หากมิใช่ว่าฮูหยินโจวเอ่ยบอกเรื่องราวกับนางไว้แล้ว นางคงตกใจกับสิ่งที่ชาวบ้านพูดไม่น้อย ในตอนแรกที่รู้ว่าคุณหนูจาง นางเป็นผู้ฝึกตน แม่สื่อก็ตกใจมากเช่นกันนับว่าการเดินทางไกลของนางครั้งนี้ไม่เสียเปล่า ที่ได้สู่ขอผู้ฝึกตนให้กับตระกูลโจว แม่สื่อสามารถนำเรื่องนี้ไปกล่าวอ้างช่วยเหลืออาชีพของนางในครั้งต่อไปได้“ผู้ฝึกตนรึ จริงรึ” ชาวบ้านไม่น้อยที่ได้ยินต่างก็ตกใจหากลู่จื้อนางเป็นผู้ฝึกตนจริง นางก็ทำเช่นที่จางเสียนเล่าได้เช่นกัน มิใช่ว่ามีแต่ปีศาจที่มีพลังปราณที่แข็งแกร่งเมื่อปากต่อปากถูกพูดออกไปภายในหมู่บ้าน เรื่องก็มาถึงตระกูลกู้และตระกูลจางสายหลัก“เป็นผู้ฝึกตนทั้งครอบครัวเลยรึ” จางเสียนกลืนน้ำลายลงอยากยากลำบากเขานึกย้อนไปเมื่อครั้งที่เข้าไปหาเรื่องน้องชาย หากจางหมินตอบโต้เขากลับมาไม่รู้ว่าจะรักษาชีวิตไว้ได้หรือไม่การแลกเปลี่ยนเทียบชะตาของโจวหรงเฉิงและลู่จื้อเป็นไปอย่างราบรื่น งานมงคลของทั้งสองจะเกิดขึ้นหลังจากที่ลู่เพ่ยเดินทางกลับเข้าเมืองหลวงจางหมินและนางจินหรูจึงตัดสินใจที่จะเดินทางไปอยู่ที่เมืองหลวงกับบุตรทั้งสองด้วย จวนที่หมู่บ้านก็เป็นท่านตาท่านยายที่จะอยู่ดูแล โดยจางหมินยังทิ้
จางเสียนเมื่อเห็นลู่จื้อออกไปแล้ว เขาจึงรีบวิ่งออกจากจวนตระกูลจากกลับไปที่เรือนของตน เขาวิ่งล้มลุกคลุกคลานไปตลอดทางที่กลับเรือนเมื่อชาวบ้านเอ่ยถามจึงได้พูดเรื่องลู่จื้อที่นางเป็นปีศาจขึ้นมา“จื้อเออร์ เจ้ากลายเป็นปีศาจไปแล้วรึ” หวังเหอรุ่ยที่เพิ่งเดินทางมาถึงจวนตระกูลจางก็ร้องถามนางออกมาตลอดทางเข้าหมู่บ้านที่หวังเหอรุ่ยนั่งรถม้าเข้ามา เขาได้ยินเสียงพูดคุยของชาวบ้านที่ร่ำลือเรื่องลู่จื้อเป็นปีศาจจนมาถึงหน้าจวนตระกูลจางเลย“เช่นนั้นข้าออกไปกินเลือดพวกเขาให้หมดเลยดีหรือไม่” ลู่จื้ออมยิ้มมองหวังเหอรุ่ยในตอนแรกสองผู้เฒ่าจางก็ตกใจเรื่องที่หลานสาวของตนเป็นปีศาจ แต่เมื่อจางหมินบอกเล่าเรื่องที่ครอบครัวของตนเป็นผู้ฝึกตนให้บิดามารดารับรู้ พวกเขาก็เลิกสนใจสิ่งที่ชาวบ้านด้านนอกเอ่ยพูดยิ่งวันนี้ตระกูลจางปิดประตูจวนเสียแน่นหนา ชาวบ้านบางคนที่หูเบาต่างก็เชื่อสนิทใจว่าครอบครัวตระกูลจางสายรองเป็นปีศาจ แต่ภายในจวนยามนี้กำลังจัดงานเลี้ยงฉลองให้หวังเหอรุ่ยที่เขาสอบได้จอหงวน“มากไปหรือไม่ขอรับ” หวังเหอรุ่ยเอ่ยออกมาอย่างเกรงใจ เมื่อจางหมินส่งโฉนดจวนในเมืองหลวงให้เขา“มากอันใดกัน เจ้าก็เหมือนบุตรชายของข้
เจ้าเมืองเฉียนไห่ที่นั่งอึ้งอยู่ก็ทำสิ่งใดไม่ถูก ไม่รู้ว่าเทพองค์ใดมาโปรดตระกูลจางที่เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา ทำให้ตำหนักองค์ชายรองและจวนเสนาบดีโจวแย่งตัวบุตรีกันได้ หากรู้เขาจะไปขอพรท่านเทพบ้าง“เอ่อ...ข้ายินดีกับเจ้าด้วยอาหมิน วาสนาของเจ้าดีไม่น้อย มีบุตรีเช่นนี้”“ขอบคุณท่านมากขอรับท่านเจ้าเมือง” จางหมินยิ้มแห้งออกมา ไม่รู้ว่าจะเรียกวาสนาได้หรือไม่ หากบุตรสาวของนางไม่มีใบหน้าที่งดงามราวกับนางจิ้งจอก หรือไม่มีความรู้เช่นที่นางทำให้ตระกูลจางสายรองรุ่งเรือง คงไม่มีผู้ใดที่มาหมายปองนางมากเป็นแน่จางหมินเดินออกไปส่งท่านเจ้าเมืองที่หน้าประตูจวน ชาวบ้านที่รู้เห็นการมาของท่านเจ้าเมืองและนางกำนัลในวังหลวงก็เอาเรื่องราวไปพูดคุยในหมู่บ้านจางเยว่รู้เรื่องจากปากของชาวบ้าน นางก็รีบกลับมาบ้านเดิม เพื่อบอกนางเกาหงทันที“ท่านแม่เหตุใดนังลู่จื้อถึงได้วาสนาดีเช่นนี้เล่า” นางกัดฟันแน่นด้วยความแค้นใจ เหตุใดถึงไม่เป็นตัวนางที่ถูกบุรุษแย่งชิง“เหอะ จะดีเพียงใด สตรีชาวบ้านแต่งให้ตระกูลใหญ่สักวันก็จะถูกขับไล่ราวกับสุนัขข้างทาง” นางเกาหงก็อิจฉาในความโชคดีของลู่จื้อเช่นกัน หากเปลี่ยนเป็นบุตรสาวของนาง นางคงได้
ลู่จื้อจึงบอกกล่าวเรื่องที่โจวหรงเฉิงเป็นนายท่านแห่งมิติจิตให้บิดามารดาฟัง“สวรรค์ โชคชะตากำหนดไว้หมดแล้วจริงๆ” จินหรูตบหน้าอกของตนเองที่ยังตกใจไม่หาย“ท่านพ่อ ท่านแม่จะเข้าไปพบเสนาบดีโจวและฮูหยินโจวในมิติหรือว่าให้พวกเขาออกมาด้านนอกขอรับ” ลู่เพ่ยเอ่ยขอความเห็น“ด้านในก็แล้วกัน” จางหมินเอ่ยออกมา ด้วยยังไม่อยากให้คนอื่นรู้เรื่องมิติของลู่จื้อ หากทั้งสามปรากฏตัวที่เรือน ไม่รู้จะอธิบายเรื่องนี้กับผู้อื่นเช่นไรหลังงานเลี้ยงฉลองภายในจวนจบลง ลู่จื้อพาบิดามารดาและพี่ชายเข้าไปในมิติ ก่อนจะบอกให้เสี่ยวเฮยไปแจ้งโจวหรงเฉิงให้เขาพาเสนาบดีโจวและฮูหยินโจวเข้ามาในมิติ“คารวะท่านเสนาบดีโจว ฮูหยินโจวขอรับ ข้าน้อยจางหมิน นี่ภรรยาข้าน้อยจินหรูขอรับ” จางหมินกับจินหรูก้มหัวลงเล็กหน่อยอย่างประหม่า พวกตนเป็นเพียงชาวบ้านจะเคยเห็นขุนนางใหญ่มาก่อนได้อย่างไร“ไม่ต้องมากพิธีเช่นนี้ อาหมินเจ้าคงรู้เรื่องจากบุตรของเจ้าแล้ว เจ้าเห็นเป็นเช่นใด หากข้าจะทำการหมั้นหมายนางไว้เสียก่อน แล้วจะรีบส่งแม่สื่อมาที่เรือนของเจ้า”“แล้วแต่ท่านเสนาบดีเลยขอรับ”“ฮูหยินจาง เจ้ามิต้องห่วงข้าไม่มีทางรังแกจื้อเออร์แน่นอน” ฮูหยินโจวตบท
ลู่เพ่ยหันมามองน้องสาวอย่างเอาเรื่อง เรื่องสำคัญเพียงนี้นางไม่คิดจะบอกกล่าวเขาที่เป็นพี่ชายเลยรึ“ไม่ต้องมองข้าเลย ไปถามเจ้าเสี่ยวเฮยนู้น” ลู่จื้อยื่นปากไปทางเสี่ยวเฮยที่นอนแผ่อยู่ในศาลาริมสระบัว แล้วนางก็เดินหายเข้าไปในห้องปรุงยาของนางต่อ ปล่อยให้ลู่เพ่ยมึนงง ไม่เข้าใจอยู่ผู้เดียววันต่อมา ลู่จื้อนางให้คนทั้งหมดเข้ามาอยู่ในมิติจิต พร้อมทั้งเก็บรถม้าเข้ามาด้วย ตัวนางขี่ม้ากลับเมืองเฉียนไห่เพียงลำพังจินเจา เสี่ยวถิงและเด็กหนุ่มตระกูลอู๋อีกสองคนที่ยังไม่เคยได้เข้ามาต่างก็ตกใจไม่น้อย พวกเขารู้เพียงว่าลู่จื้อนางหายตัวได้ นำของออกมาได้ แต่ไม่รู้ว่าหายไปที่ใดลู่จื้อเมื่อขี่ม้าเพียงลำพัง การเดินทางจึงเร็วขึ้นกว่าเดิมมากนัก ยิ่งนางใช้พลังปราณส่งถ่ายไปที่ตัวม้าด้วยแล้ว จากเดิมที่ใช้ม้าเร็วอีกห้าวันจะถึง นางสามารถมาถึงเมืองเฉียนไห่ได้ในเวลาเพียงสามวันเท่านั้นพอใกล้ถึงประตูเมืองเฉียนไห่ ลู่จื้อนางก็พาคนทั้งหมดออกมาจากมิติ“ถึงเฉียนไห่แล้วรึ” ลู่เพ่ยยืนมองประตูเมืองที่อยู่ไกลๆ อย่างตกตะลึง“เจ้าค่ะ” ลู่จื้อกล่าวจบนางก็ขึ้นไปนั่งบนรถม้าทันที พร้อมทั้งงีบหลับเอาแรงแม้จะไม่ได้เหนื่อยล้าอันใดแต่ก
หากไม่ใช่เรื่องร้ายแรง โจวหรงเฉิงไม่มีทางเปิดเผยพลังปราณที่มีอยู่อย่างแน่นอน ตอนนี้องครักษ์ขององค์ชายใหญ่อ้าปากค้าง มองพวกเขาทั้งสามคนด้วยความหวาดกลัว ในแคว้นฉีพบเห็นผู้ที่มีพลังปราณเช่นที่โจวหรงเฉิงแสดงออกมาเสียที่ไหน“มีอันใดกันแน่อาเฉิง” หลินตงหยางใบหน้าก็เคร่งเครียดขึ้นทันที ด้วยคิดว่าองค์ชายรองคงเริ่มลงมือแล้วโจวหรงเฉิงหันไปมององครักษ์ขององค์ชายใหญ่ เพื่อบอกให้เขาออกไป ก่อนจะเอ่ยพูดกับสหาย“องค์ชายใหญ่ ขอให้หลี่กุ้ยเฟยจัดการเรื่องสู่ขอจื้อเออร์เข้าเป็นสนมในตำหนัก” เสียงของเขาเย็นเหยียบจนน่าหวาดกลัว“ข้าก็คิดว่าองค์ชายรองจะเคลื่อนกองกำลังลับเสียอีก” หลินตงหยางเอ่ยออกมา เขาถูกสายตาของโจวหรงเฉิงปรายมองมาจึงได้ยกสุราเข้าปากต่อ“แล้วเจ้าจะทำเช่นไร” องค์ชายรองคงใช้เหตุผลเรื่องที่ลู่จื้อเป็นคู่ค้าของเซียวซีซวนมาต่อรองกับหลี่กุ้ยเฟย เพื่อให้นางออกหน้าตอนงานเลี้ยงงานมงคลของเซียวซีซวน หลงจู๊หานหลุดปากยามที่เมา เมื่อมีคนเอ่ยถามเหตุใดสองพี่น้องตระกูลจางถึงได้นั่งรวมโต๊ะกับองค์ชายใหญ่ และองค์ชายรองได้เรื่องนี้ลู่จื้อนางรู้แล้ว แต่ก็ไม่คิดที่จะตำหนิหลงจู๊หาน อย่างไรสักวันคนอื่นก็ต้องสืบจนรู