ้นแพไม้ไผ่อย่างไม่เกรงใจชวีเฟิงรีบพาวู่เมิ่งตามนางไปหลังจากวางวูเมิ่งลง หยิบไม้ไผ่ที่อยู่ด้านข้างขึ้นมาพายแพไม้ไผ่เข้าไปข้างในเนื่องจากเรือทวนกระแสน้ำ ชวีเฟิงเหนื่อยจนมีเหงื่อเกาะบนหน้าผากไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุดทัศนียภาพเบื้องหน้าก็ค่อยๆ เปิดออก พวกเขาข้ามแม่น้ำใต้ดินมาถึงพื้นที่โล่งแห่งหนึ่ง ทั้งสองกระโดดลงจากแพไม้ไผ่ หลังจากนั้นชวีเฟิงแบกวูเมิ่งขึ้นหลังอี
เมื่อเห็นว่าชายผู้นั้นกำลังจะฟื้นคืนสติ กู้หว่านเยว่จึงใช้สันมือฟาดลงไป ทำให้เขาสลบไปอีกครั้ง“เหตุใดถึงทำให้เขาสลบไปล่ะ ยังถามคำถามไม่เสร็จเลย”ชวีเฟิงเอ่ยถามด้วยความสงสัยทำให้กู้หว่านเยว่มองเขาราวกับมองคนปัญญาอ่อน ก่อนจะกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าไม่เห็นหรือไรว่ายาพูดความจริงกำลังจะหมดฤทธิ์แล้ว?”“อ้อ” เขายังไม่ทันสังเกตเห็นแต่เขาก็รู้จักของสิ่งนี้ เพราะก่อนหน้านี้กู้หว่านเยว่เคยให้เขากับยายแม่มดเฒ่ากินมันมาแล้ว“ของที่น่ากลัวนั่น มันคืออะไรกันแน่?”กู้หว่านเยว่ส่ายหน้า นางรู้สึกสังหรณ์ใจอยู่ราง ๆ ว่าห้องปรุงพิษนี้กำลังเตรียมการเรื่องใหญ่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินอยู่“ไหน ๆ ก็มาถึงแล้ว พวกเราเข้าไปดูก็จะรู้เอง”กู้หว่านเยว่หรี่ตาลงพลางครุ่นคิด“ชุดที่พวกเราใส่อยู่ตอนนี้ ออกไปตรวจสอบไม่ได้แน่ ถอดเสื้อผ้าของคนงานเหมืองนี่ออกมา พวกเราเปลี่ยนใส่แทนเสีย”ชวีเฟิงในตอนนี้ได้ถือว่ากู้หว่านเยว่เป็นแกนนำหลักแล้ว เมื่อได้ยินดังนั้น จึงรีบถอดเสื้อผ้าของคนงานเหมืองสองคนในกลุ่มนั้นออกทันทีทั้งสองคนเปลี่ยนเสื้อผ้า“แล้วคนพวกนี้จะทำอย่างไร?” แถมยังมีวูเหมิงที่อยู่บนหลังเขาอีก แบกไว้ก็เคลื
“ชู่ว์ หลบไปข้าง ๆ”คนที่มาค่อนข้างเยอะ ประมาณห้าหกคนได้ โชคดีที่พวกเขาหลบได้เร็วคนทั้งห้าหกคนนี้ สวมสิ่งที่คล้ายหน้ากากป้องกันแก๊สพิษไว้บนใบหน้า และในมือก็ถือเครื่องมืออยู่ด้วยตอนนี้กู้หว่านเยว่ยังคงอยู่ในสภาวะสับสนกับห้องปรุงพิษ อีกทั้งยังจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขาคืออะไร จึงตัดสินใจแอบตามพวกเขาไปเงียบ ๆ เผื่อว่าจะได้ยินข้อมูลที่เป็นประโยชน์อะไรบ้าง“ต้องมาเอาของข้างในตัวงูนี่อีกแล้ว น่าขยะแขยงจริง ๆ ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะจบสิ้นสักที”เป็นไปตามคาด ตามไปได้ครู่เดียว พวกเขาก็ได้ยินคนบ่นขึ้นมา“ทน ๆ ไปเถอะน่า ก็อีกไม่เท่าไรแล้ว”“จะทนอย่างไรเล่า สามปีแล้ว สามปีแล้วที่ข้าไม่ได้ออกไปไหนเลย”คนอื่น ๆ ที่เหลือได้ยินดังนั้น ต่างพากันถอนหายใจพวกเขาไม่อยากออกไปหรืออย่างไรเล่าแต่เมื่อเข้ามาที่นี่แล้ว การจะออกไปนั้น เกรงว่าจะเป็นเรื่องยากอย่างยิ่งแล้ว“พวกเจ้าว่า หากไม่มีงูตัวนี้แล้ว ราชินีจะปล่อยพวกเราออกไปหรือไม่?”“หรือว่า จะฆ่าปิดปาก?”หนึ่งในนั้นทำท่าทางบางอย่าง คนอื่น ๆ ก็หน้าซีดเผือดไปตาม ๆ กัน“เป็นไปไม่ได้หรอก”ถึงแม้จะพูดเช่นนั้น แต่ในใจพวกเขาก็ไม่ม
หลังจากตั้งใจแล้ว สายตาของเขาก็ฉายแววคลั่งไคล้ขึ้นมาแวบหนึ่ง ศาสตร์ความเป็นอมตะ สำหรับปุถุชนคนธรรมดาที่ต้องเผชิญกับการเกิด แก่ เจ็บ ตายนั้น จะเป็นสิ่งยั่วยวนใจอันยิ่งใหญ่สักเพียงไหนกัน?ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้ยิน ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่หวั่นไหวรวมทั้งชวีเฟิงก็เช่นกันชายที่ตอบคำถามเมื่อครู่กล่าวว่า “ที่แท้พวกท่านก็ไม่รู้เรื่องนี้ เรื่องนี้ คงต้องเริ่มเล่าจากงูยักษ์ตัวที่อยู่ตรงหน้าพวกท่านตัวนี้”“เกี่ยวข้องอะไรกับงูยักษ์ตัวนี้หรือ?”กู้หว่านเยว่ก็รู้สึกสนใจขึ้นมาบ้างแล้วไม่ใช่ว่านางเชื่อเรื่องศาสตร์ความเป็นอมตะ นางรู้ดีว่าเรื่องพรรค์นี้มันช่างเลื่อนลอยจับต้องไม่ได้ เพียงแต่สงสัยว่าเรื่องราวมันเป็นมาอย่างไรกันแน่“ที่นี่เดิมทีเป็นถ้ำแห่งหนึ่ง เมื่อสิบปีก่อนมีคนงานเหมืองคนหนึ่งพบงูยักษ์ที่นี่ ถึงแม้งูยักษ์ตัวนี้จะตายไปแล้ว แต่ร่างของมันกลับไม่เน่าเปื่อย เรื่องนี้ไม่ทราบว่าไปเข้าถึงหูของราชินีได้อย่างไรราชินีทรงคิดว่า สามารถค้นพบความลับของความเป็นอมตะได้จากร่างของงูยักษ์ตัวนี้”ชวีเฟิงได้สติกลับมา สิบปีก่อน นั่นไม่ใช่ตอนที่ราชินีหนานเจียงสร้างห้องปรุงพิษขึ้นมาหรอกหรือ?“ดังนั
กู้หว่านเยว่พยักหน้า ส่งสัญญาณบอกให้เขาใจเย็น ๆ อย่าเพิ่งวู่วามตอนนี้นางต้องสืบความลับของห้องปรุงพิษนี้ให้กระจ่างเสียก่อน“ท่านผู้กล้าทั้งสอง คำถามที่พวกท่านต้องการถาม ข้าน้อยได้ตอบไปหมดแล้ว จะปล่อยพวกเราไปได้หรือยัง?”ชายคนนั้นคุกเข่าลง อ้อนวอนทั้งสองคน“พวกเราล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์ เดิมทีพวกเราเป็นเพียงชาวบ้านที่ขุดเหมืองอยู่ข้างนอก แต่กลับถูกจับมาโดยไร้เหตุผลไม่ได้กลับบ้านมาหลายปีแล้วขอรับ”พวกเขาไม่อยากตายอยู่ที่นี่ถึงแม้จะไม่รู้ว่าพ่อแม่ลูกเมียที่บ้านยังรอพวกเขาอยู่หรือไม่ แต่พวกเขาก็ยังอยากกลับไปดูสักหน่อย“วางใจเถอะ ข้าไม่ฆ่าพวกเจ้าหรอก”กู้หว่านเยว่เป็นคนรักษาสัญญา นางเคยบอกไว้ว่าขอเพียงคนเหล่านี้ตอบคำถามดี ๆ นางก็จะไม่ฆ่าพวกเขาในเวลานี้ ย่อมไม่มีทางผิดคำพูดของตนเอง“หากพวกเจ้าเชื่อใจข้า ข้าก็จะพาพวกเจ้าออกไปด้วยกัน”การถูกคุมขังอยู่ในสถานที่ที่ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันเช่นนี้ ช่างน่าสงสารจริง ๆ หากกู้หว่านเยว่ไม่พบเจอพวกเขาก็แล้วไป แต่เมื่อได้พบแล้ว ก็ตั้งใจจะยื่นมือช่วยเหลือชาวบ้านผู้บริสุทธิ์เหล่านี้“จริงหรือ ท่านยินดีช่วยพวกเราออกไปจริง ๆ หรือขอรับ?”คนเหล่าน
ชิงเยี่ยนตกใจ“องค์หญิงน้อย ท่านรู้หรือไม่ว่ากำลังพูดอะไรอยู่?”นางจะกลับไปกอบกู้แคว้นตงโจว นางรู้หรือไม่ว่ามีถูกอิทธิพลเท่าไรที่กำลังจ้องเนื้อก้อนโตอย่างแคว้นตงโจว?นั่นไม่ใช่คนแค่ไม่กี่คน แต่มีหลายสิบแคว้นที่กำลังยื้อแย่งกันเขารู้ว่าองค์หญิงน้อยเก่งมาก แต่อาศัยองค์หญิงน้อยที่เป็นแค่ผู้หญิงอ่อนแอคนหนึ่ง หลังจากกลับไป เป็นไปไม่ได้เลยที่จะพลิกสถานการณ์ มีแต่จะไปรนหาที่ตายเท่านั้น“ไม่ ข้าตอบตกลงไม่ได้”ชิงเยี่ยนส่ายศีรษะปฏิเสธโดยตรง“ก่อนที่จะมาต้าฉี ข้าเคยสัญญากับฝ่าบาทว่าจะปกป้องท่านเขาหวังว่าท่านจะสามารถใช้ชีวิตที่เหลืออย่างมีความสุขและปลอดภัย อย่ากลับไปสถานที่แห่งนั้นอีกถ้าหากข้าพาท่านกลับไป ไม่เท่ากับขัดต่อเจตนารมณ์ของฝ่าบาทหรอกหรือ?”เขาจงรักภักดีต่อจงหลี่มาก ไม่มีทางขัดต่อเจตนาของเขากู้หว่านเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ทั้งที่รู้ว่าพี่ใหญ่ข้าตกอยู่ในอันตราย ข้าจะสามารถอยู่ต้าฉีอย่างสบายใจได้อย่างไร? ถ้าหากเจ้าไม่พาข้าไป ข้าคิดหาวิธีข้ามป่าซิงโตวเองก็ได้”อย่างไรนางก็มีเฮลิคอปเตอร์ ก็แค่ลำบากเพิ่มอีกนิดหน่อย“องค์หญิงน้อย?”ชิงเยี่ยนตะลึงกับความเด็ดเดี่ยวของกู้
ชิงเยี่ยนร้องไห้สะอึกสะอื้น “ถ้าหากฝ่าบาทได้เห็นท่านกลายเป็นพระมเหสีของต้าฉี มีลูกแล้วด้วย และยังมีความสุขเช่นนี้ เขาต้องดีใจมากแน่นอน”“แต่น่าเสียดาย ตอนที่ข้าออกมา ล่มสลายของตงโจวกำลังใกล้เข้ามาแล้วตอนนี้ ไม่รู้ว่าฝ่าบาทยังมีชีวิตหรือไม่”อย่างไรก็ยังอายุน้อยเขาพูดมาถึงตรงนี้ก็เสียงสั่นจนแทบฟังไม่รู้เรื่อง พลันหันไปกระโจนใส่หมอน ก็เริ่มร้องไห้เสียงดังในใจกู้หว่านเยว่ก็รู้สึกไม่ดีเช่นกัน แม้นางกับจงหลี่เพิ่งรู้จักกันไม่นานแต่จงหลี่ได้มอบความรักของพี่น้องให้นางมากมายเขาพยายามปกป้องนางอย่างเต็มที่ เป็นพี่ชายที่น่านับถือในใจของนางตอนนี้ได้ยินว่าพี่ชายเป็นตายไม่รู้ จิตใจของนางจะสงบได้อย่างไร?กู้หว่านเยว่เดินออกจากห้องอย่างเหม่อลอยซูจิ่งสิงสามารถเข้าใจอารมณ์ในตอนนี้ของนาง จึงอยู่ข้างกายนางด้วยความเป็นห่วงไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร จู่ๆ กู้หว่านเยว่ก็หันกลับมามองซูจิ่งสิง“ท่านพี่ ข้าอยากไปพื้นที่ราบแห่งความโกลาหล”นางกล่าวอย่างจริงจัง“ข้าอยากไปช่วยพี่ใหญ่”นางรู้ การตัดสินใจนี้ของนางค่อนข้างเหลวไหล ตอนที่เดินออกมา นางก็กำลังคิดเรื่องนี้แต่นางไม่สามารถมองดูพี่ใหญ่ตกอ
ซูจิ่งสิงทำท่าเหมือนคิดอะไรบางอย่างคำพูดของชิงเยี่ยนฟังดูสมเหตุสมผลจริงๆในช่วงร้อยปีที่ผ่านมา ไม่ใช่ว่าต้าฉีไม่เคยคิดจะบุกโจมตีแคว้นตงโจว ในยุคสถาปนาแคว้น ก็เพราะการรุกรานอย่างต่อเนื่องของผู้ลี้ภัยที่ชายแดน จึงมีการส่งทหารไปเพียงแต่คนที่พวกเขาส่งไปสืบข่าวเกี่ยวกับตงโจว สุดท้ายกลับมาอย่างไร้ผลงานไม่ว่าพวกเขาจะค้นหาตามชายป่าผืนนั้นอย่างไร ก็ไม่พบร่องรอยของแคว้นตงโจวด้วยเห็นนี้ แคว้นตงโจวจึงกลายเป็นสิ่งลึกลับในใจพวกเขาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ไม่เคยมีฮ่องเต้องค์ใดเอ่ยปากจะบุกโจมตีตงโจวอีกมาลองคิดดูตอนนี้ คนของพวกเขาไม่เคยเข้าไปค้นหาในส่วนลึกของป่า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าข้ามป่าแล้ว แล้วจะหาร่องรอยของแคว้นตงโจวเจอได้อย่างไร?“ในเมื่อแคว้นตงโจวกับต้าฉีมีป่าซิงโตวที่ห่างกันหมื่นลี้คั่นกลาง แล้วพวกเจ้ากลับไปได้อย่างไร?”กู้หว่านเยว่ยังคงมีข้อสงสัยมากมายครั้งก่อน จงหลี่น่าจะมาจากแคว้นตงโจว หลังจากนั้นเขาก็กลับแคว้นตงโจวนี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาน่าจะมียานพาหนะที่ใช้เดินทางกลับ“มันคืออินทรีสิงโต”ชิงเยี่ยนกล่าวแนะนำ “อินทรีสิงห์โตคือคืนนกชนิดหนึ่งในพื้นที่ราบแห่งความโกลาหล พวกมันมีห
“ข้าคิดถึงเมียของข้าแล้ว”“เจ้ายังมีเมีย ที่บ้านข้ามีแค่สุนัขตัวเดียว”มีคนร้องไห้ฮือ ๆ“เจ้าผอมลง”ซูจิ่งสิงปล่อยคนในอ้อมแขน ก้มหน้าจ้องนาง ใช้มือใหญ่เสยปอยผมที่ขมับออกไปข้างๆ อย่างอ่อนโยน“ลำบากแล้ว”สายตาของเขาปวดใจไปหนานเจียงครานี้ เริ่มที่เขาควรนำทัพด้วยตัวเอง แต่เพราะเพิ่งก่อตั้งราชวงศ์ใหม่ได้ไม่นาน และมีภัยพิบัติมากมายในหลายสถานที่รอให้เขาจัดการ เขาไม่สามารถแยกตัวออกไปได้เลยและในเมื่อบอกว่าจะมอบอำนาจทางทหารให้กู้หว่านเยว่ ซูจิ่งสิงก็จะไม่ปล่อยให้นางมีแต่ชื่อ“ใช่แล้ว พี่ใหญ่ล่ะ?”กู้หว่านเยว่นึกถึงเนื้อหาที่ซูจิ่งสิงพูดถึงในจดหมาย อารมณ์ที่หวานชื่นประหม่าขึ้นมาทันที“อาจจะเกิดเรื่องกับพี่ใหญ่แล้ว”ซูจิ่งสิงก็ไม่ได้ปิดบัง เขาจับมือของนางปีนขึ้นม้าตัวเอง แล้วมุ่งไปข้างหน้า“เรื่องนี้ไม่สามารถอธิบายด้วยคำพูดไม่กี่คำ รอหลังจากถึงเมืองหลวง ข้าพาเจ้าไปพบคนคนหนึ่ง”“ใคร?”“ผู้ติดตามของพี่ใหญ่เจ้า”“ได้”กู้หว่านเยว่พยักหน้าหลังจากนั้นสามวัน ทุกคนเดินทางมาถึงเมืองหลวงมอบรางวัลให้แม่ทัพที่มีผลงานครั้งนี้ตามระเบียบ และตบรางวัลให้สามเหล่าทัพตามความดีความชอบหลังจากชั
หากกู้หว่านเยว่ไม่ได้คำนึงถึงขบวนที่อยู่ข้างหลัง นางถึงขั้นอยากเอาเฮลิคอปเตอร์ที่อยู่ในมิติออกมา และนั่งเฮลิคอปเตอร์กลับไปพบซูจิ่งสิงที่เมืองหลวงโดยตรง“ใช่ อีกสองวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว”เกาเจี้ยนร่วมวงสนทนากับกู้หว่านเยว่อย่างมีไม่บ่อยนักเขาก็ไม่ได้เจอลั่วยางมาสักพักแล้ว ไม่รู้ว่าช่วงนี้ลั่วยางทำงานในกองหมอหลวงเป็นอย่างไรบ้าง มีหนุ่มหล่อตาบอดคนไหน ฉวยโอกาสตอนที่เขาไม่อยู่ไปจีบนางหรือไม่แต่ว่าเขาค่อนข้างเชื่อใจลั่วยางจู่ๆ เวลานี้เขาก็รู้สึกว่าการมีคนรักที่มุ่งมั่นในหน้าที่การงานเป็นเรื่องที่ดีอย่างไรอย่างเช่นเขาไม่อยู่เป็นเวลานาน แต่เขากลับไม่กังวลว่าข้างกายลั่วยางจะมีคนอื่นรายล้อม แค่คิดก็รู้ว่าด้วยนิสัยของลั่วยาง ช่วงนี้ถ้าไม่เอาแต่หมกตัวอ่านตำราแพทย์อยู่ในสำนักหมอหลวง ก็ไปศึกษาอาการป่วยไม่มีเวลาไปเที่ยวสนุกแน่นอนเกาเจี้ยนหัวเราะคนเดียวระหว่างที่พวกเขากำลังเร่งเดินทาง ตอนนี้เองที่ทุกคนพบว่าฝั่งตรงข้ามของถนนมีหนึ่งคนหนึ่งม้ากำลังวิ่งเข้ามา“ใครกันที่ไม่ดูตาม้าตาเรือ วิ่งสวนทางกับพวกเรา ไม่รู้หรือว่าเห็นทัพใหญ่ต้องหลบ?”เกาเจี้ยนขมวดคิ้วพึมพำเมื่อเห็นหนึ่งคนหนึ่งม้าเข
กู้หว่านเยว่มองดูมงกุฎดอกไม้ในมือ มีรอยยิ้มที่งดงามปรากฏบนใบหน้านางสวมมงกุฎดอกไม้บนศีรษะ ดวงตาโค้งงอ“ขอบคุณ”“ไม่ต้องเกรงใจ” ชวีอวี้ส่ายศีรษะนางรู้ว่ากู้หว่านเยว่ต้องไปวันนี้แล้ว ดังนั้นหลังจากมอบมงกุฎดอกไม้ให้นาง ก็หลบไปยืนที่ข้างถนนอย่างรู้ตัวแล้ว“ขอให้ท่านเดินทางโดยสวัสดิภาพ เทพธิดาไหมจะคุ้มครองท่านแน่นอน”“ได้”นี่คือเจตนาดีที่กู้หว่านเยว่รู้สึกได้ไม่บ่อยในหนานเจียงนางถอดมงกุฎดอกไม้ที่อยู่เหนือศีรษะลงมาดูอย่างละเอียด จากนั้นฉวยโอกาสตอนที่ไม่มีคนสนใจ นำมงกุฎดอกไม้เข้าไปเก็บรักษาในมิติ เวลานี้ ภายในเมืองหลวงร่างเงาที่สวมเพ้ามังกรสีเหลืองสดกำลังเดินไปเดินมาในตำหนักอย่างร้อนใจ“ทัพใหญ่ถึงไหนแล้ว ใกล้จะถึงเมืองหลวงหรือยัง?”ซูจื่อชิงที่เพิ่งแต่งงานเสร็จร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก“พี่ใหญ่ จะเร็วเช่นนั้นที่ไหนล่ะ ทัพใหญ่มาจากหนานเจียงต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งเดือน ลองคำนวณเวลาดู นี่เพิ่งจะผ่านไปสิบวันเอง อย่างน้อยต้องใช้เวลาอีกห้าวัน พี่สะใภ้ใหญ่จึงจะมาถึง”เขาส่ายศีรษะปกติพี่ใหญ่สุขุมใจเย็น ไม่ว่าเรื่องการปกครองจะยากแค่ไหน เขาก็สามารถสงบไม่แสดงอารมณ์ใดๆแต่หลังจากไ
ทันใดนั้นนางก็กระอักเลือดออกมา ก่อนจะล้มลงไปบนพื้น เพียงเสี้ยววินาทีก็สิ้นลมหายใจ เกาเจี้ยนรุดหน้าเข้าไปตรวจสอบ หลังจากนั้นก็หันไปพยักหน้าให้กับกู้หว่านเยว่ “นางตายแล้ว” “เผาเถอะ” กู้หว่านเยว่กล่าวน้ำเสียงราบเรียบ ตอนอยู่ไม่ทำความดี ตายไปก็คงกลายเป็นเพียงกองปุ๋ย “ขอรับ” เกาเจี้ยนชำเลืองมองเฟิ่งอู๋ชีแวบหนึ่ง ดูเหมือนเฟิ่งอู๋ชีจะไม่สนใจจริง ๆ สายตาไร้เยื่อใย เงียบตลอดจนถึงตอนนี้ กู้หว่านเยว่มองไปยังรูปปั้นเทพธิดาไหมอ้วนฉุองค์นั้น “นี่คือเทพธิดาไหมที่ชาวหนานเจียงอย่างพวกเจ้าเอ่ยถึงสินะ?” “ถูกต้อง” เฟิ่งอู๋ชีพยักหน้าเล็กน้อย สายตาที่มองรูปปั้นของเทพธิดาไหมนั้นแฝงไปด้วยความหวาดกลัว “พวกเราจะจัดเทศกาลไหว้เทพธิดาไหมทุกปี ขอให้เทพธิดาไหมคุ้มครองพวกเรา ให้ฟ้าฝนตกตามฤดูกาล ธรรมเนียมนี้ได้รับการปฏิบัติสืบทอดมาหลายพันปีแล้ว” กู้หว่านเยว่พยักหน้า แม้ว่าจะไม่เข้าใจว่าทำไมหนานเจียงจะต้องเชื่อเทพธิดาไหม แต่ด้วยความเคารพ นางยังกราบไหว้รูปปั้นเทพธิดาไหมก่อนออกเดินทาง ฮองเฮาหนานเจียงสิ้นพระชนม์แล้ว ราชวงศ์ที่เหลือยู่ก็เป็นเพียงกองทราย เวลาสั้น ๆ เพียงสองวัน ทุกอย่างก็กระจ่า
น้ำเสียงของเฟิ่งอู๋ชีปนสะอื้นเล็กน้อย เขาพยายามควบคุมอารมณ์อย่างมาก นี่คือเรื่องที่ซ่อนอยู่ภายในใจและไม่มีใครรู้ ตั้งแต่ที่เขาจำความได้ ก็ไม่เคยได้สัมผัสถึงความอบอุ่นจากผู้เป็นแม่เลยสักวัน ยามที่เขาร้องไห้ ฮองเฮาหนานเจียงทำได้แค่ผลักไสเขาอย่างเบื่อหน่าย ยามเขาบาดเจ็บ สิ่งที่ได้รับมีเพียงแค่ความเย็นชา เขาเคยคิดว่า เป็นเพราะท่านแม่ครองตำแหน่งฮองเฮาอยู่ จึงทำได้เพียงหักห้ามความรู้สึก กระทั่งเห็นนางแสดงออกที่แตกต่างอย่างชัดเจนกับเฟิ่งหมิงกวง แต่เฟิ่งหมิงกวงไม่เคยเห็นเขาเป็นน้องชาย การมีอยู่ของเขา สำหรับฮองเฮาหนานเจียงแล้ว ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ไม่อยากเอ่ยถึง สู้องค์ชายที่ไม่ใช่บุตรชายของนางแท้ ๆ ก็ไม่ได้ ภายใต้คำถามของเฟิ่งอู๋ชี เห็นได้ชัดว่าสีหน้าของฮองเฮาหนานเจียงเปลี่ยนไป แสดงออกถึงความรู้สึกผิดที่ถูกปลดปล่อยออกมา “หากเลือกได้ ข้าไม่ให้เจ้าเกิดมาเสียดีกว่า” นางโพล่งออกไป ราวกับรู้ว่าจะไม่มีชีวิตยืนยาว จึงอยากพูดความในใจ “เจ้ารู้หรือไหมว่าข้าเกลียดเจ้ามากเพียงใด?” “ทุกครั้งที่เห็นใบหน้าของเจ้า ก็มักจะนึกถึงผู้เป็นพ่อที่ไม่เคยสนใจเจ้า” นัยน์ตาของนางเย็นยะเยือก
“ลูกทรพี คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะกล้าพาคนอื่นมาถึงที่นี่ เทพธิดาไหมลงโทษเจ้าอย่างแน่นอน” เกาเจี้ยนที่กำลังร้อนใจโฉบบินมาตรงหน้า “หยุดพูดจาเหลวไหลได้แล้ว ท่านหมดหนทางหนีแล้ว เหตุใดยังไม่ยอมแพ้อีก” นัยน์ตาของฮองเฮาหนานเจียงเลื่อนมาหยุดตรงหน้าของกู้หว่านเยว่ “เจ้าคือพระมเหสีแห่งต้าฉีสินะ เจ้าไม่เหมือนสักนิด” กู้หหว่านเยว่เลิกคิ้วสูง ฮองเฮาหนานเจียงมองพิจารณานาง ในขณะเดียวกันนางเองก็มองพิจารณาคนที่อยู่ตรงข้ามด้วย “ท่านไม่เหมือนกับที่ข้าคิดไว้เช่นกัน” นางคิดว่าฮองเฮาหนานเจียงจะเป็นสตรีที่มักใหญ่ใฝ่สูง ใบหน้าคงเต็มไปด้วยความเฉลียวฉลาดและเจ้าแผนการ แต่เวลานี้กลับพบว่ารูปร่างของฮองเฮาหนานเจียงดูอ่อนแอมาก หากไม่ใช่เพราะเห็นสายตาที่เฉลียวฉลาดคู่นั้น ก็คงคิดไม่ถึงว่านางจะเป็นคนทะเยอทะยานเช่นนี้ “หยุดพูดเหลวไหลได้แล้ว แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร คำกล่าวนี้ฮองเฮาทรงเข้าใจเป็นอย่างดี บัดนี้หนานเจียงพ่ายแพ้ ข้าเองก็ตกอยู่ในมือของพวกเจ้าแล้ว จะฆ่าจะแกงยังไงก็แล้วแต่พวกเจ้าเถอะ” ฮองเฮาหนานเจียงหลับตาก่อนหมุนตัวกลับไปคุกเข่าตรงหน้าของเทพธิดาไหม ปากขยับบ่นพึมพำ กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟัง ซึ่งโดยส่วนใ