ลู่จื้อจึงบอกกล่าวเรื่องที่โจวหรงเฉิงเป็นนายท่านแห่งมิติจิตให้บิดามารดาฟัง“สวรรค์ โชคชะตากำหนดไว้หมดแล้วจริงๆ” จินหรูตบหน้าอกของตนเองที่ยังตกใจไม่หาย“ท่านพ่อ ท่านแม่จะเข้าไปพบเสนาบดีโจวและฮูหยินโจวในมิติหรือว่าให้พวกเขาออกมาด้านนอกขอรับ” ลู่เพ่ยเอ่ยขอความเห็น“ด้านในก็แล้วกัน” จางหมินเอ่ยออกมา ด้วยยังไม่อยากให้คนอื่นรู้เรื่องมิติของลู่จื้อ หากทั้งสามปรากฏตัวที่เรือน ไม่รู้จะอธิบายเรื่องนี้กับผู้อื่นเช่นไรหลังงานเลี้ยงฉลองภายในจวนจบลง ลู่จื้อพาบิดามารดาและพี่ชายเข้าไปในมิติ ก่อนจะบอกให้เสี่ยวเฮยไปแจ้งโจวหรงเฉิงให้เขาพาเสนาบดีโจวและฮูหยินโจวเข้ามาในมิติ“คารวะท่านเสนาบดีโจว ฮูหยินโจวขอรับ ข้าน้อยจางหมิน นี่ภรรยาข้าน้อยจินหรูขอรับ” จางหมินกับจินหรูก้มหัวลงเล็กหน่อยอย่างประหม่า พวกตนเป็นเพียงชาวบ้านจะเคยเห็นขุนนางใหญ่มาก่อนได้อย่างไร“ไม่ต้องมากพิธีเช่นนี้ อาหมินเจ้าคงรู้เรื่องจากบุตรของเจ้าแล้ว เจ้าเห็นเป็นเช่นใด หากข้าจะทำการหมั้นหมายนางไว้เสียก่อน แล้วจะรีบส่งแม่สื่อมาที่เรือนของเจ้า”“แล้วแต่ท่านเสนาบดีเลยขอรับ”“ฮูหยินจาง เจ้ามิต้องห่วงข้าไม่มีทางรังแกจื้อเออร์แน่นอน” ฮูหยินโจวตบท
ลู่เพ่ยหันมามองน้องสาวอย่างเอาเรื่อง เรื่องสำคัญเพียงนี้นางไม่คิดจะบอกกล่าวเขาที่เป็นพี่ชายเลยรึ“ไม่ต้องมองข้าเลย ไปถามเจ้าเสี่ยวเฮยนู้น” ลู่จื้อยื่นปากไปทางเสี่ยวเฮยที่นอนแผ่อยู่ในศาลาริมสระบัว แล้วนางก็เดินหายเข้าไปในห้องปรุงยาของนางต่อ ปล่อยให้ลู่เพ่ยมึนงง ไม่เข้าใจอยู่ผู้เดียววันต่อมา ลู่จื้อนางให้คนทั้งหมดเข้ามาอยู่ในมิติจิต พร้อมทั้งเก็บรถม้าเข้ามาด้วย ตัวนางขี่ม้ากลับเมืองเฉียนไห่เพียงลำพังจินเจา เสี่ยวถิงและเด็กหนุ่มตระกูลอู๋อีกสองคนที่ยังไม่เคยได้เข้ามาต่างก็ตกใจไม่น้อย พวกเขารู้เพียงว่าลู่จื้อนางหายตัวได้ นำของออกมาได้ แต่ไม่รู้ว่าหายไปที่ใดลู่จื้อเมื่อขี่ม้าเพียงลำพัง การเดินทางจึงเร็วขึ้นกว่าเดิมมากนัก ยิ่งนางใช้พลังปราณส่งถ่ายไปที่ตัวม้าด้วยแล้ว จากเดิมที่ใช้ม้าเร็วอีกห้าวันจะถึง นางสามารถมาถึงเมืองเฉียนไห่ได้ในเวลาเพียงสามวันเท่านั้นพอใกล้ถึงประตูเมืองเฉียนไห่ ลู่จื้อนางก็พาคนทั้งหมดออกมาจากมิติ“ถึงเฉียนไห่แล้วรึ” ลู่เพ่ยยืนมองประตูเมืองที่อยู่ไกลๆ อย่างตกตะลึง“เจ้าค่ะ” ลู่จื้อกล่าวจบนางก็ขึ้นไปนั่งบนรถม้าทันที พร้อมทั้งงีบหลับเอาแรงแม้จะไม่ได้เหนื่อยล้าอันใดแต่ก
หากไม่ใช่เรื่องร้ายแรง โจวหรงเฉิงไม่มีทางเปิดเผยพลังปราณที่มีอยู่อย่างแน่นอน ตอนนี้องครักษ์ขององค์ชายใหญ่อ้าปากค้าง มองพวกเขาทั้งสามคนด้วยความหวาดกลัว ในแคว้นฉีพบเห็นผู้ที่มีพลังปราณเช่นที่โจวหรงเฉิงแสดงออกมาเสียที่ไหน“มีอันใดกันแน่อาเฉิง” หลินตงหยางใบหน้าก็เคร่งเครียดขึ้นทันที ด้วยคิดว่าองค์ชายรองคงเริ่มลงมือแล้วโจวหรงเฉิงหันไปมององครักษ์ขององค์ชายใหญ่ เพื่อบอกให้เขาออกไป ก่อนจะเอ่ยพูดกับสหาย“องค์ชายใหญ่ ขอให้หลี่กุ้ยเฟยจัดการเรื่องสู่ขอจื้อเออร์เข้าเป็นสนมในตำหนัก” เสียงของเขาเย็นเหยียบจนน่าหวาดกลัว“ข้าก็คิดว่าองค์ชายรองจะเคลื่อนกองกำลังลับเสียอีก” หลินตงหยางเอ่ยออกมา เขาถูกสายตาของโจวหรงเฉิงปรายมองมาจึงได้ยกสุราเข้าปากต่อ“แล้วเจ้าจะทำเช่นไร” องค์ชายรองคงใช้เหตุผลเรื่องที่ลู่จื้อเป็นคู่ค้าของเซียวซีซวนมาต่อรองกับหลี่กุ้ยเฟย เพื่อให้นางออกหน้าตอนงานเลี้ยงงานมงคลของเซียวซีซวน หลงจู๊หานหลุดปากยามที่เมา เมื่อมีคนเอ่ยถามเหตุใดสองพี่น้องตระกูลจางถึงได้นั่งรวมโต๊ะกับองค์ชายใหญ่ และองค์ชายรองได้เรื่องนี้ลู่จื้อนางรู้แล้ว แต่ก็ไม่คิดที่จะตำหนิหลงจู๊หาน อย่างไรสักวันคนอื่นก็ต้องสืบจนรู
เวลาภายในมิติเพิ่งจะผ่านไปเพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น ลู่จื้อนางยังคงนอนหลับสนิท ตอนที่โจวหรงเฉิงแอบย่องเข้ามานางยังไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดเขาถอดเสื้อตัวนอกออก แล้วขึ้นไปนอนกอดนางบนเตียง“อื้อ...” ลู่จื้อที่ถูกรบกวนก็ร้องประท้วงออกมา“จื้อเออร์ ข้ากลับมาแล้ว” เขาดึงนางให้พลิกหันกลับมาทางเขา“อืม...เมาหรือไม่ หากเมาไปแช่น้ำในสระบัวก่อนจะได้ดีขึ้น” นางตัวที่แช่มาแล้วรู้สึกสดชื่นขึ้นไม่น้อย“ข้าเดินไม่ไหว” เขาซุกใบหน้าลงกับซอกคอขาวของนาง“ให้ข้าพาไปหรือไม่”“ไม่ ข้าอยากจะนอนกอดเจ้าแล้ว” เขาดึงรั้งนางเข้ามากอดไว้แน่น“เช่นนั้นก็นอนให้มันดีๆ” นางดันตัวเขาออกอย่างหงุดหงิด“จื้อเออร์...” เขาเอ่ยเรียกนางเสียงเบา“มีอันใด” ลู่จื้อขยับคออย่างไม่สบายตัว เมื่อถูกลมหายใจร้องของโจวหรงเฉิงเป่ารดอยู่ที่ต้นคอของนาง“วันนี้อาซวนเข้าหอ”“แล้วอย่างไร” นางขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ก็วันนี้เป็นวันแต่งงาน เซียวซีซวนเข้าหอก็ถูกแล้วไง“ข้าอยากเข้าหอบ้าง” เขาเงยหน้าขึ้นมามองนาง“กลับไปนอนที่จวนของท่านเลย” ลู่จื้อหางคิ้วกระตุกไม่หยุด นางอยากจะซัดบุรุษหน้าหนาให้สลบไปเลย จะได้หยุดพูดเรื่องน่าละลายออกมาเสียที“เจ้าจะกลั
พอเซียวซีซวนเสร็จส่งฟางซินเข้าห้องหอแล้ว จึงได้ออกมาร่วมดื่มสุรามงคลกับแขกที่มาร่วมงาน พอมาเห็นใบหน้าที่แดงก่ำไปด้วยฤทธิ์สุรา และดวงตาที่หยาดเยิ้มของลู่จื้อ เขาก็ส่ายหัวออกมา“อาเพ่ย พาอาจื้อกลับไปก่อน” ด้วยมีคนอื่นอยู่ไม่น้อย เซียวซีซวนจึงเปลี่ยนคำเรียกขานนางเสียใหม่“ขอรับ” ลู่เพ่ยเองก็อยากจะพาน้องสาวกลับแล้วเช่นกัน ด้วยกลัวว่าหากอยู่นานกว่านี้ไม่รู้ว่านางจะเมาไปมากเพียงใด“คุณชายเซียว ข้ายังไม่ได้ดื่มกับท่านเลยจะไล่ข้ากลับแล้วรึ” นางยู่ปากอย่างไม่พอใจ“เพียงจอกเดียวเท่านั้น แล้วเจ้าก็กลับเลยเข้าใจหรือไม่” เขาเอ่ยบอกนางเสียงเบา“ได้ๆ” นางฉีกยิ้มกว้าง ก่อนจะแบมือขอจอกสุราจากโจวหรงเฉิงคืนมา“จะรีบกลับได้อย่างไร งานเพิ่งจะเริ่ม” องค์ชายรองเอ่ยขัดขึ้นมา เขายังไม่ได้เอ่ยพูดกับนางสักประโยคก็จะให้นางกลับเสียแล้วลู่จื้อนางพยักหน้าอย่างเห็นด้วย องค์ชายรองจึงได้หันไปมองโจวหรงเฉิงอย่างได้ใจ“สุราดี” ลู่จื้อหลับตาพริ้มอย่างชอบใจ“ไป ข้าจะไปส่ง” โจวหรงเฉิงดึงจอกสุราออกจากมือของนาง ก่อนจะจับมือลู่จื้อเพื่อจะพานางออกไปส่งที่จวน“เปิ่นหวางไปส่งคุณชายน้อยจางเอง” องค์ชายรองเดินเข้ามาขวางอยู่ตรงกลางร
ของที่ลู่จื้อมอบให้นางไม่ต้องการให้ผู้ใดเห็น เมื่อให้สาวใช้เตรียมการให้แล้ว นางจึงได้ไล่ให้คนทั้งหมดออกไปรอด้านนอก“อันใดของเจ้ากัน จะขัดตัวให้ข้ารึ” ฟางซินเอ่ยถามลู่จื้ออย่างไม่เข้าใจ เมื่อลู่จื้อนางสั่งให้สาวใช้เตรียมน้ำอุ่นใส่อ่างไว้ให้นาง“ข้ามิได้ขัดตัว แต่จะให้ท่านแช่น้ำเจ้าค่ะ น้ำของข้าวิเศษนัก พอท่านแช่เสร็จแล้วจะรู้ได้เองว่าดีเพียงใด” ลู่จื้อไม่ได้บอกว่าผลที่ออกมาจะเป็นเช่นใด แต่นางช่วยฟางซินถอดเสื้อผ้า ก่อนจะให้นางลงไปนั่งแช่นางนำน้ำวิเศษที่เตรียมมาจากที่จวนผสมกับน้ำอุ่นที่สาวใช้เทใส่อ่างไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ตอนที่ฟางซินแช่น้ำ สตรีทั้งสองคนก็พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน“พี่หญิง พรุ่งนี้ข้าคงมิได้มาส่งท่านออกเรือน แต่ข้าจะมาพร้อมขบวนรับเจ้าสาวเจ้าค่ะ”“ได้อย่างไรกัน!!! ขบวนรับเจ้าสาวมีแต่บุรุษ แล้วเจ้าจะมาพร้อมพวกเขาได้อย่างไร”“ข้าก็ปลอมตัวเช่นที่ไปหอเลี่ยงซูอย่างไรเล่า”“เหอะ ต่อให้เจ้าขีดเขียนใบหน้า ผู้ใดก็มองออกว่าเจ้าเป็นสตรี” ฟางซินบีบแก้มของลู่จื้อเบาๆผ่านไปเกือบชั่วยามลู่จื้อนางจึงให้ฟางซินลุกขึ้นออกจากน้ำ เมื่อแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ฟางซินจึงได้รับกระจกที่ลู่จื้อส่งให้นางมา