เข้าสู่ระบบ
แล้วที่แย่ไปกว่านั้น การสนทนาบนโต๊ะอาหารเป็นภาษาอังกฤษ ภาษาที่พราวฟ้าไม่เข้าใจอยู่คนเดียว ราวกับว่าไม่อยากให้เธอรู้เรื่องที่สนทนากัน ความรู้สึกตอนนี้คือ เธอเหมือนแกะดำหลงเข้ามาในหมู่หงส์ นำพาความเศร้ามาให้พราวฟ้าอีกทำนบ
บุหงันที่นั่งหัวโต๊ะรู้และเห็นทุกอย่าง นางมองหลานชายก่อนมองพราวฟ้าที่นั่งตัวลีบอยู่ที่นั่งท้ายสุด นางวางช้อนและส้อมคู่กันบนจาน ทั้งที่ยังกินไม่อิ่ม
“คุณแม่กินไปนิดเดียวเองนะครับ อิ่มแล้วหรือครับ” ปุริมถามมารดา
“ยังไม่อิ่ม” บุหงันตอบ
“ยังไม่อิ่มแล้วทำไมไม่กินต่อล่ะคะคุณแม่” ลูกสะใภ้ถาม
“หรือว่าอาหารที่เปิ้ลทำไม่ถูกปากคุณย่าคะ” แม่ครัวรังสรรอาหารมื้อนี้เอ่ยถามต่อจากอรุณ
“กับข้าวน่ะอร่อย แต่ฉันไม่ชอบคนกระแดะ” ทุกคนบนโต๊ะอาหารพากันเงียบ มองหน้าบุหงันเป็นตาเดียว “เป็นคนไทยแท้ๆ แต่ไม่พูดภาษาไทย ทั้งที่บนโต๊ะอาหารไม่มีคนหัวทองสักคน มีแต่หัวดำหัวย้อม ก็ต้องโทษคนเริ่มพูดคนแรกล่ะนะ คงไปอยู่เมืองนอกนานเกินไป พอกลับมาเมืองไทยเลยลืมกำพรืดตัวเอง ดัดจริต”
บุหงันพูดกระทบทิวาทิพย์เต็มๆ เพราะเธอเป็นเพียงคนเดียวบนโต๊ะอาหารที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศเมื่อห้าเดือนก่อน ทิวาทิพย์ถึงกับหน้าชา ไม่คิดว่าบุหงันจะต่อว่าตนต่อหน้าทุกคน คนที่อึ้งและตกใจไม่แพ้ทิวาทิพย์คือ ปรินทร์ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยคำใด เสียงบุหงันดังขึ้นอีกครั้ง วาจาประโยคนี้ยิ่งทำให้ทิวาทิพย์หน้าชามากขึ้น
“อีกเรื่องที่ฉันอยากจะบอกเธอนะเปิ้ล แล้วจะพูดแค่ครั้งเดียว จะจำใส่หัวหรือไม่นั้นก็เรื่องของเธอ” เจ้าของเสียงมองหน้าทิวาทิพย์ “ที่นั่งที่เธอนั่งอยู่เป็นของทราย ถ้าเธออยากจะครอบครองจนตัวสั่นล่ะก็ รอให้โดมเลิกกับทรายก่อนดีไหม มารยาทน่ะรู้จักไหม อ้อ...คงไม่รู้จักสินะ เพราะฉันเห็นเธอนั่งตรงนี้ทุกครั้งที่มากินข้าวที่นี่ ส่วนแก ตาโดม แกอายุก็มากแล้วนะ คงรู้ตัวว่าทำอะไรอยู่ แต่ถ้าไม่รู้ฉันก็จะบอกให้ว่า เมียแกนั่งอยู่ตรงโน้น คนที่แกควรเอาใจคือทราย”
“ผมไม่เคยคิดอย่างที่คุณย่าพูดมานะครับ เปิ้ลเป็นเพื่อนของผม” ปรินทร์แก้ตัว
“แกก็จำคำพูดตัวเองไว้ให้ดีก็แล้วกัน อย่ากลืนคำพูดตัวเองทีหลังล่ะ ถ้ากลืนล่ะก็ ฉันถือว่าแกเป็นหมา หมาขี้เรื้อนด้วย” นางลุกขึ้นยืนเมื่อพูดจบประโยค “ทรายลุกขึ้น ไปกินข้าวข้างนอกกับฉัน ฉันทนกินที่นี่ไม่ได้ จะอ้วก”
พราวฟ้าที่ตกใจไปกับคำพูดบุหงันรีบลุกขึ้นตามคำสั่ง เดินตามบุหงันออกไปจากห้องกินอาหารโดยไม่มองใครสักคน เพราะเธอรู้ว่า คนในห้องนี้กำลังไม่พอใจตนที่บุหงันพูดเข้าข้าง และต่อว่าทิวาทิพย์อย่างไม่ว่าใครทั้งสิ้น
“วันนี้คุณแม่เป็นอะไร ถึงได้พูดแบบนี้”
อรุณงงไม่น้อย ในอดีตตอนทิวาทิพย์คบหากับปรินทร์ บุหงันให้ความรักและเอ็นดูไม่น้อย หลังจากทั้งคู่เลิกกัน บุหงันยังบ่นว่าเสียดายที่ไม่ได้ทิวาทิพย์เป็นหลานสะใภ้ แล้วพอทิวาทิพย์ย่างเท้าเข้ามาในบ้านหลังนี้เป็นวันแรกในรอบสี่ปี นางดีใจที่ได้เจอทิพวาทิพย์ ถามสารทุกข์สุกดิบยกใหญ่ และอีกหลายครั้งที่ทิวาทิพย์มาบ้าน บุหงันก็พูดคุยด้วยดีมาตลอด จะมีวันนี้ที่ทำต่างออกไป ทุกคนจึงงุนงงและสงสัย
“คุณย่าไม่พอใจอะไรเปิ้ลหรือเปล่าคะ หรือไม่ก็อาจเข้าใจผิดถึงได้พูดแบบนี้ เปิ้ลไม่เคยคิดทำอย่างที่คุณย่าพูดมาเลยนะคะ เปิ้ลกับโดมเป็นเพื่อนกันค่ะ” ทิวาทิพย์แก้ตัว ปากก็บอกว่าไม่ได้คิดอะไร ทว่าในใจตรงกันข้าม
“ใช่ครับ ผมกับเปิ้ลเป็นเพื่อนกัน คุณย่าคิดอะไรไปไกลได้ไงก็ไม่รู้”
แม้ว่าไฟรักที่มีต่อทิวาทิพย์จะดับมอดไปแล้ว แต่เขาก็ยอมรับว่า เมื่อได้เจอเธอในงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดยุรนันท์ ถ่านไฟเก่าเหมือนจะคุขึ้นมาไม่รู้ตัว เขาพยายามจะดับไฟนั้น ตระหนักในใจว่า มีพราวฟ้าเป็นภรรยาอยู่แล้ว ทว่ามันก็ยาก เพราะเขากับทิวาทิพย์คบหากันนาน และมีความสัมพันธ์ทางกายนานหลายปี เวลานี้จึงคล้ายกับว่า มีแม่เหล็กระหว่างเขากับเธอก็ว่าได้
“คุณย่าเป็นผู้ใหญ่ที่สุดในห้องนี้ ท่านอาบน้ำร้อนมาก่อนนะ ท่านอาจจะมองอะไรออกก็ได้” เสียงนี้เป็นของยุรนันท์ ที่ทุกคนหันมองหน้า “ถ้าไม่ได้คิดอะไรกันจริงก็ไม่ต้องสนใจคำพูดคุณย่าสิ ทำให้คุณย่าเห็นว่า นายกับเปิ้ลไม่ได้คิดเกินมากกว่าเพื่อน”
ยุรนันท์เป็นเพื่อนสนิทปรินทร์มานานยี่สิบปี พูดได้ว่าคบเป็นเพื่อนก่อนที่ปรินทร์จะคบหาทิวาทิพย์เป็นคนรัก เขารู้ดีว่า เวลานี้ลมพัดหวนกำลังเกิดขึ้นกับปรินทร์
ปรินทร์กับทิวาทิพย์มองหน้าคนพูด ทั้งสองเหมือนร้อนตัว แต่ก็ไม่พูดอะไร ได้แต่นิ่งเงียบราวกับพูดไม่ออกที่ถูกดักทาง ปุริมกับอรุณไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน เพราะทั้งคู่อยากได้ทิวาทิพย์เป็นลูกสะใภ้มากกว่าพราวฟ้า หญิงสาวที่ไม่มีหัวนอนปลายตีน ไม่มีอะไรเหมาะสมกับปรินทร์สักอย่าง
โดยเฉพาะอรุณ ความตั้งใจของนางต้องสำเร็จ ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องใช้กลอุบาย เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ
นางจะเฉดหัวพราวฟ้าออกจากชีวิตปรินทร์ให้ได้...
Chapter 41“แล้วเธอไม่นึกถึงใจโดมบ้างหรือไง โดมเป็นลูกเธอนะ เธอทนเห็นลูกชายเจ็บปวด เสียใจอย่างนี้ได้เหรอ ใจเธอแข็งมากเลยนะอรุณ” บุหงันเสียงเรียบ “บ้านหลังนี้เมื่อก่อนมีรอยยิ้ม มีเสียงหัวเราะและมีความสุข แต่เธอดูตอนนี้สิว่า มันมีที่ฉันพูดไหม ไม่เลย ไม่มีเลย ทุกคนไปตามทางของตัวเอง ไม่มีจุดศูนย์รวมเหมือนก่อน เธอไม่คิดหรือว่า มันเป็นความผิดของเธอ ผิดที่เธอยึดมั่นถือมั่นในความคิดตัวเอง ไม่เปิดใจยอมรับทราย”“อย่างที่เคยบอกคุณแม่ไปค่ะว่า เวลาจะทำให้โดมดีขึ้นเอง” อรุณตอบเหมือนไม่แคร์ความรู้สึกใครทั้งนั้น “คุณแม่พูดเหมือนอรุณผิด อรุณจะผิดได้ไงคะ ในเมื่ออรุณอยู่บ้านหลังนี้มาก่อนมัน มันซะอีกที่เข้ามาทำลายความสุขของอรุณ ทำให้อรุณเกลียดมัน เรื่องมันเป็นแบบนี้ ความผิดก็ต้องอยู่ที่มัน ไม่ใช่อรุณ”“เธอนี่ทิฐิแรงมากเลยนะ ฉันไม่คิดเลยว่า เธอจะเป็นคนแบบนี้ ฉันไม่เชื่อหรอกว่า เวลาจะทำให้โดมดีขึ้น เพราะเวลาก็เยียวยาบางเรื่องไม่ได้” บุหงันคร้านจะพูดอะไรต่อ อรุณถลำลึกยากเกินเยียวยา ความเกลียดชังในจิตใจบดบังความถูกผิด และสามัญสำนึกของคำว่าแม่ “ระวังนะอรุณ ระวังความเกลียดชัง ความไม่นึกถึงใครจะย้อนเข้าหาตัวเธอ
Chapter 40หนึ่งปีต่อมา บ้านศรุตจันทร์ที่เคยมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะเวลานี้แทบไม่มีเลย กลับมีแต่ความห่างเหินจนเรียกไม่ได้ว่าเป็นครอบครัว ความสัมพันธ์ระหว่างปุริมกับอรุณที่ดูเหมือนว่าปกติ แต่ไม่มีใครรู้ว่า ปุริมเบื่อหน่ายอรุณมาก ที่นับวันจะยิ่งเอาแต่ใจ ยึดความคิดตัวเองเป็นหลักโดยไม่สนใจความรู้สึกของใคร แม้แต่ลูกชายตัวเอง อรุณรู้ทั้งรู้ว่า ปรินทร์รักและตามหาพราวฟ้ามาตลอดหนึ่งปีหกเดือน รู้ว่าปรินทร์ไม่มีวันเปลี่ยนใจรักใคร หรือปลงใจกับหญิงสาวคนใด ทว่าอรุณก็ยังหาลูกคุณหญิงคุณนายหรือลูกหลานคนมีชื่อเสียงมาทำความรู้จักกับปรินทร์เสมอ แม้ว่าปรินทร์จะแสดงออกทันทีว่าไม่สนใจ แต่คนเป็นแม่ก็เหมือนอยากเอาชนะ ไม่ยอมแพ้ พาหญิงสาวมาให้ลูกชายดูตัวเสมอ ยิ่งลูกไม่ยอม นางยิ่งทำมากขึ้น ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกไม่เหมือนเดิม ปรินทร์ตัดสินใจไปอยู่คอนโดอย่างถาวรเพื่อไม่ให้ตนเองปะทะกับอรุณ เป็นการเลี่ยงไปในที ทว่าอรุณก็ไม่ยอม ไปหาลูกชายที่ห้องชุดบ้าง ที่ทำงานบ้าง โวยวายยกใหญ่ก่อนลงเอยที่การทะเลาะ คำพูดของอรุณทำให้ปรินทร์ถึงกับกุมขมับ และเป็นทุกข์ “แกรักทราย
Chapter 39 “ถ้ามันอยากให้ทรายกลับมาเป็นเมียอีกครั้ง มันต้องตัดสินใจและทำอะไรสักอย่าง ให้คนสองคนอยู่ข้างกายมันได้โดยไม่มีผลกระทบไปที่ใครคนใดคนหนึ่ง แต่ถ้ามันไม่ทำ ชาตินี้ทั้งชาติมันไม่มีความสุขแน่นอน” ยุรนันท์รู้ว่าเป็นเรื่องยาก แต่ปรินทร์ต้องทำให้ได้ ต้องคิดหาทางออกด้วยตัวเอง “มันเป็นอย่างนี้จะหาทางออกได้ไง เลิกงานปุ๊บมานั่งเฝ้าผับปั๊บ แดกเหล้าอย่างกับน้ำ กูกลัวมันจะเป็นตับแข็งก่อนเจอทรายน่ะสิ” ดลภพเป็นห่วงปรินทร์มาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากให้กำลังใจ “มันเลือกเอง เลือกที่จะพูดไม่ดีกับทราย เลือกให้เปิ้ลเข้ามาอยู่ในบ้าน มันก็ต้องยอมรับผลของการกระทำของตัวเอง” ไม่มีคำพูดใดของยุรนันท์ที่ผิด เขาพูดถูกทุกคำ “ทรายอยู่หน่ายยยย...พี่คิดถึงทราย...พี่ร๊ากกกทราย...พี่ขอโทษ...กลับมาพี่...กลับมาหาพี่...ฮือ” ปรินทร์รำพึงรำพันถึงพราวฟ้าตบท้ายด้วยการร้องไห้...เหมือนคนใจจะขาด ยุรนันท์กับดลภพมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกสมเพชและสงสาร เพื่อนของพวกเขาทำตัวเองทั้งนั้นในความมืดท่ามกลางราตรีกาล อรุณนอนไม่หลับ สมองนางนึกถึงทิวาทิพย์ หญิงสาวที่นางมอบความร
Chapter 38ตามที่บุหงันพูดก่อนหน้านี้ นางไม่ใช่คนโง่และมีเส้นสายอยู่มาก ทุกเรื่องที่ทิวาทิพย์ทำนางรู้หมด แต่ที่ไม่พูดเพราะต้องการหลักฐานเรื่องการเป็นภรรยาน้อยเศรษฐีก่อน ทิวาทิพย์จะได้ไม่มีข้อแก้ตัว คนที่บอกเรื่องนี้ให้นางรู้ เป็นคนใกล้ตัวทิวาทิพย์ คนที่เธอไม่มีวันสงสัย และไม่รู้ตัวว่า กำลังถูกเพื่อนคนนี้หักหลังเพียงเพราะต้องการเงิน บุหงันหน้าชามากขึ้น ความตกใจเกิดขึ้นกับนางซ้าๆ ในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที ซึ่งยังไม่หมด บุหงันยังมีคำพูดมากมายกับลูกสะใภ้“ฉันไม่ชอบเธอ อยากให้ปุ๊มีเมียที่ดีกว่านี้ สมฐานะกัน แต่เมื่อปุ๊เลือกเธอเป็นเมีย ฉันก็ไม่ห้ามเพราะเคารพการตัดสินใจของลูก เมื่อฉันนิ่งเฉยปล่อยให้มันเป็นไปตามกลไก บ้านก็สงบสุข เธอต่างหากที่ทำให้บ้านหลังนี้ลุกเป็นไฟ ทำตัวต่ำ เปิดเผยตัวตนออกมา แล้วเธอก็ยังไม่รู้สำนึกว่า เรื่องที่ตัวเองทำลงไปผิดหรือไม่ ทำให้โดมเสียใจจนไม่เป็นผู้เป็นคน เธอนึกถึงแต่ตัวเอง นึกถึงความพอใจ นึกถึงหน้าตาเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิต” บุหงันมองลูกสะใภ้นิ่ง ก่อนพูดต่อ “เธอคงเห็นผลของการกระทำของตัวเองแล้วนะ โดมเสียใจที่ทรายจากไป เจ็บปวดที่เลือกทำตามคำสั่งแม่ที่บังคับโน่น
Chapter 37“นี่แม่อรุณ เธอจะพูดให้ตัวเองดูโง่ทำไม เรื่องที่มันเกิดขึ้นทั้งหมดเพราะเธอนั่นแหละตัวดี มองเห็นก้อนกรวดเป็นเพชร มองเห็นเพชรเป็นเม็ดทรายไม่มีค่า เป็นไงล่ะ รู้ด้วยตัวเองแบบนี้สะอึกไหม ฉันไม่อยากด่าว่าเธอหรอกนะ ด่าว่าโง่เหมือนควายยังสงสารควาย” บุหงันได้ทีว่าลูกสะใภ้ “ไม่พอนะ ยังโง่ให้เปิ้ลหลอกให้ซื้อของอีกตั้งเท่าไหร่ อย่างนี้จะเรียกว่าโง่คงไม่ได้ และที่สำคัญที่สุด เปิ้ลหลอกให้เธอซื้อรถให้ราคาสามสิบล้านกว่า เธอก็ยังซื้อให้ โง่แล้วโง่อีก โง่ซ้ำโง่ซาก โง่อย่างนี้ไงล่ะถึงถูกเปิ้ลหลอก”คนถูกว่าหน้าเศร้าลง เถียงไม่ออก คำพูดมันจุกในลำคอ เหมือนยอมรับว่าตัวเองโง่ เจ็บใจที่ตัวเองถูกหลอก ทว่าคำต่อว่าของบุหงันดูน้อยลง เมื่อทิวาทิพย์ตอกย้ำความโง่แบบจมดิน“แต่ก็จะมาโทษเปิ้ลคนเดียวไม่ได้นะคะ คุณแม่โง่เอง เปิ้ลพูดอะไรก็เชื่อหมด แถมยังเป็นคนคิดแผนให้เปิ้ลกับโดมจัดฉากว่ามีอะไรกันเพื่อให้นังทรายทนไม่ได้ เป็นฝ่ายไปจากโดมเอง สุดท้ายมันก็ไปจริงๆ ก็ถือว่าเปิ้ลทำคุณประโยชน์ให้คุณแม่นะคะ เพราะถ้าไม่มีเปิ้ล คุณแม่คงจะต้องทนเห็นหน้านังทรายต่อไป” ทิวาทิพย์ลอยหน้าลอยตาพูด “ส่วนเรื่องของต่างๆ ที่คุณแม่ซื้
Chapter 36“ผับกว่าจะลงตัวมันต้องใช้เวลาค่ะคุณแม่ แค่เดือนเดียวไม่ได้หรอกค่ะ อย่างน้อยๆ ก็ต้องสามสี่เดือน เอาไว้ลงตัวจริงๆ เปิ้ลจะห่างๆ ก็แล้วกันค่ะ” ทิวาทิพย์ตอบกลับ “ส่วนเรื่องถูกนินทา คนอื่นจะนินทาเปิ้ลได้ไงคะ เปิ้ลไปช่วยงานเพื่อน ไม่ได้ไปเที่ยวสักหน่อย”“แน่ใจเหรอว่าไปช่วยงานเพื่อน” บุหงันเอ่ยขึ้น คันปากยิบๆ “เพื่อนเธอไม่มีผู้จัดการผับหรือไงถึงได้ไปช่วย ปกติน่าจะมีนะ ขนาดผับบาร์เล็กๆ ยังมีผู้จัดการคอยดูแลเลย”ทิวาทิพย์รู้ได้ทันทีว่า บุหงันตั้งใจหาเรื่อง ความเบื่อที่มีมากกับความอดทนที่ลดลงทุกวัน ส่งผลให้เธอโต้เถียงกลับ ทว่าก็ไม่ได้ใช้ถ้อยคำรุนแรง“มีค่ะ แต่เปิ้ลอยากไปช่วยเพื่อนค่ะ”“เปิ้ลเป็นคนดีไงคะคุณแม่ มีน้ำใจช่วยเพื่อน” อรุณพูดเสริม“ฉันให้เธอเตือนเปิ้ลนะ ไม่ได้พูดเข้าข้าง สมองเสื่อมหรือไง” แม่ผัวสวนกลับลูกสะใภ้“แม่เข้าใจนะที่เปิ้ลไปช่วยเพื่อน แต่เว้นๆ หน่อยก็ดีนะลูก คุณย่าเป็นห่วง ไม่อยากให้ใครมานินทาว่าร้ายเปิ้ล มันจะส่งผลถึงแม่ด้วย” อรุณทำตัวเป็นลมเปลี่ยนทิศ อบรมทิวาทิพย์พอเป็นพิธี เพื่อไม่ให้แม่สามีสาดลูกกระทบใส่ “หันมาเอาใจโดมก็ดีนะลูก เอาอกเอาใจโดม โดมจะได้สนใจ”“โอ๊ยคุ







