เมิ่งเจียวซินหยุดเดิน แล้วยืนมองใบไม้ใบหญ้าที่มีหยาดฝนเกาะติดอยู่บนใบ กลิ่นของใบหญ้าที่ต้องสายฝนจนชุ่มแฉะปะทะเข้ากับฆานประสาท ทำให้นางรู้สึกเบิกบานใจ แต่ทว่าความรู้สึกนี้ก็อยู่ได้เพียงไม่นาน เพราะมันถูกกลบด้วยกลิ่นกายบุรุษที่คุ้นเคย ซึ่งมาพร้อมกับเสียงกระซิบแผ่วเบาดังขึ้นที่ข้างหูว่า
“ซินซิน เหตุใดถึงมายืนอยู่ตรงนี้ หรือว่า...เจ้ามารอรับข้า?”
เมิ่งเจียวซินถอนสายตากลับมา แล้วหันไปเผชิญหน้ากับบุรุษไร้ยางอาย
“หาใช่เช่นนั้นไม่ ข้าแค่หยุดยืนดูต้นไม้ใบหญ้าก็เท่านั้น ว่าแต่...กุยกุย เหตุใดเจ้าจึงกลับมาเร็วนักล่ะ?”
“ข้าคิดถึงเจ้า ก็เลยรีบกลับมาหา”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เมิ่งเจียวซินที่ไม่อยากต่อปากต่อคำกับบุรุษไร้ยางอายต่อ นางจึงเลี่ยงเข้าไปนั่งรับลมในศาลา แต่
ช่วงสายของวันถัดมา หลี่อวิ้นกุยได้รับรายงานด่วนจากค่ายทหารว่า เมื่อคืนมีคนบุกเข้าไปเผาสถานที่เก็บเสบียงในค่าย เขาจึงรีบเดินไปหาเมิ่งเจียวซิน ซึ่งยามนี้อีกฝ่ายกำลังนั่งรับของว่างอยู่กับหลี่อวิ้นเหมยในห้องโถง “ซินซิน ที่ค่ายทหารเกิดปัญหาขึ้นเล็กน้อย แต่ปัญหานี้ข้าจำเป็นต้องเข้าไปตรวจดูด้วยตัวเอง ข้าจะรีบไปรีบกลับ แล้วถ้าหากข้ากลับมาไม่ทันต้นยามเว่ย...”หลี่อวิ้นกุยหยุดพูด อาจด้วยเพราะวันนี้เขารู้สึกไม่สบายใจแปลก ๆ แล้วยิ่งเห็นหลี่อวิ้นเหมยเข้ามาหาเมิ่งเจียวซินตั้งแต่ในช่วงเช้า มันจึงยิ่งเพิ่มความรู้สึกไม่สบายให้แก่เขาขึ้นเป็นเท่าตัว หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลี่อวิ้นกุยก็หาทางออกให้กับตัวเองได้ เขาจึงรีบกล่าวต่อ “ข้าจะให้จิ่นตั้งอยู่ดูแลความปลอดภัยที่นี่ แล้วถ้าหากข้ากลับมาไม่ทันต้นยามเว่ย ก็ให้จิ่นตั้งเป็นผู้นำขบวนรถม้าแทนข้า ซินซิน
“คุ้มกันรถม้า!!” สิ้นเสียงตะโกนของจิ่นสือ รถม้าที่เมิ่งเจียวซินกำลังนั่งก็หยุดนิ่งอยู่กับที่ทันที อันลี่รีบพุ่งตัวเข้าไปปิดม่าน แล้วดึงผู้เป็นนายให้กลับเข้ามานั่งในรถม้า เมิ่งเจียวซินพยายามรวบรวมสติ แล้วนิ่งฟังความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นภายนอก แม้ภายในใจของนางจะรู้สึกเป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยของปิงหลง องค์หญิงห้า รวมไปถึงทุกคนที่ร่วมขบวนรถม้ามากับนาง แต่เพราะสิ่งที่นางพึงทำในยามนี้ก็คือ การนั่งอยู่กับที่ แล้วคอยทำตามที่องครักษ์บอก จึงจะไม่เป็นการเพิ่มภาระให้กับเหล่าองครักษ์ไปมากกว่านี้ อันลี่รีบดึงมีดสั้นประจำกายออกมา เนื่องจากตอนนี้ภายในรถม้ามีเพียงนางกับผู้เป็นนายแค่สองคน จากนั้นนางก็ค่อย ๆ ขยับเข้าไปเปิดม่าน เพื่อดูการต่อสู้ด้านนอก จึงได้เห็นว่า จำนวนคนของพวกนางน้อยกว่าฝ่ายตรงข้าม แล้วในขณะนั้นจิ่
“มีเมียทั้งหมดสี่ร้อยยี่สิบเก้าคน!” ใบหม่อนหรือเมิ่งเจียวซินอุทานออกมาอย่างลืมตัว หลังจากที่เธอต้องเอาเวลาพักของตัวเองมาทนอ่านนิยายของผู้เป็นน้องชายเกือบสองวัน ซึ่งตอนนี้เธอก็ได้อ่านมาจนถึงบทสุดท้ายของเรื่องแล้ว “ที่ไม่มีลูก ไม่ใช่เพราะฝีมือของตัวร้าย แต่เป็นเพราะพระเอกส่งคนไปผสมยาห้ามครรภ์ในอาหารและน้ำดื่มของสตรีทุกคนทันที หลังจากที่เจ้าตัวไปมีอะไรด้วยเนี่ยนะ เหอะ!” ยิ่งอ่าน เธอก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิด แต่ใบหม่อนก็ยังคงพยายามฝืนล้มตัวลงไปนอนอ่านนิยายต่อ...จนมาถึงบรรทัดสุดท้าย “พระเอกระเบิดตัวเองตาย อาหวงนิยายอะไรของแกเนี่ย!” ใบหม่อนรีบยกมือขึ้นมาปิดปากของตัวเอง ก่อนจะพยายามสงบสติอารมณ์ หลังจากอ่านคำว่า ‘จบ’ ที่โชว์หลาอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ จากนั้นเธอจึงรีบลุกขึ้นมานั่ง แล้วไถหน้าจอลงไปไล่อ่านข้อความของนักอ่านคนอื่น ๆ โดยทุกข้อความแสดงออกให้รู้ว่านักอ่านคนอื่น ๆ ก็รู้สึก และมีความคิดเห็นไม่ต่างไปจากเธอเลย ซึ่งบางคนก็ดูเหมือนว่าจะมีอาการหนักกว่าเธอด้วยซ้ำ เพราะอีกฝ่ายเสียเงินซื้อตอนติดเหรียญ เพื่อเข้าไปอ่านฉากเซอร์วิสระหว่างพระเอกกับเหล่าบรรดาเมีย ๆ ของเจ้าต
กริ๊ง...กริ๊ง... ใบหม่อนเอื้อมมือไปปิดเสียงนาฬิกาปลุก ก่อนจะกล่าว “อาหวง เอาเป็นว่า แกก็ลองไปไล่อ่านข้อความของนักอ่านในบทสุดท้ายดูแล้วกันนะ เพราะพี่เองก็คิดเห็นไม่ต่างไปจากนักอ่านส่วนใหญ่ของแกเลย แค่นี้ก่อนนะ ถึงเวลาที่พี่ต้องเข้าไปตรวจดูอาการของคนไข้แล้วน่ะ” (ได้ แต่พี่หม่อน...ถ้าว่างพี่ก็เข้ามาหาแม่บ้างนะ) “อืม” (อย่างนั้นผมไม่กวนละ ดูแลตัวเองด้วยนะพี่) หลังจากวางสาย ใบหม่อนก็เลื่อนปิดหน้าอ่านนิยายที่แสดงอยู่บนหน้าจอ แล้วนำโทรศัพท์มือถือไปวางไว้บนโต๊ะข้างเตียง ก่อนจะหยิบสมุดกับปากกา จากนั้นเธอจึงเดินออกมาจากห้องนอนของตัวเอง เพื่อไปตรวจดูอาการของคนไข้ที่ยังคงนอนไม่ได้สติมาเกือบสามเดือนแล้ว ซึ่งเธอได้รับหน้าที่มาเป็นพยาบาลพิเศษให้เป็นการชั่วคราว เนื่องจากคนไข้ที่เธอต้องเข้ามาดูแลก็คือ หลานชายคนโตของท่านเจ้าสัวหลี่อวิ้นเจียง โดยท่านเจ้าสัวหลี่อวิ้นเจียงเป็นทั้งเจ้าของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง แล้วยังเป็นหุ้นส่วนรายใหญ่ของโรงงานผลิตอาหารไทยแช่แข็ง ซึ่งโรงงานดังกล่าวเป็นของคุณยายใบบัว ยายแท้ ๆ ของใบหม่อน แล้วที่สำคัญท่านเจ้าสัวหลี่อวิ้นเจียงยังเป็นเ
“ไม่จริงใช่ไหมเนี่ย?” ใบหม่อนหรือเมิ่งเจียวซินเอ่ยขึ้น เพราะเธอยังตั้งรับกับเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้ไม่ทัน (โฮสต์ไม่จำเป็นต้องพูดโต้ตอบกับทางระบบค่ะ เพราะทางที่ดีพวกเราควรสื่อสารกันทางจิตน่าจะสะดวกกับทางโฮสต์มากกว่าค่ะ) “เดี๋ยวก่อนนะคะ ฉันขอตั้งสติสักครู่ค่ะ” เมิ่งเจียวซินยังคงตอบกลับอีกฝ่ายด้วยการพูด ก่อนจะหลับตาลงเพื่อรวบรวมสติแล้วลืมตากลับขึ้นมามองมือ แขน และชุดที่เธอกำลังสวมใส่ จากนั้นเธอจึงมองไปยังบริเวณโดยรอบพร้อมกับคิดในใจ ‘อย่าบอกนะว่า...ตอนนี้ฉันทะลุมิติเข้ามาในนิยาย แล้วถ้าหากเป็นเรื่องจริงในนิยายส่วนใหญ่คนที่ทะลุมิติเข้าไปในนั้น ก็มักจะทะลุเข้าไปในนิยายเรื่องที่เพิ่งจะอ่านจบ หรือกำลังอ่านอยู่ก่อนตาย...’ (โฮสต์ใจเย็นก่อนนะคะ ตอนนี้อีกร่างหนึ่งของโฮสต์ยังไม่ตายค่ะ แต่ที่โฮสต์คิดเกี่ยวกับเรื่องของนิยายนั้นถูกต้องแล้วนะคะ เนื่องจากทางเราได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดใจของนักอ่าน ที่ได้เข้าไปอ่านนิยายของน้องชายโฮสต์ ซึ่งตอนนี้ก็มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และหนึ่งในความเจ็บปวดใจนั้นก็คือตัวโฮสต์เอง ดังนั้นในฐานะที่โฮสต์เป็นพี่สาวของคนเขียนนิยายเรื่องนี้
เมิ่งเจียวซินรีบสลัดสิ่งที่คิดออกจากสมอง แล้วลองตอบกลับอีกฝ่ายทางจิต ‘ได้ค่ะ’ (เงื่อนไขอย่างแรก เป็นสิ่งที่โฮสต์จะต้องรับรู้ คือ เวลาในโลกใบนี้หากเทียบกับเวลาในโลกใบเดิมของโฮสต์จะแตกต่างกันอยู่สามสิบวันค่ะ หมายถึง เวลาที่โฮสต์ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่สามสิบวันจะเทียบเท่ากับเวลาในโลกใบเดิมของโฮสต์เพียงแค่หนึ่งวันเท่านั้น เงื่อนไขอย่างที่สอง คือ เรื่องที่ทางเราเปิดระบบพิเศษให้กับโฮสต์ภายใต้ชื่อที่ว่า ‘รับรู้แล้วแก้ไขไปพร้อมกับการเรียนรู้ด้วยชีวิตจริง’ ความหมายก็ตรงตามนั้นเลยว่า ชีวิตในโลกใบนี้เปรียบประดุจดังชีวิตจริงของโฮสต์ เพราะในโลกใบนี้โฮสต์ทั้งบาดเจ็บได้ เจ็บป่วยได้ ตายจริง และมีเพียงแค่ชีวิตเดียว ซึ่งถ้าหากโฮสต์เสียชีวิตลงในโลกใบนี้ ก่อนจะทำภารกิจที่ทางระบบมอบให้เสร็จ อีกร่างหนึ่งในโลกใบเดิมของโฮสต์ก็จะเสียชีวิตลงไปด้วยทันทีค่ะ ดังนั้นสองปีในโลกใบนี้โฮสต์จะต้องดูแลชีวิตของตัวเองให้ดี แต่ทางเราก็มีเงื่อนไขพิเศษเพิ่มให้กับโฮสต์ด้วยนะคะ คือ...ตัวละครตัวนี้หากเป็นไปตามบทเดิมจะต้องเสียชีวิตในอีกหนึ่งปีข้างหน้า หากในช่วงเวลานั้นโฮสต์ทำภารกิจสามในห้าสำเร็จ โฮสต์ก็จะสาม
เมิ่งเจียวซินนั่งทำใจสักพัก ก่อนจะเดินไปเปิดบานหน้าต่างเพื่อสำรวจสิ่งต่าง ๆ รอบเรือน พอเห็นบรรยากาศโดยรอบ ตอนนี้น่าจะเข้าสู่ต้นยามโหย่วแล้ว (ยามโหย่ว เวลา 17:00 – 18:59 น.) หลังจากนั้นเมิ่งเจียวซินจึงนึกไปถึงสิ่งที่คุณยายใบบัวเคยสอนเธอเอาไว้ว่า ‘ให้หาข้อดีในเวลาที่รู้สึกแย่ที่สุด’ ก่อนที่เธอจะหลับตาของตัวเองลง แล้วคิดในใจว่า... ‘ดี! ที่นิยายเรื่องนี้ของอาหวงเป็นแนวจีนโบราณ’ ‘ดี! ที่เราชอบอ่านนิยายแนวนี้อยู่แล้ว’ ‘และโชคดี! ที่ชีวิตในโลกใบเดิมของเรามักจะได้ออกเดินทางไปตามสถานที่ต่าง ๆ พร้อมกับหน่วยแพทย์อาสาอยู่บ่อยครั้ง เพราะมันได้ช่วยฝึกให้เราต้องคอยตั้งรับ ปรับตัว และยังต้องคอยเตรียมรับมือกับทุกการเปลี่ยนแปลงที่ผ่านเข้ามาในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่อยู่เสมอ ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเราเวลานี้ เราก็แค่ต้องคอยรับมือ เตรียมทำทุกอย่าง และหาวิธีก้าวผ่านมันไปให้ได้ก็เท่านั้นเอง’ เมื่อคิดได้ดังนั้นเมิ่งเจียวซินจึงนึกไปถึงข้อมูลคร่าว ๆ ของโลกใบนี้ รวมไปถึงข้อมูลเบื้องต้นของพระเอกที่อาหวงได้บรรยายเอาไว้ในช่วงแรกของนิยาย... โลกใบนี้ได้ถูกแบ่งเขตแ
หลี่อวิ้นกุยเกิดมาพร้อมกับการจากไปของผู้เป็นมารดา เขาจึงไม่เป็นที่ต้อนรับของคนในครอบครัว ชีวิตความเป็นอยู่ของเขาในยามนั้นแย่ยิ่งกว่าบ่าวรับใช้ในเรือนหลังนั้นเสียอีก แม้ว่าผู้เป็นตากับยายจะรับตัวเขากลับมาอยู่ที่เรือนหลักของตระกูลแล้ว แต่ก็ได้ส่งตัวเขาให้บ่าวก้นครัวเป็นผู้ดูแล เขาจึงเติบโตมาพร้อมกับความเกลียดชังของคนในครอบครัว แล้วในทุกครั้งที่มีคนในครอบครัวบังเอิญเดินมาเจอกับหลี่อวิ้นกุย ก็มักจะด่าทอเขาด้วยคำพูดที่ว่า เขาคือคนทำให้มารดาของตัวเองต้องตาย! แล้วทุกอย่างก็ได้ผ่านล่วงเลยไปแบบนั้น จนมาถึงวันหนึ่งในขณะที่หลี่อวิ้นกุยวัยเจ็ดหนาวตามคนครัวออกไปช่วยซื้อของในตลาดเหมือนทุกวัน เนื่องจากในช่วงเช้าแม่ครัวทุกคนจะยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารจนไม่มีเวลามาคอยดูแลเขา ซึ่งทุกคนในครัวต่างก็รู้ดีว่าหากทิ้งเด็กชายเอาไว้เพียงลำพัง บุตรของบ่าวในเรือนส่วนอื่น ๆ จะเข้ามาล้อเลียน กลั่นแกล้ง และคอยมารังแกคุณชายน้อยผู้นี้อยู่เสมอ แต่ในวันนั้นหลี่อวิ้นกุยได้พลัดหลงกับแม่ครัวที่ออกมาซื้อของด้วยกัน แล้วเดินไปชนเข้ากับกลุ่มบุตรชายของแม่ค้าในตลาด จึงทำให้เขาถูกเด็กโตกลุ่มนั้นรุมทำร้าย แม้ว่าหล
“คุ้มกันรถม้า!!” สิ้นเสียงตะโกนของจิ่นสือ รถม้าที่เมิ่งเจียวซินกำลังนั่งก็หยุดนิ่งอยู่กับที่ทันที อันลี่รีบพุ่งตัวเข้าไปปิดม่าน แล้วดึงผู้เป็นนายให้กลับเข้ามานั่งในรถม้า เมิ่งเจียวซินพยายามรวบรวมสติ แล้วนิ่งฟังความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นภายนอก แม้ภายในใจของนางจะรู้สึกเป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยของปิงหลง องค์หญิงห้า รวมไปถึงทุกคนที่ร่วมขบวนรถม้ามากับนาง แต่เพราะสิ่งที่นางพึงทำในยามนี้ก็คือ การนั่งอยู่กับที่ แล้วคอยทำตามที่องครักษ์บอก จึงจะไม่เป็นการเพิ่มภาระให้กับเหล่าองครักษ์ไปมากกว่านี้ อันลี่รีบดึงมีดสั้นประจำกายออกมา เนื่องจากตอนนี้ภายในรถม้ามีเพียงนางกับผู้เป็นนายแค่สองคน จากนั้นนางก็ค่อย ๆ ขยับเข้าไปเปิดม่าน เพื่อดูการต่อสู้ด้านนอก จึงได้เห็นว่า จำนวนคนของพวกนางน้อยกว่าฝ่ายตรงข้าม แล้วในขณะนั้นจิ่
ช่วงสายของวันถัดมา หลี่อวิ้นกุยได้รับรายงานด่วนจากค่ายทหารว่า เมื่อคืนมีคนบุกเข้าไปเผาสถานที่เก็บเสบียงในค่าย เขาจึงรีบเดินไปหาเมิ่งเจียวซิน ซึ่งยามนี้อีกฝ่ายกำลังนั่งรับของว่างอยู่กับหลี่อวิ้นเหมยในห้องโถง “ซินซิน ที่ค่ายทหารเกิดปัญหาขึ้นเล็กน้อย แต่ปัญหานี้ข้าจำเป็นต้องเข้าไปตรวจดูด้วยตัวเอง ข้าจะรีบไปรีบกลับ แล้วถ้าหากข้ากลับมาไม่ทันต้นยามเว่ย...”หลี่อวิ้นกุยหยุดพูด อาจด้วยเพราะวันนี้เขารู้สึกไม่สบายใจแปลก ๆ แล้วยิ่งเห็นหลี่อวิ้นเหมยเข้ามาหาเมิ่งเจียวซินตั้งแต่ในช่วงเช้า มันจึงยิ่งเพิ่มความรู้สึกไม่สบายให้แก่เขาขึ้นเป็นเท่าตัว หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลี่อวิ้นกุยก็หาทางออกให้กับตัวเองได้ เขาจึงรีบกล่าวต่อ “ข้าจะให้จิ่นตั้งอยู่ดูแลความปลอดภัยที่นี่ แล้วถ้าหากข้ากลับมาไม่ทันต้นยามเว่ย ก็ให้จิ่นตั้งเป็นผู้นำขบวนรถม้าแทนข้า ซินซิน
เมิ่งเจียวซินหยุดเดิน แล้วยืนมองใบไม้ใบหญ้าที่มีหยาดฝนเกาะติดอยู่บนใบ กลิ่นของใบหญ้าที่ต้องสายฝนจนชุ่มแฉะปะทะเข้ากับฆานประสาท ทำให้นางรู้สึกเบิกบานใจ แต่ทว่าความรู้สึกนี้ก็อยู่ได้เพียงไม่นาน เพราะมันถูกกลบด้วยกลิ่นกายบุรุษที่คุ้นเคย ซึ่งมาพร้อมกับเสียงกระซิบแผ่วเบาดังขึ้นที่ข้างหูว่า “ซินซิน เหตุใดถึงมายืนอยู่ตรงนี้ หรือว่า...เจ้ามารอรับข้า?” เมิ่งเจียวซินถอนสายตากลับมา แล้วหันไปเผชิญหน้ากับบุรุษไร้ยางอาย “หาใช่เช่นนั้นไม่ ข้าแค่หยุดยืนดูต้นไม้ใบหญ้าก็เท่านั้น ว่าแต่...กุยกุย เหตุใดเจ้าจึงกลับมาเร็วนักล่ะ?” “ข้าคิดถึงเจ้า ก็เลยรีบกลับมาหา” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เมิ่งเจียวซินที่ไม่อยากต่อปากต่อคำกับบุรุษไร้ยางอายต่อ นางจึงเลี่ยงเข้าไปนั่งรับลมในศาลา แต่
“ข้ายอมก็ได้ แต่ข้าจะช่วยอีกแค่ครั้งเดียวนะ” กล่าวจบ เมิ่งเจียวซินก็เห็นหลี่อวิ้นกุยพยักหน้าตอบกลับมา พอเห็นเช่นนั้นนางจึงโน้มใบหน้าเข้าไปจุมพิตที่ริมฝีปาก แล้วในขณะเดียวกันมือทั้งสองข้างของเมิ่งเจียวซินก็เริ่มลูบไล้ไปตามร่างกายของฝ่ายตรงข้าม หลี่อวิ้นกุยรีบปล่อยมือที่โอบเอวของสตรีบนร่าง เพียงไม่นานลมหายใจของเขาก็กลับมาร้อน และติดขัดอีกครั้ง เพราะเมิ่งเจียวซินได้ขยับลงไปฉกชิมยอดอกของเขาสลับกันไปมา แล้วไหนจะมือเล็ก ๆ ทั้งสองข้างของนางที่ลูบไล้ไปตามหน้าท้อง และต้นขา หลังจากนั้นฝ่ายตรงข้ามก็ค่อย ๆ ประทับริมฝีปากต่ำลงไปเรื่อย ๆ “อึก! ซินซินคนดี ข้า...อ่า...ซี๊ดด” หลี่อวิ้นกุยหลุดเสียงครางออกมา เนื่องจากเมิ่งเจียวซินที่เพิ่งจะขยับลงไปนั่งคุกเข่าอยู่ระหว่างขาทั้งสองข้างของเขา ได้ใช้มือเล็ก ๆ
“กุยกุยน้อย...” เมิ่งเจียวซินพึมพำออกมาเบา ๆ พร้อมกับจ้องมองเจ้าสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แล้วด้วยขนาดที่มือหนึ่งข้างไม่อาจโอบรอบมันได้ หากเจ้าสิ่งนี้ถูกเรียกว่า ‘กุยกุยน้อย’ แล้วสากกะเบือตำน้ำพริกที่บ้านของคุณยายบัวล่ะ? ขนาดของสากกะเบือเล็กกว่าเจ้าสิ่งที่อยู่ในมือของนาง หากเมิ่งเจียวซินกลับไปยังโลกใบเดิมได้ เห็นทีนางคงต้องเปลี่ยนไปเรียกมันว่า‘เจ้าสากน้อย’ สินะ “ซินซิน ได้โปรด...” เมิ่งเจียวซินรีบปล่อยมือจากสิ่งที่จับอยู่ จากนั้นนางก็รีบดึงสติของตัวเองกลับมา แล้วขยับลงไปนั่งคุกเข่าอยู่ระหว่างขาทั้งสองข้างของหลี่อวิ้นกุย พอเงยหน้าขึ้นไปมอง สายตาของฝ่ายตรงข้ามมองมาที่นางอย่างน่าสงสาร ส่วนสีหน้าของเจ้าตัวก็แฝงแววตัดพ้ออยู่บ้าง เมื่อเห็นเช่นนั้นเมิ่งเจียวซินก็ถอนหายใจออกมา เนื่องจากนิ้วมือทั้งห้าของน
เมิ่งเจียวซินผละออกมา ก็เห็นบุรุษตัวใหญ่กำลังนอนอุดปาก หน้าแดง และตัวสั่นเทา อยู่ใต้ร่างนาง ฉับพลันก็เกิดความรู้สึกว่า นางต้องรับผิดชอบต่อน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมาจากดวงตาคมคู่นั้น แต่ทว่าอีกใจหนึ่งกลับคิดขึ้นมาว่า บางทีความสุขของบุรุษที่ได้เป็นผู้คุมเกมส์ ก็คงจะคล้าย ๆ กับที่นางกำลังรู้สึกอยู่ในยามนี้เป็นแน่ แล้วพอเมิ่งเจียวซินเห็นลูกกระเดือกของบุรุษใต้ร่างที่กำลังขยับขึ้นลง แผงอกแน่นที่เริ่มเต็มไปด้วยร่องรอยจากฝีมือของนาง ส่วนยอดอกของหลี่อวิ้นกุย แม้จะไม่มีรสชาติ แต่นางก็สัมผัสได้ถึงฟีโรโมนอันเย้ายวนของบุรุษเพศ แล้วไหนจะกล้ามหน้าท้องที่ขึ้นรูปสวยน่ามองอีก ‘บุรุษผู้นี้ช่างเย้ายวนใจเสียจริง!’ เมิ่งเจียวซินคิดในใจ พร้อมกับเผลอกลืนน้ำลาย และเลียริมฝีปากอย่างไม่รู้ตัว จากนั้นในหัวของนางก็เริ่มขาวโพลน เมิ่งเจียวซินขยับเข้าไปจุมพิตเบา ๆ ที่ลูกกระเด
เมิ่งเจียวซินจ้องหน้าหลี่อวิ้นกุย คำพูดของเจ้าตัวทำให้นางรู้สึกหมั่นไส้อยู่ไม่น้อยเลย ยามนี้เมิ่งเจียวซินไม่รู้แล้วว่า ระหว่างฝีปาก ความเจ้าเล่ห์ หรือความไร้ยางอาย สิ่งไหนบุรุษตรงหน้ามีมากกว่ากัน แล้วเมื่อเมิ่งเจียวซินเห็นดวงตาคู่คมที่ฉาบไปด้วยความปรารถนา มันกำลังหลอกล่อ และเชิญชวนนางให้รีบเข้าหา ไม่ผิดเลยกับคำพูดที่เขาบอกต่อกันมาว่า ‘ปีศาจมักล่อลวงมนุษย์!’ แต่ทว่าบุรุษตรงหน้าเป็นมนุษย์ครึ่งมาร แล้วครึ่งมารคนนี้ก็กำลังใช้รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปาก ใบหน้ารูปงาม ดวงตาคู่คมที่เปล่งประกาย แต่ทว่ากลับดูลุ่มลึกอย่างน่าประหลาด แล้วไหนจะร่างกายซึ่งเต็มไปด้วยมัดกล้าม ที่ไม่ว่าจะจับ หรือจะมองส่วนไหน มันก็ช่าง...ช่างน่าหลงใหลไปเสียหมดทุกส่วน สรุปโดยรวมเลยก็คือ หลี่อวิ้นกุยกำลังใช้ร่างกายของตัวเองหลอกล่อนาง ไม่สิ! คืนนี้นางต้องเป็นฝ่ายหลอกล่อ ไม่ใช่! คืนนี้นางจะต้องเป็นฝ่ายศึกษาร่างก
เมิ่งเจียวซินนั่งเม้มปากแน่น มองแววตาระยิบระยับของบุรุษตรงหน้า จากนั้นนางก็ก้มหน้าลง แต่พอเห็นสิ่งที่หลี่อวิ้นกุยหยิบมาวางลงบนเตียงของนางเป็นครั้งที่สอง “เรื่องอื่นประเดี๋ยวพวกเราค่อยพูดคุยกันต่อ แต่ตอนนี้บอกข้ามาก่อนว่า เจ้าเอาของพวกนี้มาทำอะไร?” หลี่อวิ้นกุยมองตามสายตาของอีกฝ่าย แล้วขยับนั่งตัวตรง ก่อนจะกล่าวอย่างสุภาพ “ข้าเอามาให้เจ้าใช้ป้องกันตัวจากข้า ซินซิน ในเมื่อข้าสัญญากับเจ้าไว้แล้วว่า จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบในคืนนั้นขึ้นมาอีก ถึงแม้ข้าจะมั่นใจว่า สามารถควบคุมตัวเองได้อย่างแน่นอน แต่เพื่อความไม่ประมาท...” หลี่อวิ้นกุยเอื้อมไปหยิบของทุกอย่างที่เตรียมมา วางลงตรงกลางระหว่างเขากับเมิ่งเจียวซิน แล้วกล่าวต่อว่า “ซินซิน เจ้าใส่กุญแจมือข้าเอาไว้เถิด เชือกปานม้วนนี้ข้าก็ตั้งใจนำมาให้เจ้าใช้มัดแขนมัดขาของข้าติดเตียงเอาไว้ ส่ว
เมิ่งเจียวซินนึกอยากจะวิ่งออกไปจากตรงนี้ แต่เพราะนี่คือ ห้องพักของนาง จึงได้พยายามรวบรวมสติของตัวเองกลับมา แล้วเอ่ยถามออกไปว่า “พร้อมแล้ว? เจ้าพร้อมเรื่องอะไร?” “ก็เรื่องให้เจ้าศึกษาร่างกายของข้า ตอนนี้ข้าพร้อมแล้ว” พูดจบ หลี่อวิ้นกุยก็ก้มลงไปกระตุกปมผ้าคาดเอวของตัวเองทันที “กุยกุย นั่นเจ้าจะทำอะไร?” “ข้าก็จะเปลื้องผ้า แล้วขึ้นไปนอนรอเจ้าบนเตียงอย่างไรล่ะ” คำพูดของบุรุษตรงหน้าทำเอาเมิ่งเจียวซินอ้าปากค้าง หลี่อวิ้นกุยจงใจค่อย ๆ ถอดเสื้อคลุมออก เพราะเขาเริ่มรู้สึกสนุกกับสีหน้าแบบนั้นของอีกฝ่าย ทันทีที่เสื้อคลุมตัวนอกหลุดออกจากตัว เขาก็เตรียมจะถอดเสื้อตัวใน... แต่ทว่าหลี่อวิ้นกุยห