ทางด้านจวนเสนาบดีกรมการคลังเวลาล่วงเลยมากว่าสัปดาห์แล้ว ตามกำหนดที่บุตรสาวของเขาเคยบอกไว้ อาการของนางยิ่งทรุดหนักลง ไม่ว่าตามหาหมอจากที่ใดก็ไม่สามารถรักษาได้หม่าฉินเหยานอนงอตัวอยู่บนเตียง ร่างกายซูบผอมจนไม่เหลือเค้าโครงของหญิงงามผู้เคยเป็นที่เลื่องลือ ยิ่งไปกว่านั้น ท่านฉิงอ๋องยังประกาศถอนหมั้นไปแล้ว แม้บิดามารดาจะพยายามตามหาหมอมาเยียวยา แต่แม้แต่หมอหลวงก็ทำได้เพียงบรรเทาอาการเท่านั้น จนถึงตอนนี้ ต่อให้ใช้ยาใดรักษา อาการของนางก็ไม่อาจทุเลาได้อีกหม่าฉินเหยานอนจ้องเพดาน สายตาเหม่อลอย นางคิดถึงวันที่ได้พบกับหญิงผู้นั้น... ถ้าหากวันนั้นนางไม่คิดจะทำร้ายอีกฝ่าย ป่านนี้นางอาจไม่ต้องทนทรมานถึงเพียงนี้‘ทำไมข้าต้องมาเผชิญชะตากรรมเลวร้ายเช่นนี้ด้วย?’สายตาของนางเหลือบไปเห็นบิดามารดาที่ยืนอยู่ข้างเตียง บนใบหน้าของทั้งสองเต็มไปด้วยคราบน้ำตา นางรู้สึกเวทนาตัวเองยิ่งนัก นางไม่อยากตายเช่นนี้! ถ้าหมอหญิงนั่นยอมรักษานาง ป่านนี้นางคงได้แต่งงานกับฉิงอ๋องไปแล้ว! ทุกอย่างเป็นเพราะนาง!“ท่านพ่อ... หากลูกเป็นอะไรไป ท่านต้องตามหาหญิงผู้นั้นมาให้ได้! ต้องให้นางเอาเลือดมาล้างหลุมศพของลูก!” หม่าฉินเหยากล่าว
“ใครอยู่หน้าห้อง?” หยางฉิงร้องถามหลี่เซิงได้ยินจึงรีบตอบ “ข้าเอง...หลี่เซิง”นางขมวดคิ้ว ‘หลี่เซิงมาเคาะประตูห้องนางทำไม? หรือว่าเขาต้องการความช่วยเหลือ?’ ด้วยความสงสัย นางจึงเดินไปเปิดประตู แล้วพบเขายืนอยู่หน้าห้องในสภาพที่อุ้มหมอนกับผ้าห่มไว้แนบอก พร้อมกับทำสีหน้าสงสารเต็มที่“ท่านเป็นอะไร? มาเคาะห้องข้าทำไม?” นางถามพลางขมวดคิ้วหลี่เซิงไม่ได้คิดหาข้ออ้างมาก่อน จึงตอบออกไปตามที่ใจคิด “ข้าฝันร้ายมาก... ข้าขอนอนกับเจ้าได้หรือไม่?” เขาพูดพร้อมทำสีหน้าหวาดกลัวหยางฉิงสังเกตสีหน้าของเขา ดูแล้วเหมือนจะกลัวจริง ๆ หรือว่าเขาฝันร้ายมากจนไม่กล้านอนคนเดียว? นางหันไปมองเตียงของตน ซึ่งกว้างขวางพอจะแบ่งให้อีกคนได้ ‘แต่ก่อนเขาก็นอนอยู่ห้องนั้นมาตั้งนาน...’ นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งหลี่เซิงมองสีหน้าของหยางฉิงที่เปลี่ยนไปมา จึงเพิ่มความน่าสงสารเข้าไปอีก “เมื่อก่อนข้านอนได้ แต่ตอนนี้ไม่รู้เป็นอะไร... ข้ารู้สึกแปลก ๆ ถ้ามีเจ้านอนอยู่ด้วย ข้าคงหลับได้สนิท” เขาก้มหน้าลง ซ่อนสายตาหลุกหลิก“...ก็ได้ ที่นอนของข้ากว้าง ท่านเข้ามานอนเถอะ” นางตอบในที่สุด ‘เขาเป็นสามีของข้า การนอนด้วยกันก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร’
นางเคยคิดจะทำพะโล้ให้หลี่เซิงกินสักครั้ง แต่เพราะตนเองทำอาหารไม่เก่งนัก นางจึงยังลังเลอยู่ แต่ก็น่าแปลก... ไม่ว่านางจะทำอะไรให้เขากิน เขาก็ดูจะกินได้อย่างเอร็ดอร่อยทุกครั้ง ทำให้นางไม่รู้สึกกดดันมากนัก“หยางฉิง ข้ากลับมาแล้ว!” เขามองเห็นควันไฟลอยขึ้นมาจากในบ้าน นางต้องทำอาหารอยู่แน่เสียงของหลี่เซิงดังขึ้นจากหน้าบ้าน หยางฉิงเดินออกไปดู ‘เขาน่าจะกลับมาจากการล่าสัตว์แล้ว’หลี่เซิงนำไก่ที่จับมาได้ไปปล่อยไว้ที่เล้าเก่าหลังบ้าน กั้นคอกเอาไว้ไม่ให้มันออกมากินผักผลไม้ของภรรยาหยางฉิงเดินออกมาจากครัว เมื่อเห็นเขา นางก็รับไก่ที่ตายไปแล้วสองตัวจากมือเขามาเก็บไว้ในครัว“ท่านได้อะไรมาบ้างหรือ?” นางถามพลางยกน้ำมาให้เขาดื่ม“วันนี้ข้าเข้าป่า เอาแม่ไก่กลับมาให้เจ้าเลี้ยงสามตัว ส่วนตัวที่ตายแล้ว เอามาให้เจ้าทำอาหารสองตัว” เขาพูดพลางยื่นของที่เก็บมาให้ “ข้ายังเจอต้นไม้ที่มีกลิ่นเหมือนกับสิ่งเผ็ด ๆ ที่เจ้าให้ข้ากิน ข้าจึงถอนรากของมันมาให้เจ้า และของที่เจ้าให้หลี่อี้หาให้ ข้าก็เอามาด้วยทั้งหมด”หยางฉิงรับของมา นางเห็นว่าหนึ่งในนั้นคือต้นพริก และอีกอย่างคือลูกมะพร้าวสองลูก แม้ขนาดจะไม่ใหญ่มาก แต่ก็ดูสมบู
หลี่ชวนได้ยินทุกคำพูดของน้องชาย เขาหยุดนิ่งอยู่กับที่ครู่หนึ่ง ก่อนจะคิดถึงลูกชายที่ผอมแห้ง ภรรยาที่ร่างกายซูบซีด ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความทุกข์ แม้จะต้องก้มหน้าก้มตาทำงานหนักและถูกตำหนิเพียงใด นางก็ไม่เคยโต้ตอบ มีเพียงลูกชายของเขาเท่านั้นที่กล้าพูดออกมา เด็กน้อยไม่ยอมถูกเอาเปรียบ แต่เมื่อต้องเจอกับความอยุติธรรม เขาก็ไม่อาจช่วยเหลือลูกได้เลย...หลี่เซิงเดินมุ่งหน้าไปยังบ้านผู้ใหญ่บ้าน ระหว่างทางต้องผ่านใต้ต้นไม้ใหญ่ ซึ่งเป็นจุดที่หญิงชาวบ้านมักมาจับกลุ่มพูดคุยกัน ภรรยาของผู้ใหญ่บ้านก็อยู่ในกลุ่มนั้นด้วย เขาสังเกตเห็นชาวบ้านสามถึงสี่คนกำลังสนทนากันอยู่ แต่ไม่ได้สนใจนัก จึงเร่งฝีเท้าเดินต่อไปหญิงชาวบ้านที่นั่งพักผ่อนใต้ร่มไม้ใหญ่ มองเห็นชายหนุ่มเดินผ่านมา พวกนางแปลกใจไม่น้อย เพราะชายผู้นี้คือหลี่เซิง ผู้ที่เคยนอนติดเตียงใกล้ตายเมื่อสองเดือนก่อน“นั่นหลี่เซิงไม่ใช่หรือ? ลูกชายของเจ้าหรือเปล่า จางเฟิง?” หนานจือเอ่ยถาม พลางเหลือบมองใบหน้าของจางเฟิง“ใช่ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้า? ข้าตัดขาดกับมันไปนานแล้ว” จางเฟิงตอบเสียงเย็นชา ไม่ต้องการพูดถึงลูกชายคนนี้อีก“เจ้าไม่เสียดายหรืออย่างไร? ดูเห
“ถ้าอย่างนั้นก็ให้คนไปตามหาหมอที่รู้จักโรคที่ลูกบอกไว้ก่อนครบเจ็ดวัน เมื่อถึงตอนนั้นไม่ว่าจะพบหญิงผู้นั้นหรือไม่ ก็ไม่สำคัญอะไรแล้ว ถ้าลูกอยากจับตายนางก็ได้เช่นกัน” แม้เขาจะเป็นคนมีศิลธรรม แต่ถ้ามีใครมาทำร้ายลูกสาว เขาก็ไม่ปล่อยมันไป ไม่ว่าจะเป็นใครมาจากไหน หรือแม้แต่ผีสางนางไม้ก็เถอะหม่าฉินเหยาตาของนางเบิกกว้างอย่างคนที่เห็นความหวัง ริมฝีปากสวยคลี่ยิ้มออกบางๆ ‘อย่างที่ท่านพ่อบอก หญิงผู้นั้นก็ไม่ได้มีความสำคัญอะไรอีกแล้ว’ นางเช็ดน้ำตาและเริ่มให้คนออกตามหาหมอที่รักษาโรคตามชื่อที่นางบอกไป พร้อมทั้งสัญญาว่าจะมีรางวัลให้กับผู้ที่พบหมอคนนั้นหลี่เซิงเดินไปตามเส้นทางที่คุ้นเคยตั้งแต่จำความได้ เขาเดินลัดเลาะไปตามลำธารจนมาถึงบ้านของท่านลุงหลี่เสี่ย เมื่อมาถึงหน้ารั้วบ้านซึ่งสูงเพียงระดับเอวของเขา เขายืนมองเข้าไปภายในลานกว้าง เห็นท่านลุงหลี่เสี่ยกำลังนั่งทำงานอยู่ ไม่เพียงแต่ท่านลุงเท่านั้น เขายังมองเห็นคนงานชายอีกสองถึงสามคนที่กำลังช่วยกันทำงานอยู่หลี่เซิงเอ่ยเรียกจากหน้าบ้าน “ท่านลุงหลี่เสี่ย ข้าหลี่เซิงเอง”หลี่เสี่ย ซึ่งช่วงนี้ยุ่งมากกว่าปกติ ตั้งแต่วันที่ภรรยาของหลี่เซิงมาขอให้เขาช่วยทำ
“ดีแล้วที่ท่านหายดี ข้าดีใจด้วย” นางยิ้มให้เขา แต่แล้วก็ต้องรีบพูดต่อ“แต่ตอนนี้... ท่านปล่อยข้าก่อนได้หรือไม่? ท่านกอดข้าแน่นเกินไปแล้ว” พูดพลางใช้มือดันตัวเขาออกเบา ๆหลี่เซิงเพิ่งรู้สึกตัว ‘นี่ข้าลืมตัวจนเผลอกอดนางไปหรือ?’“ข้าไม่ได้ตั้งใจ” เขาคลายอ้อมกอดออกอย่างไม่เต็มใจนัก เพราะความรู้สึกที่ได้กอดนางนั้นช่างดีเหลือเกินหยางฉิงหน้าแดงขึ้นทันทีเมื่อนึกถึงอ้อมกอดของเขา เธอกระแอมไอเบา ๆ เพื่อเรียกสติของตัวเองกลับมา ก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่อง“ท่านหายดีแล้วก็ดี แล้วตอนนี้ท่านหิวข้าวหรือไม่?”“ข้าเพิ่งตื่น ยังไม่ได้กินอะไรเลย” หลี่เซิงตอบ ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้“ในเมื่อข้าหายดีแล้ว ข้าจะไปหาท่านน้าหลี่เสี่ยเพื่อพูดคุยเรื่องสร้างรั้วบ้านให้เจ้า ต่อไปนี้ ข้าจะช่วยเจ้าทำทุกอย่างเอง” เขายิ้มให้เธอด้วยความตั้งใจ“อืม... ท่านไปบอกเขาแทนข้าก็ได้” นางยิ้มให้เขาอย่างเอ็นดู ก่อนจะเสริมต่อ“แต่ก่อนอื่น ท่านเข้าไปกินข้าวก่อนเถอะ ข้าทำไว้ให้ในครัวแล้ว” เห็นเขามีความสุข นางก็ไม่อยากขัดใจหลี่เซิงมองหยางฉิงอีกครั้ง ก่อนจะยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อที่เกาะอยู่บนใบหน้าของนางออก ตอนนี้เขาอยากทำทุกอย่างเพื่อตอบแทนนา
เมื่อเห็นหลี่เซิงเดินเข้ามา หยางฉิงก็ร้องเรียกเขาอย่างดีใจ “หลี่เซิง ข้ากลับมาแล้ว ท่านรอข้านานหรือไม่?”นางเปิดประตูรั้วแล้วเดินเข้าไปหาเขา ทว่าใบหน้าของเขากลับดูเคร่งขรึมผิดปกติ‘อุ้ย... ทำไมเขาทำหน้าดุเช่นนี้กัน?’หยางฉิงก้มหน้าลงอย่างสำนึกผิด แม้นางจะกลับมาตามเวลา แต่ท่าทางของเขาก็ทำให้นางอดรู้สึกผิดไม่ได้หลี่เซิงมองหยางฉิงที่วิ่งเข้ามาหาเขาด้วยรอยยิ้มสดใส ไม่ได้ดูเป็นกังวลเหมือนที่เขาเป็นเลย คงมีเพียงเขาเท่านั้นที่ห่วงนางอยู่ฝ่ายเดียววันนี้ ตอนที่นางเข้าไปขายของ เขาแทบไม่ละสายตาจากหน้ารั้วบ้าน เขาทั้งคิดถึงและเป็นห่วงนางมากจริง ๆ“เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง วันนี้มีใครมารังแกเจ้าหรือไม่” เขาเปลี่ยนเรื่องถามขึ้นหยางฉิงเงยหน้าขึ้นมอง เมื่อเห็นว่าหลี่เซิงเริ่มอารมณ์ดีขึ้นแล้ว นางจึงยิ้มกว้างก่อนจะเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่พบเจอในวันนี้ให้เขาฟังเมื่อพูดถึงเรื่องขายของ นางก็ถูกหลี่เซิงดุเรื่องขายของถูกเกินไป ความจริงแล้วนางก็คิดว่าขายถูกจริง แต่นางมีแผนการของตัวเองอยู่ ครั้งหน้าหากนำผลไม้อย่างอื่นไปขาย นางก็จะไม่ตั้งราคาถูกเช่นนี้อีกแล้ว“ทำไมท่านไม่นั่งรอในบ้านล่ะ แล้วท่านกินข้าวหรือยัง” นา
หม่าฉินเหยาได้ยินเช่นนั้น นางจึงร้องออกมาด้วยความโมโห หน้าตาของนางบิดเบี้ยวด้วยความแค้น “จับมันมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!” เสียงร้องโวยวายเรียกให้ผู้คนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมต่างวิ่งเข้ามาดูหยางฉิงใช้จังหวะที่ผู้คุ้มกันวิ่งเข้ามา นางหลบไปด้านหลังฉากกั้น แล้วก็เข้าไปในมิติทันทีผู้คุ้มกันใช้ดาบยาวฟันฉากกั้นนั้นขาดออกจากกัน พวกเขาต่างเห็นว่าผู้หญิงนางนั้นเข้ามาหลบในนี้ แต่ตอนนี้ไม่มีใครเลยสักคนเดียว พวกเขาต่างตื่นตกใจกับภาพที่พบเห็น“พวกเจ้าทำอะไร? รีบจับตัวของมันมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!” หม่าฉินเหยามองไปทางฉากกั้นด้วยความตกใจเช่นกัน นางเริ่มสงสัยว่านางอาจไปล่วงเกินใครบางคนแล้ว ใจของนางทั้งเป็นกังวลและกลัวผู้คุ้มกันทั้งห้าต่างหาในห้องพักโรงเตี๊ยมที่หญิงคนนั้นหายไปจนทั่วก็ไม่พบเจอสิ่งใด เมื่อเห็นคนเริ่มเข้ามามากขึ้น เพื่อไม่ให้เสื่อมเสียชื่อเสียงของคุณหนู พวกเขาจึงต้องส่งคุณหนูและบ่าวรับใช้กลับจวนไปเสียก่อนก่อนกลับจวน หม่าฉินเหยาสั่งให้คนของนางตามหาหญิงคนนั้นให้พบให้ได้ แต่ห้ามฆ่าหญิงคนนั้นเด็ดขาด ถ้าเป็นอย่างที่นางพูดจริง ภายในอีกเจ็ดวัน นางต้องกลับมาทรมานกับอาการปวดที่เป็นอยู่อีกครั้ง นางไม่น่าทำผิดพล
คุณหนูกับบ่าวรับใช้ต่างมองหน้ากันและเดินเข้าไปในโรงเตี้ยมจันทร์หยก เสี่ยวเอ้อร์ออกมาต้อนรับที่หน้าประตู“คุณหนูหม่าห้องส่วนตัวที่ท่านจองไว้ เชิญทางนี้ขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์โค้งตัวและเดินนำคุณหนูหม่าฉินเหยาเข้าไปที่ห้องส่วนตัว เขาเห็นคุณหนูนั่งลงแล้วจึงเอ่ยถามออกไป“คุณหนูหม่าจะรับอาหารเลยหรือไม่ขอรับ?” เขายืนก้มหน้ารอฟังคำสั่งของคุณหนูหม่าอย่างตั้งใจหม่าฉินเหยานั่งลงตรงที่ประจำ ส่วนทั้งสองคนยังยืนอยู่ด้านข้าง “ข้าเอาอาหารขึ้นชื่อของที่นี่มาห้าอย่าง”“ได้ขอรับ คุณหนู” เสี่ยวเอ้อร์รับคำสั่งแล้วรีบเดินออกไปสั่งอาหารตามที่คุณหนูต้องการหยางฉิงยืนรออยู่เงียบ ๆ ไม่มีใครพูดอะไรในห้องนั้น เธอจึงไม่พูดอะไรเช่นกัน รอไม่นานนัก อาหารก็ถูกนำเข้ามาวางบนโต๊ะ ดูน่ากิน ‘ข้าก็เริ่มหิวแล้วสิ ยังไม่ได้กินอะไรเลยนี่น่า’ หยางฉิงคิดกับตัวเองหม่าฉินเหยาเมื่อเห็นว่าไม่มีใครเข้ามากวนใจนางแล้ว ก็หันไปมองทางหญิงแปลกหน้าที่อ้างตัวว่าเป็นหมอ อาการปวดที่นางเป็นเริ่มกลับมาเจ็บปวดอีกครั้ง “เจ้าเข้ามานั่งใกล้ ๆ ข้า ให้ข้ามองหน้าเจ้าให้ชัด”หยางฉิงได้ยินเช่นนั้น จึงปฏิเสธออกไป “ข้าคงให้ท่านดูหน้าของข้าไม่ได้ แต่ถ้าท่านไ