หลังจากซูหนี่ห์ร่างกายหายดีแล้ว ซูเจียวก็ได้เขียนจดหมายส่งข่าวไปบอกบิดาล่วงหน้า ว่านางและบุตรสาวจะออกเดินทางไปเยี่ยมเยื่อน และอาจจะต้องพักอาศัยอยู่ด้วยซักระยะ ซูเจียวคิดว่านานมากแล้วที่ไม่ค่อยได้พบปะกับบิดามารดา ถือว่าเอาโอกาสนี้อยู่นานชักหน่อย เพราะหากรีบกลับบิดามารดาคงยังไม่หายคิดถึงหลานสาวเป็นแน่ ตั้งแต่ซูหนี่ว์เกิดมาบิดามารดานาง ก็แวะมาเยี่ยมเยี่ยนบ้างเป็นครั้งคราว หากได้เดินทางมาติดต่อค้าขายแถบนี้ ครานี้อยู่ให้นานหน่อยชดเชยช่วงวันเวลาที่ห่างหายไป ซูเจียวคิดว่าหากมีใครถามถึงบิดาของซูหนี่ห์ นางจะตอบไปว่าเสียชีวิตไปแล้ว เพราะความจริงนางก็ไม่รู้จริงๆมาบุรุษผู้นั้นเป็นใคร อีกอย่างนางก็ทำใจยอมรับคำติฉินเอาไว้แล้ว
การเดินทางใช้เวลาอยู่5วัน เพราะซูเจียวไม่อย่างเร่งรีบมากนัก นางอยากปล่อยให้บุตรสาวได้ชื่นชมธรรมชาติข้างทาง และบางครั้งก็ยังจอดแวะดูร้านขายของข้างทาง ซึ่งซูหนี่ว์ก็ดูจะตื่นเต้นและสนุกสนานเป็นอย่างมาก ซูเจียวสังเกตุว่าตั้งแต่หายป่วย ซูหนี่ห์ดูร่าเริงแจ่มใสมากกว่าแต่ก่อน แถมพูดจาประจบประแจงออดอ้อนอย่างน่ารัก จนซูเจียวบางครั้งคิดไปว่านางเปลี่ยนไปอย่างกับคนละคน แต่ก็สลัดความคิดนั้นออกไปนางเป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว นางชอบที่บุตรสาวเป็นแบบนี้มากกว่า
พอเข้าเขตเมืองหลวง ซูหนี่ว์ก็รีบชะโงกหน้าออกมามองกำแพงที่สูงลิบของประตูเมือง ตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่เห็น ดูซีรีย์มาก็เยอะพอเห็นของจริงก็อดจะตื่นเต้นไม่ได้
พอแลกใบผ่านทางคนเข้าเมืองเรียบร้อย รถม้าก็เริ่มเคลื่อนตัวเข้าไปยังประตูเมือง ซูเจียวแอบยิ้มกับกิริยาท่าทางของบุตรสาว เห็นทีคงต้องพานางกลับมาเยี่ยม ท่านตาท่านยายบ่อยๆเสียแล้ว
“หนี่ว์เอ่อร เข้าเขตเมืองหลวงแล้ว อีกไม่นานก็จะถึงจวนของท่านตาของเจ้าแล้วละ เจ้าเอาหัวของเจ้ากลับเข้ามาในรถม้าเถอะ”
“ท่านแม่ข้าขอดูอีกหน่อย”นางตอบแต่ไม่ได้ดึงหัวกลับเข้าไปแต่อย่างใด
“หากว่าเจ้าอยากออกมาเดินเที่ยวดูเล่น วันหลังแม่จะพาเจ้ามาดีหรือไม่”ซูเจียวไม่อยากขัดใจซูหนี่ว์ แต่ผู้คนมักชอบหาเรื่องมาว่าร้ายให้กันเสมอ หากเห็นกิริยาท่าทางของนางอาจนำไปพูดได้ว่า นางไม่อบรมสั่งสอนบุตรสาวให้ดีดั่งสตรีให้ห้องหอ แต่อีกใจหนึ่งนางก็คิดว่าจะสนใจไปทำไม ชีวิตคนเรานั้นมันสั้นนัก หลายวันก่อนซูหนี่ห์ป่วยจนเกือบไม่รอด ยามนั้นนางเองก็ยังคิดว่า หากไม่มีลูกชีวิตนางก็ไร้ความหมาย ยามนี้ซูหนี่ว์มีความสุขร่าเริงสดใส และนางเองก็มีความสุขที่เห็นเช่นนี้ หากชาตินี้บุตรสาวของนางมิอาจออกเรือน นางเต็มใจจะดูแลปกป้องนางตลอดไปชีวิต ตระกูลไป๋ใช่ว่าจะยากจนข้นแค้น บิดานางเป็นถึงคหบดีอันดับหนึ่ง ทรัพย์สินมีมากมาย บิดานางคงไม่ปล่อยให้หลานสาวลำบากแน่นอน
ซูหนี่ว์ตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่ได้พบเห็น ของจริงดีกว่าในซีรีย์เป็นไหนๆบ้านเรือนสิ่งก่อสร้าง ผู้คนในชุดจีนโบราณงดงามแปลกตา ซูหนี่ว์คิดว่าจะหาโอกาส ออกมาเดินเที่ยวดูอีกซักครั้งตามที่มารดากล่าวอย่างแน่นอน พอรถม้าหยุดลง ซูหนี่ว์ก็กลับเข้ามานั่งอย่างสงบสงบเสงี่ยม จนซูเจียวแอบขำ
“ไปกันเถอะ “ซูเจียวยื่นมือไปจับแขนของซูหนี่ห์ ให้ลุกเดินตามกันลงไปจากรถม้า ฮุ่ยเหมยยืนรอรับอยู่ด้านล่างของรถม้าเรียบร้อยแล้ว
หน้าจวนสกุลไป๋ ไป๋เฉิงและฮูหยินไป๋พร้อมบ่าวในจวนออกมายืนรอต้อนรับ พอเห็นว่าบุตรสาวและหลานสาวลงจากรถม้าเรียบร้อย ไป๋เฉิงก็รีบเดินมาสวมกอดซูเจียว แล้วหันไปสวมกอดซูหนี่ว์อีกที
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านลูกสาวพ่อ ยินดีตอนรับหลานรักของตา” ไป๋เฉิงฉีกยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี สมกับเป็นคหบดีที่มีมนุษยสัมพันธ์ดีต่อทุกคน
“คารวะท่านพ่อ/คราวะท่านตาเจ้าค่ะ”สองสาวกล่าวทำความเคารพ
“ไปๆแม่เจ้ารออยู่”ไป๋เฉิงรีบเชิญให้เข้าไปด้านในจวน ซึ่งฮูหยินไป๋ยืนรออยูหน้าประตูจวน
“คารวะท่านแม่/คราวะท่านยายเจ้าค่ะ”
“เจียวเอ่อร์เดินทางเป็นเช่นไรบ้าง? ส่วนเจ้าหนี่ว์เอ่อร์มาให้ยายกอดหน่อย อุ้ย!!หน้าตางดงามเสียจริงหลานรักของยาย”ฮูหยินไป๋ยกยิ้มภูมิใจกับความงดงามของหลานสาว ก่อนจะจูงมือพากันเดินเข้าไปในจวน ซูหนี่ว์ที่แอบลอบสังเกตมองก็ได้แต่ยกยิ้ม ครอบครัวนี้ดูรักใคร่กลมเกลียวกันดี
จวนตระกูลไป๋ใหญ่โตสมฐานะคหบดี ห้องโถงใหญ่กว้างขวาง เครื่องเรือนและของตกแต่งราคาแพงดูดีมีราคา ซูหนี่ว์ยอมรับว่าโชคดีมากที่ได้มาอยู่ในครอบครัวที่ดีในภพนี้ ครอบครัวที่รักใคร่ปรองดอง ซึ่งหายากมากจากเท่าที่อ่านนิยายและดูซีรี่ย์มา
“เจียวเอ่อรมาคราวนี้เจ้าจะอยู่นานเพียงใด แม่คิดว่าถึงเวลาเสียที ที่เจ้าสมควรพาหลานกลับมาอยู่ที่นี่ได้แล้ว ท่านพี่ท่านคิดว่าอย่างไร?”
“พ่อก็เห็นด้วยกับแม่ของเจ้านะ เจียวเอ่อร์คำพูดคนหากเราไม่ใส่ใจเราก็ไม่ต้องทุกข์และเจ็บปวด พ่อกับแม่รักและเป็นห่วงเจ้ากับหลาน มาอยู่ด้วยกันที่นี่พ่อกับแม่จะได้หมดห่วง” ไป๋เฉิงเอ่ยอย่างจริงจัง
“หนี่ห์เอ่อรเจ้าอยากมาอยู่ที่นี่กับยายหรือไม่? ฮูหยินไป๋หันมาขอความคิดเห็นจากหลานสาวตัวน้อย ซูหนี่ว์หันไปมองมารดา นางก็ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี หากตอบไปแล้วอาจจะทำให้มารดาลำบากใจก็อาจเป็นได้
“ข้าแล้วแต่ท่านแม่ อยู่ที่ไหนหากมีท่านแม่ ข้าก็ไม่มีปัญหายังไงก็ได้เจ้าค่ะ”
“ดี!!เจียวเอ่อร์ทีนี้เจ้าลองบอกแม่มา เจ้าคิดเห็นกับเรื่องนี้อย่างไร?”ไป๋ฮูหยินรู้สึกพอใจกับคำตอบของหลานสาวเป็นอย่างยิ่ง
“ท่านพ่อท่านแม่ หากหนี่ว์เอ่อร์พูดเช่นนี้ ข้าก็คิดว่าจะลองอยู่ที่นี่ซักระยะหากทุกอย่างราบรื่นดี ข้าก็อาจจะตัดสินใจอยู่ที่นี่เลยเจ้าค่ะ”ที่จริงซูเจียวก็วางแผนมาซักระยะแล้วกับการมาเยี่ยมในครั้งนี้ นางอยากลองเชิงว่าบุตรสาวนางจะว่าเช่นไร การกลับมาอยู่กับครอบครัว พร้อมหน้าพร้อมตานางเองก็สึกอบอุ่นและมีความสุขอยู่ไม่น้อย คำพูดคนนางเลิกใส่ใจตั้งนานแล้ว
“ดี!!!”ไป่เฉิงตบมือลงบนเข่าอย่างพอใจในคำตอบ
“พี่ชายของเจ้าคงจะดีใจไม่น้อยเลย เอาละข้าได้ให้บ่าวเตรียมห้องหับไว้รอพวกเจ้าแล้ว แยกย้ายกันไปพักผ่อนก่อนเถิดเดินทางมาทั้งวัน ข้ายังได้สั่งคนเตรียมอาหารที่เจ้าชอบเอาไว้ด้วย ว่าแต่หลานรักของยายเจ้าอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ ยายจะได้ให้คนจัดเตรียม”ฮูหยินไป๋หันไปถามหลานสาว เพราะไม่รู้จริงๆว่านางชอบกินอะไร
“ท่านยาย ข้าอยากไปช่วยทำอาหารในครัวด้วยได้หรือไม่เจ้าค่ะ ข้าอยากลองทำอาหารให้ท่านตาท่านยายชิมดูเจ้าค่ะ” ชาติภพก่อนนางชอบทำอาหารมาก หากเป็นไปได้นางก็อยากจะทำอาหารให้ทุกคนลองชิม การทำอาหารเป็นความสุขอย่างหนึ่งของนาง
“เจ้าไม่เหนื่อยรึ ได้ข่าวว่าเพิ่งหายป่วย”ฮูหยินเอ่ยอย่างเป็นห่วง
“นั่นสิหลานตาเดินทางมาเหนื่อยๆพักผ่อนก่อนดีหรือไม่?”ไป๋เฉิงหันมามองซูเจียวที่นั่งนิ่งอยู่ ซูเจียวเองก็อดแปลกใจที่บุตรสาวคิดจะทำอาหาร ทั้งๆที่เมื่อก่อนนางไม่เคยเค้าครัวเลย
“ให้นางทำเถอะเจ้าค่ะท่านพ่อนางนะซนจะตาย ข้าก็อยากรู้เหมือนกัน ว่ารสชาติอาหารจะเป็นเช่นไร”ซูเจียวเอ่ยยิ้มๆ
“ท่านแม่ รอชิมเลยเจ้าค่ะรับรองอร่อยแน่”ซูหนี่ว์เอ่ยอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม
“ขนาดนั้นเลย”ไป๋เฉิงหัวเราะชอบใจออกมาดังๆ พลอยให้บ่าวรับใช้ทุกคนอมยิ้มตามไปด้วย มีแต่ซูหนี่ว์ที่แอบเคืองเพราะเห็นว่าท่านตาหัวเราะ
“แม่ว่าเจ้าไปดูห้องหับที่จะนอนให้เรียบร้อยก่อนดีกว่า และล้างเนื้อล้างตัวเสียหน่อย เสร็จแล้วค่อยไปทำอาหาร เดี๋ยวแม่จะไปเป็นผู้ช่วยของเจ้า”
“ท่านแม่จะไปช่วยด้วยหรือดีเจ้าค่ะ” ซูหนี่ว์ไม่ขัดข้องหากมารดาจะไปช่วยนางทำอาหารด้วย