ตะะวันที่อยู่ๆก็ทะลุมิติมาในยคจีนโบราณแบบงงๆ และนางยังได้มาอยู่ในร่างของเด็กสาว นามว่าไป่ซูหนี่ห์ซึ่งมีอายุเพียง15หนาว ตะวันได้แต่นอนหลับตาทบทวนเรื่องราวที่แสนเหลือเชื่อ เพียงแค่เธอแวะไปร้านขายของเก่า และได้พบกับกำไลโบราณวงหนึ่ง ซึ่งเธอก็รู้สึกถูกใจตั้งแต่แรกเห็น จึงคิดที่จะลองสวมดู แต่ไม่คาดคิดว่าเธอจะทะลุมิติมาอยู่ในร่างของเด็กสาวในยุคจีนโบราณซูหนี่ห์เป็นเพียงเด็กสาวอายุเพียง15หนาว หลังจากซูหนี่ว์ตกนำ้และป่วยหนักจนสิ้นใจ วิญญาณของตะวันที่อยู่ในยุคปัจจุบันก็เข้ามาแทนที่ แม้จะไม่อยากเชื่อแต่หลังจากนอน หลับๆตื่นๆอยู่หลายครั้ง และยังคงอยู่สถานที่เดิม เป็นสิ่งยืนยันได้ว่า มันคือเรื่องจริง
ร่างกายของซูหนี่ว์อ่อนแอเพราะป่วยมานาน ทำให้ตะวันที่มาสวมรอยรู้สึกขัดใจอยู่ไม่น้อย นางอยากลุกขึ้นเดินออกไปสำรวจภายนอกแต่ก็ไร้เรี่ยวแรง ได้แต่นอนคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี ความทรงจำของร่างนี้ยังอยู่ครบ ทำให้นางไม่ต้องลำบากในการใช้ชีวิตเป็นซูหนี่ว์เท่าใดนัก ถือว่าโชคดี ไม่อย่างนั้นนางคงต้องแกล้งทำเป็นความจำเสื่อมเป็นแน่
เสียงพลักบานประตูเปิดเข้ามาอย่างช้าๆ พร้อมกับร่างของไป่ซูเจียวผู้เป็นมารดา และป้าฮุ่ยเหมยคนสนิทของมารดา ท่าทางของทั้งสองคนดูวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด หมอบอกว่าหมดทางรักษาหากรอดมาได้ก็คงหวังเพียงปาฏิหาริย์เพียงเท่านั้น
ไป่ซูเจียวเพียงได้รับรู้ก็ถึงกับหมดสติไปทันที ไป่ซูหนี่ห์เป็นดั่งแก้วตาดวงใจแม้จะขาดบิดา นางก็รักและดูแลนางอย่างทะนุถนอมมาเป็นอย่างดี อยู่ๆจะมาจากไปนางคงทำใจไม่ได้ นางยอมแม้ต้องแลกชื่อเสียงปกป้องบุตรสาวเอาไว้ เพราะเกิดเรื่องผิดพลาดเกิดมีความสัมพันธ์กับบุรุษแปลกหน้า ในงานฉลองเทศกาลโคมไฟ นางไม่รู้ว่าบุรุษผู้นั้นเป็นใคร หลังจากเกิดเหตุการณ์นั้น นางก็ให้ป้าฮุ่ยเหม่ยคนสนิท รีบหายาห้ามครรภ์มาให้ แต่ก็เกิดการผิดพลาดไม่คาดคิดว่ายาจะไม่ได้ผล นางเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมาจะให้นางทำลายเด็กในท้องก็ไม่สามารถทำใจทำได้ นางจึงตัดสินใจเล่าทุกอย่างให้บิดาและมารดาฟัง โชคดีที่ไป่เฉิงและเจียวจินผู้เป็นบิดามารดารักและเข้าใจไม่ตำหนิ แถมยังช่วยได้แนะนำให้ซูเจียวย้ายออกไปอาศัยที่ต่างเมืองชั่วคราว ป้องกันคำครหาที่อาจเกิดขึ้นซึ่งไป๋ซูเจียวเองก็เห็นด้วย เพราะไม่อยากทำให้ครอบครัวต้องได้รับความอับอายขายหน้า จึงตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่เมืองตงฟาง ซึ่งห่างไกลจากเมืองหลวงราว100ลี้ เป็นบ้านที่บิดาซื้อทิ้งไว้ยามออกไปติดต่อค้าขาย
ซูเจียวอาศัยอยู่ที่เมืองตงฟางโดยที่ไม่ได้ยากลำบากอะไรนัก เพราะไป่เฉิงเป็นคหบดีผู้มั่งคั่ง เรือนที่ซื้อไว้ก็ใหญ่โตกว้างขวาง พร้อมบ่าวรับใช้มากมาย ไป๋ซูเจียวจึงใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบายและไร้กังวล นางคลอดบุตรสาวออกมาได้อย่างราบรื่น และเลี้ยงดูบุตรสาวมาได้เป็นอย่างดี แต่ทว่ายามนี้บุตรสาว ที่มีอายุเพียง15หนาวเกิดพลัดตกน้ำ หลังจากช่วยขึ้นมาได้นางก็ล้มป่วยและอ่อนแอลงเรื่อยๆ จนหมอส่ายหน้า หมดหนทางในการรักษา ซูเจียวร่ำไห้กราบไหว้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้ช่วยปกป้องซูหนี่ห์ให้อยู่รอดปลอดภัย แต่หลายวันผ่านไป ซูหนี่ว์ก็ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น สร้างความกังวลและทุกข์ใจให้กับซูเจียวจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ฮุ่ยเหมยคนรับใช้คนสนิทได้แต่เอ่ยปลอบใจ ไม่อยากให้นายสาวคิดมากจนเสียสุขภาพ แม้ในใจจะหวาดวิตกและกังวลมากเช่นกัน
เช้านี้หลังจากซูเจียวแวะไปกราบไหว้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิในห้องไหว้พระ ก็รีบตรงมาดูบุตรสาวอย่างเช่นเคย แต่แค่เพียงพลักบานประตูเข้าไป ซูหนี่ว์ที่นอนอยู่บนเตียงก็ลืมตาขึ้นมาทันที ทำเอาซูเจียวและฮุ่ยเหมย ตกตะลึงด้วยความตกใจและดีใจในเวลาเดียวกัน เร็วกว่าคำพูดซูเจียวถลาไปสวมกอดร่างของบุตรสาว ด้วยความปิติยินดีจนกลั้นนำ้ตาเอาไว้ไม่อยู่ ภายในใจที่เคยรู้สึกหนักอึ้งยามนี้ ผ่อนคลายเบาบางลงอย่างน่าเหลือเชื่อ
“ลูกแม่…เจ้าฟื้นเสียที รู้มั้ยว่าแม่แทบขาดใจเพียงใด ที่เห็นเจ้านอนนิ่ง ไม่ได้สติมาหลายวันเช่นนี้ ฮุ่ยเหมยรีบไปเอายามา ข้าจะป้อนนาง”
“เจ้าค่ะ”ไม่รอช้าฮุ่ยเหมยกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกไปเอายาทันที
“เจ้ารู้สึกเป็นเช่นไรบ้าง? เจ็บปวดตรงที่ใด บอกแม่” ซูเจียววางมือลงบนหัวของซูหนี่ว์แล้วลูบไปมาอย่างเป็นห่วง
“ท่านแม่!”ซูหนี่ว์อยากจะพูดออกไปให้มากกว่านี้ แต่ร่างกายที่อ่อนล้าไร้เรี่ยวแรงของร่างนี้ จึงได้แต่นอนมองและสำรวจใบหน้าผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นมารดา ซูเจียวมารดาของซูหนี่ว์เป็นสตรีที่งดงามมากจริงๆ แม้ยามนี้จะดูหม่นหมองลงไปบ้าง จากการอดหลับอดนอนและวิตกกังวล แต่ความงดงามของนางก็ไม่ลดน้อยด้อยลงไปเลยแม้แต่น้อย ซูเจียวเมื่อเห็นว่าบุตรสาวเอาแต่มองหน้านาง ก็คิดได้ว่านางอาจจะยังอ่อนเพลียเกินกว่าจะเอ่ยตอบ จึงรีบเอ่ยขึ้นแทน
“แม่ไม่น่ารีบถามเจ้า เอานี่เจ้าดื่มยาก่อนเถิด ”ซูเจียวรับยามาจากฮุ่ยเหมย เป่าจนหายเย็นดีแล้ว จึงเริ่มป้อนให้บุตรสาวที่นอนอ้าปากรอ กลิ่นยาและรสชาติ ทำเอาซูหนี่ห์ต้องกลั้นหายใจ แต่ก็พยายามฟืนกลืนลงไป นางอยากหายไวๆไม่อยากนอนเป็นผักแบบนี้ มันทรมานและอึดอัดเต็มทน
ไป่ซูเจียวยกยิ้มด้วยความพอใจ ที่เห็นซูหนี่ว์ยอมกินยาแต่โดยดีไม่ปริปากบ่น เพราะปกติซูหนี่ห์ไม่ชอบกินยา เอาแต่บ่นว่าขมไม่ชอบ พอหมดถ้วยนางก็หยิบผ้ามาเช็ดปากให้ แล้วดึงผ้าห่มมาคลุมให้จนถึงหน้าอกแล้วบอกให้ซูหนี่ว์นอนพักต่อ ก่อนจะออกไปเตรียมโจ๊กและต้มนำ้แกงกับฮุ่ยเหมย เพราะคาดว่าหลังจากตื่นมา ร่างกายของนางควรได้รับอาหารหลังจากไม่ได้สติไปหลายวัน
สามวันผ่านไปอาการของซูหนี่ห์ก็เริ่มดีขึ้น ยามนี้นางสามารถขยับตัวได้บ้างแล้ว จึงยกแขนขึ้นมาดูกำไลเจ้าปัญหาที่พาเธอให้มาอยู่ที่นี่ในร่างนี้ ซูหนี่ห์จับกำไลหมุนไปหมุนมา แต่ก็ไม่พบสิ่งใดผิดปกติ จึงได้แต่ถอนใจ จะเหตุผลอะไรก็ช่างเถอะ ตอนนี้แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ก็คงต้องปรับตัวใช้ชีวิตที่นี่ในนามไป่ซูหนี่ว์ต่อไป
เช้านี้ไป๋ซูหนี่ว์ลุกขึ้นมาแต่เช้า เพราะพอร่างกายเริ่มมีเรี่ยวแรงขึ้นมาบ้างแล้ว นางจึงคิดอยากจะออกไปสูดอาการภายนอกในยามเช้าดูบ้าง แม้จะซวนเซอยู่บ้างในคราแรก เพราะนอนติดเตียงเป็นเวลานานขาจึงไร้เรียวแรง แต่ไม่ช้าก็กลับมาเดินได้เป็นปกติ เพียงแต่ต้องก้าวช้าๆเท่านั้น ซูหนี่ว์เดินผ่านกระจกทองเหลือง อดไม่ได้ที่จะหันไปมองสำรวจรูปร่างหน้าตาของตนเอง นี่มันตัวตนของนางในยุคปัจจุบันชัดๆ เพียงแต่ว่าร่างนี้เป็นนางในช่วงวัย15หนาว นี่เธอมาอยู่ในร่างของตัวเองในวัยเยาว์รึ?
ไป๋ซูเจียวที่เห็นบุตรสาวเดินออกมา ก็ตกใจรีบพละจากงานที่ทำในมือ รีบเข้ามาประคองซูหนี่ว์ในทันที ร่างกายของไป่ซูหนี่ห์ยังไม่แข็งแรงดี นางกลัวว่าอาจล้มพับลงไปได้ง่ายๆ
“ออกมาทำไม!!เจ้าเพิ่งจะดีขึ้น ร่างกายยังไม่แข็งแรง”ซูเจียวเอ่ยตำหนิเบาๆด้วยความเป็นห่วง
“ข้าดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะท่านแม่ ขืนให้ข้านอนอยู่แต่ในห้อง ข้าก็เป็นคนพิการกันพอดี อีกอย่างออกมารับแสงแดดยามเช้าแบบนี้ ข้ารู้สึกสดชื่นขึ้นมากเลยเจ้าค่ะ”ซูหนี่ว์หันไปฉีกยิ้ม ซูเจียวเห็นเช่นนั้นก็อดยิ้มเอ็นดูออกไปไม่ได้ ยกมือลูบหัวบุตรสาวไปมา
“วันนี้แม่ทำซุปไก่บำรุงร่างกายให้เจ้า เจ้าก็กินเยอะๆละรู้มั้ยจะได้แข็งแรง และหายไวๆ”
“เจ้าค่ะ ว่าแต่ท่านแม่ ข้าอยากกลับไปเยี่ยมท่านตากับท่านยาย ข้าอยากไปเห็นเมืองหลวงของแคว้นเป่ยเซียง ดูสิว่าจะงดงามมากเพียงใด”
“ได้เมื่อเจ้าหายดี เราจะไปเยี่ยมท่านตาท่านยายดีหรือไม่?”ซูเจียวไม่อยากขัดใจนาง ครั้งนี้นางฟื้นขึ้นมาจากอาการป่วย ซึ่งท่านหมอเองก็ไม่รับปากว่านางจะรอด แต่นางก็รอดมาได้ หากสิ่งใดที่นางสามารถทำให้บุตรสาวมีความสุขได้นางก็ยินดี
“ขอบคุณเจ้าค่ะ ท่านแม่ของข้าใจดีที่สุด”ซูหนี่ว์รีบเข้าไปกอดแขนซบไหลอย่างออดอ้อนผู้เป็นมารดา
“งั้นเจ้าก็ต้องรีบหายป่วยเร็วๆแล้วละ”
“ได้!!ข้าจะรีบหาย ท่านแม่สัญญาแล้วนะเจ้าค่ะ”ซูหนี่ว์ฉีกยิ้ม รู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก ยุคที่นางจากมานางเป็นเพียงด็กกำพร้า พอมามีมารดาที่รักและเอาใจใส่เช่นนี้ ภายในใจก็รู้สึกอบอุ่นอิ่มเอมในหัวใจไม่น้อย
ที่จริงเหตุผลที่นางอยากไปเยี่ยมท่านตาท่านยาย ก็เป็นเหตุผลหนึ่ง แต่อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ นางอยากไปพิสูจน์บางอย่าง ตั้งแต่นางมาอยู่ที่นี่ในร่างนี้ นางก็ฝันแปลกๆ ถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งในความฝันมีชายผู้หนึ่งซึ่งนางไม่รู้จัก บอกว่าเป็นบิดาของนางให้นางกลับไปหา ในความฝันชายผู้นั้นยังพาไปยังบ้านที่เขาอาศัยอยู่ และยังบอกอีกว่าอยู่ในเมืองหลวง ซูหนี่ว์ยังฝันซำ้ๆแบบเดิมอยู่ทุกคืน นางจึงอยากไปพิสูจน์ความจริงให้เห็นกับตา ว่าสิ่งที่นางฝันมันคืออะไรกันแน่ นางเบื่อที่จะฝันถึงเรื่องเดิมๆทุกคืนแล้ว หากอยากรู้ต้องไปหาค้นหาคำตอบ แต่แปลกในความรู้สึกข้างในลึกๆกลับรู้สึกว่า นางคุ้นเคยกับชายผู้นั้นอย่างน่าประหลาดใจ