เด็กสาวบอกชื่อโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดน่านให้กับรามัญฟัง
“นี่หนูมาไกลขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ใช่ค่ะ หนูอยากจะทำให้แม่มีความสุขครั้งสุดท้าย”
“แล้วหนูมีจุดประสงค์อื่นที่จะมาเจอคุณพ่อหรือเปล่า”
“คุณอาหมายถึงอะไร”
“ก็เช่นอยากมาแสดงตัวว่าเป็นลูกอยากให้คุณนครินทร์รับผิดชอบหนูหรือให้ช่วยค่ารักษา”
“ไม่ค่ะ หนูไม่ได้ต้องการอะไรแบบนั้นเลยหนูใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นก็มีความสุขดีถึงแม้เราจะไม่ได้ร่ำรวยเหมือนกับครอบครัวใหม่ของคุณพ่อก็เถอะ”
“หนูบอกว่าแม่ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ หมอบอกว่าแม่อาจจะอยู่ได้ไม่นาน”
“อาไม่ได้แช่งนะ ถ้าหากว่าแม่หนูเป็นอะไรไปล่ะ หนูจะใช้ชีวิตอยู่ยังไง”
“คุณอาไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกค่ะ หนูคิดว่าตัวเองอยู่ได้ค่ะ ที่หนูมาวันนี้หนูไม่ต้องการความช่วยเหลืออะไรเลยค่ะ หนูแค่อยากให้พ่อไปเยี่ยมแม่สักครั้ง ให้แม่ได้มีความสุขก่อนที่แม่จะจากไปค่ะ” ริณเรณูพูดด้วยเสียงสั่น เธอคุยกับหมอแล้วละคุณหมอบอกว่ามารดาของเธออาจจะอยู่ได้อีกไม่นาน
เด็กสาวอยากจะมาบอกพ่อเรื่องนี้ตั้งตอนที่รู้ว่าแม่ป่วยหนัก แต่ก็ไม่มีโอกาสเลยเพราะเธอต้องไปโรงเรียนและยังต้องคอยดูแลแม่ซึ่งนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล
จนกระทั่งโรงเรียนมีโครงการพานักเรียนมาทัศนศึกษา ริณเรณูก็ไม่อยากมาทัศนศึกษาเพราะเป็นห่วงมารดาที่นอนอยู่ในโรงพยาบาล
ถึงแม้จะมีพยาบาลคอยดูแลแต่เธอก็ยังกังวล แต่ครอบครัวของสุนิสารู้ก็อาสาจะคอยดูแลแม่ให้เพราะอยากเด็กสาวได้ไปเที่ยวกับเพื่อนๆ
ในตอนแรกริณเรณูก็ลังเลแต่พอเห็นว่าตารางทัศนศึกษานั้นมีช่วงที่คุณครูปล่อยให้นักเรียนอยู่อย่างอิสระนานถึงสี่ชั่วโมงเด็กสาวจึงตอบตกลงมาทัศนศึกษากับทางโรงเรียนเพราะจะใช้เวลานั้นออกมาตามหาบิดา
“แม่ของหนูบอกให้หนูมาตามพ่อไปเยี่ยมใช่ไหม”
“ไม่ค่ะ แม่ไม่เคยบอกแต่หนูอยากเห็นแม่มีความสุขหนูเลยมาตามหาพ่อ ถ้าวันนี้หนูไม่เจอพ่อก็ไม่เป็นไรค่ะ แต่หนูขอร้องให้อาบอกพ่อให้หน่อยได้ไหมคะ”
“อาจะบอกคุณนครินทร์ให้นะ แต่อาไม่รู้ว่าพ่อของหนูเขาจะเชื่อว่าหนูคือลูกหรือเปล่า”
“ถ้าพ่อเขาไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรค่ะ หนูไม่สนใจเท่าไหร่สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับหนูก็คือให้พ่อกับแม่ได้เจอกันอีกครั้ง”
“อาจะบอกเขาตามที่หนูเล่าให้อาฟังนะ แต่เอาจะไปหรือเปล่าอาคงตอบแทนเขาไม่ได้ ถ้าเขาไม่ไปเยี่ยมหนูจะเสียใจไหม”
“หนูคงเสียใจแทนแม่ค่ะ”
“ริณสี่โมงแล้ว” สุนิสากระซิบบอกเพื่อนเพราะเธอกลัวจะไปไม่ทันเวลาที่คุณครูเรียนรวมตัวเพื่อขึ้นรถกลับโรงเรียน
“หนูขอกลับก่อนนะคะ”
“แล้วจะมาหาพ่ออีกไหม”
“คงไม่มีโอกาสแล้วค่ะ หนูไปก่อนอย่าลืมที่หนูฝากบอกพ่อนะ”
“จะไปยังไง”
“แท็กซี่ค่ะ”
“เดี๋ยวอาไปส่งนะ”
“ไม่เป็นไรหนูเกรงใจ”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก ระหว่างที่นั่งรถไปกับอาหนูจะได้เล่าเรื่องของหนูกับแม่ให้อาฟังเพิ่มด้วย”
“พลอยว่าให้คุณอาเอาไปส่งก็ดีเหมือนกันนะ ประหยัดค่าแท็กซี่ด้วย” เด็กสาวกระซิบ
“หนูให้อาไปส่งก็ได้ค่ะ” ที่ริณเรณูยอมให้ชายหนุ่มไปส่งไม่ใช่เพราะเรื่องประหยัดค่าแท็กซี่แต่เธอคิดว่าระหว่างทางจะได้คุยกับเขาเพิ่มขึ้นและหวังว่าข้อมูลที่เธอเล่าให้เขาฟังนั้นเขาจะไปถ่ายทอดให้กับบิดาของเธอฟัง
“ไหนลองเล่าให้อาฟังซิว่าพ่อกับแม่ของหนูเจอกันยังไง” รามัญถามขณะที่กำลังขับรถพาริณเรณูและเพื่อนมาส่ง
“แม่หนูเป็นแม่ค้าขายข้าวแกงในตลาดค่ะ แม่บอกว่าเจอกับพ่อตอนพ่อไปคุมโครงการก่อสร้างศูนย์ราชการค่ะ ตอนนั้นพ่อเป็นผู้ชายที่หล่อมากๆ แม่ก็สวยมากๆ พ่อมากินข้าวแกงที่ร้านของแม่อยู่บ่อยๆ จนสนิทกันค่ะ จากนั้นหลังจากเจอกันได้ครึ่งปีพ่อกับแม่ก็ตกลงแต่งงานกัน”
“รูปที่หนูเอาให้ดูน่ะเหรอ”
“ใช่ค่ะ แต่มันเป็นงานแต่งงานเล็กๆ นะคะ ญาติของพ่อที่กรุงเทพไม่มีใครมาร่วมงานเลยเพราะบ้านของแม่อยู่ค่อนข้างไกลค่ะ แต่แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร แม่บอกว่าแม่รักพ่อมากพ่อกับแม่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเหมือนสามีภรรยาทั่วไป แม่บอกว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่แม่มีความสุขมากๆ ค่ะ จนกระทั่งงานก่อสร้างศูนย์ราชการเสร็จพ่อก็ขอเข้ามากรุงเทพแล้วบอกแม่ว่าจะมารับแม่ไปอยู่ด้วย”
“แล้วเขาไปรับไหม”
“ไม่ค่ะ พ่อเข้ามาในกรุงเทพประมาณสองเดือนพ่อก็ขาดการติดต่อไป จากนั้นก็มีคนไปหาแม่ที่นั่นพร้อมกับเอารูปที่พ่อแต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่งไปให้และขอร้องให้แม่เลิกติดต่อกับพ่อเพราะพ่อกำลังจะมีครอบครัวใหม่ ผู้หญิงคนที่ไปด้วยบอกว่าตนเองกำลังท้องแม่เห็นแบบนั้นก็เสียใจมากๆ แม่อยากถามพ่อว่าเพราะอะไรแต่ก็รู้สึกเห็นใจผู้หญิงด้วยกันไม่จริงรับปากว่าจะไม่ติดต่อพ่อมาอีก”
“แล้วแม่หนูได้บอกผู้หญิงที่ไปหาหรือเปล่าว่าแม่หนูก็กำลังท้อง”
“แม่ไม่ได้บอกค่ะ ตอนนั้นแม่เองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองท้องและพ่อก็ไม่รู้ด้วยว่าแม่ท้องอยู่ อารามคิดว่าถ้าพ่อรู้ว่าแม่ท้องพ่อจะทิ้งแม่มาแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่นไหมคะ”
“อาตอบเรื่องนี้ไม่ได้เพราะอาไม่ใช่เพราะของหนู แต่ถ้าเป็นอาคงไม่ทิ้งแม่หนูอยู่ที่นั่น อาคงพามากรุงเทพด้วยตั้งแต่แรก” รามัญคิดว่าถ้าคุณนครินทร์แต่งานแล้วก็ควรจะพาภรรยาไปด้วยทุกที่
“อาคะ ถ้าหนูได้เจอพ่อหรือได้คุยกับพ่อหนูจะถามพ่อได้ไหมว่าทำไมพ่อถึงทิ้งหนูกับแม่ไป หนูอยากรู้ว่าเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่แม่บอกว่าพ่อรักแม่มากแล้วพ่อจะไปทำผู้หญิงอื่นท้องได้ยังไง”
“หนูมีสิทธิ์จะถามพ่อแต่อาไม่รู้ว่าคำตอบที่ได้ฟังมันจะทำให้หนูรู้สึกยังไง อาขอถามว่าหนูมีความสุขไหมที่อยู่กับแม่แค่สองคน หนูรู้สึกไหมว่าตัวเองขาดพ่อ”
“หนูมีความสุขดีค่ะ แม่เป็นทั้งพ่อและแม่ถึงแม้หนูจะเป็นเด็กที่ไม่มีพ่อแต่แม่ก็รักหนูมาก หนูเลยไม่รู้สึกว่าตนเองขาดพ่อ”
“อาขอโทษนะ อาขอถามอะไรหนูอีกข้อหนึ่งได้ไหม”
“ถามอะไรคะ”
“แม่หนูไม่คิดจะแต่งงานใหม่หรือมีผู้ชายคนอื่นเข้ามาในชีวิตเลยเหรอ”
“แม่หนูเป็นคนสวยมากๆ ค่ะมีผู้ชายหลายคนที่อยากจะมาสมัครเป็นพ่อของหนู มีคนหนึ่งรวยมากและเขาก็ไม่รังเกียจหนูเลยสักนิด เขาดีกับแม่และหนูมากๆ แต่แม่ให้เขาเป็นได้แค่เพื่อนค่ะ แม่ไม่สนใจผู้ชายคนไหนเลยแม่บอกว่า ถ้าแม่ได้รักใครแล้วไม่เจอก็จะรักผู้ชายคนนั้นตลอดถึงแม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกันแต่แม่ก็ไม่สามารถรักคนอื่นได้อีก” ริณเรณูเคยถามแม่เรื่องนี้หลายครั้งคำตอบของแม่ก็เหมือนเดิม
“อาชื่นชมความรักของแม่หนูที่มีต่อพ่อนะ”
“อารามคะจอดตรงนี้ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวหนูสองคนจะแอบเข้าไปเอง” สุนิสารีบบอกเพราะกลัวว่าเขาจะขับรถเข้าไปใกล้กับรถบัสจนเกินไป
“ก็ได้ อาส่งตรงนี้นะขอให้หนูสองคนเดินทางปลอดภัย ถ้าถึงแล้วจะโทรมาบอกหรือไลน์มาบอกก็ได้ เก็บนามบัตรของอาไว้ด้วย เผื่อว่ามีอะไรจะได้ติดต่อกัน”
“ขอบคุณค่ะอารามที่มาส่ง” เด็กสาวสองคนยกมือไว้รามัญก่อนที่เธอจะลงจากรถและขึ้นไปบนบัสคันใหญ่ที่จอดรออยู่
ระยะเวลาที่คบกันนานถึงสามปีทำให้ริณเรณูและรามัญเรียนรู้กันมากขึ้นครอบครัวของหญิงสาวยอมรับชายหนุ่มเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครัวด้วยความเต็มใจแล้ววันที่ทุกคนรอคอยก็มาถึงงานแต่งงานของทั้งสองถูกจัดขึ้นที่บ้านของคุณย่านารีโดยช่วงเช้าเป็นพิธีตักบาตรและพิธีหมั้นส่วนตอนเย็นก็มีการฉลองมงคลสมรสที่โรงแรมหรูเมื่อพิธีการและงานเลี้ยงจบลงตอนนี้คู่บ่าวก็อยู่กันตามลำพังในห้องของโรงแรม“วันนี้หนูริณของอาสวยที่สุดเลยนะครับ” รามัญมองเจ้าสาวที่สวมชุดแต่งงานสีขาวด้วยความภูมิใจ“แล้ววันอื่นหนูไม่สวยเหรอคะอาราม” หญิงสาวพูดแล้วคล้องแขนไปบนลำคอของเขาแล้วส่งสายตาอ้อนเหมือนที่ชอบทำเป็นประจำ“หนูริณของอาสวยทุกวันนั่นแหละแต่ที่อาบอกว่าวันนี้สวยที่สุดก็คงจะเป็นชุดเจ้าสาวที่หนูใส่อยู่”“อารามของหนูก็หล่อที่สุดเหมือนกันค่ะ ยิ่งใส่ชุดเจ้าบ่าวแบบนี้ก็หล่อมาก เพื่อนของหนูชมกันใหญ่เลยว่าอารามหล่อ”“แล้วพวกเขาว่าอะไรไหมที่หนูริณแต่งงานกับคนอายุมากกว่าแบบอา”“ไม่เลยพวกเขาดูไม่ออกด้วยซ้ำว่าอารามอายุเท่าไหร่อารามของหนูดูเป็นวัยรุ่นอยู่เลยค่ะ”“หนูริณช่างพูดแบบนี้มันทำให้หัวใจคนแก่อย่างอาเต้นแรงทุกครั้งเวลาอยู่ใกล้หนูเล่นเลยนะ
“เจ็บแผลมากไหมคะคุณย่า” ริณเรณูถามคุณย่านารีหลังจากที่ทุกคนออกไปจากห้องพักผู้ป่วยแล้ว“ตอนนี้ไม่เจ็บเท่าไหร่จ้ะ น่าจะเป็นเพราะฤทธิ์ยาชา”“ถ้าคุณย่าเจ็บแผลหรือปวดแผลต้องรีบบอกหนูนะคะหนูจะได้กดออดเรียกพยาบาลให้เข้ามาดู”“จ้ะลูก หนูริณเพิ่งกลับจากคอนโดยังไม่ได้เอาของเก็บก็ต้องมานอนเฝ้าย่าที่โรงพยาบาลแล้ว เหนื่อยไหมลูก”“ไม่เหนื่อยเลยค่ะ หนูเต็มใจจะอยู่เฝ้าคุณย่า คุณย่าคะเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้มันเป็นความจริงใช่ไหม”“ใช่จ้ะมันเป็นความจริงทั้งหมดที่ย่าก็เพิ่งรู้มาได้ไม่นาน หนูโกรธไหมที่คุณศิตาเขาทำแบบนั้นจนทำให้หนูกลายเป็นเด็กกำพร้าพ่อ”“หนูยอมรับนะคะว่าโกรธมากเลยค่ะแต่หนูก็คิดว่ามันกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วล่ะค่ะคุณย่า ถึงแต่ก่อนหนูกับแม่จะถูกทอดทิ้งเพราะความเข้าใจผิดแต่ตอนนี้แต่ตอนที่หนูไม่เหลือใครคุณพ่อกับคุณย่าก็รับหนูมาอยู่ด้วยมันทำให้ หนูรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากอย่างน้อยก็ยังมีครอบครัวหนู”“เป็นคนจิตใจดีมากเลยนะลูกย่าก็นึกเสียดายถ้าหากแม่ของหนูได้มาเป็นสะใภ้คงย่ามันคงดีมากๆ”“หนูคิดว่าตอนนี้แม่กำลังมองดูอยู่ข้างบนและคงมีความสุขมากที่รู้ว่าเรื่องทุกอย่างในอดีตมันเกิดจากความการเข้าใจผิด
คุณย่านารีนั่งพิงหัวเตียงอยู่ในห้องพักวีไอพีของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งบนศีรษะมีผ้าพันแผลสีขาวขนาดเกือบสามนิ้วติดอยู่ขณะที่รอบเตียงรายล้อมไปด้วยลูกหลานครบทุกคนสีหน้าของผู้สูงไว้ดูเครียดถึงแม้คุณหมอจะแจ้งว่าศีรษะมีเพียงแค่บาดแผลและไม่ได้มีอาการอะไรอื่นแต่ความเครียดของเธอก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลยเพราะตอนนี้เธอกำลังเป็นกังวลและเป็นห่วงหลานสาวที่เพิ่งรับมาอยู่ด้วยเพียงหนึ่งปีอย่างริณเรณูเป็นอย่างมาก“คุณย่าคะริต้าขอโทษนะคะ ริต้าไม่ได้ตั้งใจทำร้ายคุณย่าเลยแต่คุณย่ามาพูดแบบนั้นกับริต้าเองริต้าก็เลยโมโหและดึงแขนคุณย่าแรงไปหน่อยค่ะ” รวิตายกมือไว้คุณย่านารีแต่ท่าทางของเธอก็เหมือนไม่สำนึกผิดอะไรเลย“ริต้าพ่อว่าหนูไม่ต้องพูดอะไรแล้วนะ ยิ่งพูดมันก็จะยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลง” คุณนครินทร์ดุลูกสาวหญิงสาวหันมามองผู้เป็นบิดาด้วยสีหน้าไม่พอใจเพราะน้อยครั้งมากที่เธอจะถูกบิดาดุและครั้งนี้ก็ไม่ใช่เป็นการดุตามลำพังแต่เธอถูกดุต่อหน้าทุกคนในครอบครัว“ก็มันจริงนี่คะคุณพ่อ จู่ๆ คุณย่าก็มาพูดเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ริต้าจะไม่ใช่ลูกของคุณพ่อจะไม่ใช่หลานของคุณย่าได้ยังไง คุณย่าคงจะหลงยัยริณมากเกินไปจนมองไม่เห็นหัวริต้าแล้วล่
“นั่นสิคะคุณแม่ให้ริต้าเขาไปอยู่ใกล้ๆ มหาวิทยาลัยไหมจะได้ไม่เหนื่อยกับการเดินทางมาก” ศิตาพูดเสริมให้กับลูกสาว“แต่คอนโดแถวนั้นราคาสูงมากเลยนะ ย่าว่ามันจะสิ้นเปลืองไปเปล่าๆ อีกอย่างมหาวิทยาลัยของหนูกับที่บ้านก็ไม่ได้ไกลกันมากขนาดนั้น ถ้าเหนื่อยกับการขับรถจริงๆ ให้ลุงสนั่นคอยขับรับส่งไหม”“ไม่ค่ะคุณย่าริต้าอยากได้คอนโดริต้าไปดูมาแล้วราคาแค่เก้าล้านเองนะคะ”“ตั้งเก้าล้านย่าว่ามันแพงไปและมันไม่จำเป็นเลยนะริต้า หนูขับรถจากบ้านไปถึงมหาวิทยาลัยไม่ถึงยี่สิบนาทีเองนะ”“ไม่แพงหรอกค่ะคุณย่าซื้อให้หนูนะคะ หนูสัญญาเลยว่าจะตั้งใจเรียน” รวิตาอยากออกไปอยู่คอนโดเพราะอยากใช้ชีวิตอย่างอิสระและไม่ต้องรีบกลับบ้านเหมือนกันที่ผ่านมา“คุณย่าครับผมว่าต่อให้คุณย่าซื้อคอนโดราคายี่สิบล้านให้พี่ริต้า พี่เขาก็คงเรียนดีไม่ได้ครึ่งของพี่ริณหรอกครับ” มาวินพูดแทงใจดำของพี่สาวยังจังเขารู้ว่าที่ริต้าอยากย้ายไปอยู่คอนโดเพราะเธออยากจะออกไปเที่ยวกับเพื่อนมากกว่า“นี่นายมาวินนายได้ไปเรียนต่างประเทศใช้เงินตั้งมากและได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระพี่ขอแค่คอนโดแค่นี้นายจะมาขัดทำไม” รวิตามองน้องชายด้วยสายตาขุ่นเคือง“ก็ผมสงสารคุณย่านี่คร
ความรู้สึกที่ตื่นมาในตอนเช้าแล้วมีคนนอนอยู่ข้างๆ มันเป็นความรู้สึกที่ริณเรณูโหยหามาตลอดหลายปี แต่ก่อนเธอกับมารดาก็นอนด้วยกันแบบนี้ จนกระทั่งมารดาป่วยและเข้าไปนอนในพยาบาล จากนั้นหญิงสาวก็นอนคนเดียวมาตลอดและพอวันนี้ได้ตื่นขึ้นมาในอ้อมกอดของรามัญก็ทำให้เธอรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ริณเรณูอยากให้มันเป็นแบบนี้ทุกวันหญิงสาวพกอดเขาแน่นขึ้นแล้วซุกใบหน้ากับแผงอกของชายหนุ่มเหมือนกับลูกแมวน้อยทำให้คนที่ตื่นมานานแล้วยิ้มกับท่าทางของเธอ“ตื่นแล้วเหรอ”“ยังคะ”“คนหลับที่ไหนจะตอบได้” รามัญพูดพลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดีเขาไม่เคยนอนกับใครจนถึงเช้าแบบนี้เลยสักครั้ง“ก็หนูยังไม่อยากตื่น เมื่อคืนหนูไม่ได้ฝันไปใช่ไหมคะ”“ให้อาทบทวนให้ไหมว่าใช่ฝันหรือเปล่า”“ไม่ดีกว่าคะ แค่นี้หนูก็ไม่มีแรงลุกไปไหนแล้ว อารามคะอาเสียใจไหมกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน” หญิงสาวถามโดยว่าลืมคิดไปว่าคนที่น่าจะถามคำถามนี้น่าจะเป็นฝ่ายชายมากกว่า“หนูริณลืมอะไรไปหรือเปล่า อาต่างหากที่จะต้องถามเรื่องนี้กับหนู หนูเสียใจหรือเปล่า”“หนูก็บอกอาแล้วนะคะว่าหนูไม่เสียใจเลยค่ะก็หนูรักอา”“อาก็รักหนูนะ แต่เราจะทำเรื่องแบบนี้กันอีกไม่ได้”“ทำไมเหรอค
“หนูริณของอาหัวไวมากจูบเป็นแล้ว”“ดีมั้ยคะอาราม”“ดีที่สุดเลย”“ถ้าอารามอยากให้หนูจูบเก่งอารามต้องสอนหนูนะคะ”หญิงสาวพูดออกไปตามอารมณ์และความรู้สึกเพราะเธออยากให้เขามีเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น“แน่ใจนะหนูริณว่าจะยอมเป็นของอาจริงๆ”รามัญถามหญิงสาวอีกครั้ง แม้รู้ว่าถ้าหากริณเรณูเปลี่ยนใจตนเองจะต้องจะทรมานมากแน่ไหน แต่ก็ไม่อยากจะหักหาญน้ำใจของคนที่ตัวเองรักเหมือนกัน แม้เขาจะไม่เคยบอกเธอว่าเขาเองก็รักเธอแต่คิดว่าหญิงสาวก็น่าจะเข้าใจดีเพราะถ้าหากเขาไม่รักไม่ได้รู้สึกอะไรก็คงไม่ตามดูแลเธอมาตลอดหลายปีแบบนี้“หนูไม่เสียใจค่ะอาราม” หญิงสาวยืนยันอย่างหนักแน่น“อาจะทำให้ครั้งแรกของเรามีแต่ความสุข”เขากระซิบข้างหูก่อนที่ปลายลิ้นร้อนจะลากไล้ไปตามหน้าอกอิ่มดูดดุนยอดถันกระตุ้นอารมณ์ของหญิงสาว รามัญตวัดปลายลิ้นรัวลงบนยอดถันสลับกับดูดเข้าปากจนแก้มตอบ เมื่อเห็นหญิงสาวแอ่นโค้งหน้าอกอิ่มเข้าหาเขาก็เข้าใจว่าเธอต้องการให้ตนเองทำแบบไหนฝ่ามือร้อนบีบขย้ำอย่างหนักหน่วง ปากร้อนก็ลากไล้สลับไปมาทั้งสองข้างจนเปียกชุ่ม มืออีกข้างลากต่ำลงมายังเอวนวดเฟ้นสะโพกกลมกลึง ปลายนิ้วจะไล้เข้าหาเนินเนื้อเบื่องล่างอีกครั้ง“อ๊ะ