เมื่อเห็นบรรดาทหารนายกองยืนละล้าละลังทำอะไรไม่ถูก ร่างสูงใหญ่ของแม่ทัพก็ก้าวพรวดเดียวก็เอื้อมถึงนาง มือแกร่งคว้าเอาร่างบางของนางขึ้นมาแบกไว้บนบ่าราวกับไม้ท่อนหนึ่ง จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังกระโจมของตน
ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างอ้าปากค้าง ตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น แม่ทัพผู้ไม่เคยแตะต้องสตรี บัดนี้กับแบกนางงามผู้หนึ่งเข้าไปในกระโจม
“ยืนนิ่งทำไม มองทำไม ไม่มีอะไรให้ดูแล้ว แยกย้าย ๆ ไปช่วยกันขนเสบียง และอาวุธ เก็บให้เรียบร้อย”
รองแม่ทัพเฉิงอี้ตั้งสติได้ก่อนใคร จึงตะเบ็งเสียงสั่งเหล่าทหาร ก่อนที่จะรีบก้าวเท้าวิ่งตามแม่ทัพเข้ากระโจมไปติด ๆ
“เจ้าแม่ทัพหน้าโหดปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้นะ ข้าจะบอกเสด็จพ่อประหารเจ้า”
องค์หญิงปิงหลินทั้งตะโกนทั้งทุบแผ่นหลังบุรุษที่แบกนางอย่างบ้าคลั่ง ไม่มีผู้ใดกล้าบังอาจทำกับนางเช่นนี้
เมื่อเดินเข้ามาถึงในกระโจม แม่ทัพหยางจงก็ปล่อยร่างนางให้ร่วงลงกับพื้นราวกับสิ่งของไร้ค่า
ตุบ !
“โอ๊ย ! ข้าจะสั่งตัดหัวเจ้า !”
องค์หญิงปิงหลินก้นกระแทกพื้นอย่างแรง เจ็บทั้งตัวเจ็บทั้งใจ
รองแม่ทัพเฉิงอี้ที่ตามเข้ามาติด ๆ ได้แค่ยืนห่าง ๆ อย่างรู้กาลเทศะ เขายังไม่อยากแส่หาเรื่องใส่ตัว คนหนึ่งก็จอมทัพเลือดเย็น อีกคนก็องค์หญิงปีศาจ ร้ายกาจทั้งคู่ !
“เป็นเจ้าต่างหากที่ต้องถูกข้าสั่งตัดหัว โทษฐานดูหมิ่นเหยียดหยามแม่ทัพ และบุกเข้าค่ายทหารโดยพลการ…. อ่อ และอีกหนึ่งข้อหาคือ ทำร้ายแม่ทัพ”
หยางจงเค้นเสียงต่ำอย่างน่าสะพรึงกลัว
“เจ้ากล้ารึ !”
องค์หญิงปิงหลินหยัดตัวลุกขึ้นจ้องตาเขากลับ มือน้อยทั้งสองข้างกำหมัดแน่น น้ำเสียงของนางแฝงด้วยความหวาดหวั่นอยู่เล็กน้อย
“ทำไมจะไม่กล้า ในค่ายแห่งนี้ข้ามีอำนาจสูงสุด ในค่ายย่อมมีกฎของกองทัพ เมื่อทำผิดกฎเจ้าต้องถูกลงโทษ.... ดูหมิ่นเหยียดหยามแม่ทัพต้องโทษโบย 50 ที บุกเข้าค่ายทหารโดยพลการต้องโทษโบย 50 ที และทำร้ายแม่ทัพต้องโทษโบย 100 ที”
ร่างสูงใหญ่สืบเท้าเข้าหานางมากขึ้น ดวงตาดำสนิทหรี่ลงครึ่งหนึ่งอย่างเยียบเย็น รอยยิ้มที่มุมปากของเขายักขึ้นน้อย ๆ คล้ายรอยยิ้มของมัจจุราชที่กระหายกลิ่นคาวโลหิต
“รวมทั้งหมดก็..... โบย 200 ที”
องค์หญิงปิงหลินถึงกับผงะถอยหลังไปอย่างไม่รู้ตัว แต่เขายังสืบเท้าก้าวตามไม่ลดละ เมื่อทนความกดดันไม่ไหวนางจึงแผดเสียงขึ้นมาอีกคราว่า
“นี่ท่านแม่ทัพจะรังแกข้าเกินไปแล้วนะ ท่านยังมีความเป็นบุรุษอยู่หรือไม่ ข้าเป็นสตรีจะทนรับการโบยมากมายได้อย่างไร”
“เหอะ”
หยางจงแค่นเสียงออกมาคำหนึ่งอย่างเย็นชา ตอนที่นางสั่งลงโทษผู้อื่นยังไม่ลดหย่อนผ่อนโทษ แต่พอตัวเองจะถูกทำโทษเสียเองกลับแหกปากร้องขอความเป็นธรรม
“ได้.... หากเจ้าไม่ถูกโบยก็ต้องยอมเป็นทาสรับใช้ข้าหนึ่งปี”
เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นแฝงเลศนัย
“หนึ่งปี”
องค์หญิงปิงหลินจ้องหน้ารก ๆ ของเขาตาแทบจะถลน
“เลือกเอาจะเป็นทาสข้า หรือจะยอมถูกโบย 200 ที”
เขาปั้นสีหน้าเคร่งขรึม
องค์หญิงปิงหลินเม้มริมฝีปากแน่น จากนั้นก็คลายออกคล้ายกับตัดสินใจได้แล้วว่า
“ได้ ข้าจะยอมเป็นสาวใช้ท่าน”
ดวงตาดำสนิทของเขาปรากฏรอยยินดีขึ้นมาวูบหนึ่งคล้ายน้ำกระเพื่อมแล้วจางหายไปอย่างรวดเร็วก่อนถามขึ้นว่า
“ดี บอกชื่อเจ้ามา ข้าจะได้เรียกใช้ถูก”
“หลินหลิน”
องค์หญิงปิงหลินเอ่ยนามรองออกไป บัดนี้ความเย่อหยิ่งในตัวของนางลดลงจนเกือบหมด เขาทำให้นางรู้สึกจิตใจห่อเหี่ยวราวกับผักที่ขาดน้ำมาหลายวัน จากองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ กลายเป็นทาสรับใช้ในกระโจมชั่วพริบตา
“หลินหลิน งานแรกของเจ้าคือ ทำความสะอาดกระโจมข้า”
เขาสั่งงานต่อโดยไม่ใส่ใจกับท่าทีเหนื่อยล้าเศร้าสลดของนางแม้แต่น้อย
“ว่าไงนะ ข้าเดินทางมาเหนื่อยจะแย่แล้ว จะให้ข้ามาทำความสะอาดกระโจมให้ท่านอย่างนั้นรึ จะไม่ใจร้ายกับสตรีตัวเล็ก ๆ อย่างข้าไปหน่อยรึ”
หลินหลินอุทานเสียงหลง เบิ่งตาโต สวรรค์ ! แม้แต่สวมใส่อาภรณ์นางยังไม่ต้องทำด้วยตนเอง แต่ตอนนี้เขากลับสั่งให้นางไปกวาดกระโจม ถูพื้น !
“จะทำ หรือจะยอมถูกโบย 200 ทีเลือกเอา”
เขายื่นคำขาดเสียงเข้ม แววตาดุดันไม่มีความเมตตาต่อนางแม้แต่น้อย
“ได้ ทำก็ทำสิ”
นางสะบัดเสียงเบ้ปากใส่เขาอย่างขุ่นเคือง ในเมื่อตอนนี้นางอยู่ในฐานะทาสรับใช้ ก็ไม่ต้องระวังกิริยาอีกต่อไป รู้สึกอย่างไรนางก็จะแสดงออกมาอย่างนั้น
“เฉิงอี้ ไปเอาไม้กวาด กับผ้าถูพื้นมาให้นาง”
หยางจงหันไปสั่งรองแม่ทัพที่ยืนรั้งรออยู่ไม่ไกลนัก เฉิงอี้พยักหน้ารับอย่างลำบากใจ แล้วรีบไปนำสิ่งของมาตามที่ผู้เป็นนายสั่ง
“หากเจ้าทำความสะอาดกระโจมข้าไม่เรียบร้อย เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์กินข้าว”
เขาขู่นางเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเดินออกจากกระโจมไป หลินหลินได้แต่ส่งสายตาแค้นเคืองตามร่างสูงใหญ่
ทางด้านเกวียนพ่อค้าที่เดินทางลงทิศใต้นั้น เมื่อถึงที่พักก็ได้หยุดเกวียนลง ชิงชิงจึงเดินตามหาองค์หญิงปิงหลินในเกวียนคันแล้วคันเล่า
“หลินหลิน เจ้าอยู่ที่นี่หรือไม่”
“หลินหลิน”
ชิงชิงขอเปิดดูเกวียนสินค้าทุกคัน เมื่อไม่พบผู้ที่นางค้นหาสีหน้าจึงย่ำแย่ลงทุกที
“หลินหลินซ่อนตัวอยู่ที่ใด ออกมาเถอะ อย่าทำให้ข้าตกใจเลย”
นางตะโกนจนเสียงแหบแห้ง
อค้าทนเห็นนางเที่ยวขึ้นลงสำรวจเกวียนทุกคันโดยมิได้หยุดพักไม่ได้ จึงเข้าไปบอกกับนางว่า
“แม่นาง ข้ารับเจ้าขึ้นเกวียนมาคนเดียวเท่านั้น”
“น้องสาวของข้าแอบขึ้นเกวียนมาก่อนแล้ว”
ชิงชิงยืนยัน น้ำใส ๆ เริ่มเอ่อล้นขอบตา หรือว่านางกับองค์หญิงจะพลัดพรากจากกันโดยไม่รู้ตัวเสียแล้ว
“ไม่มีแน่ ๆ เพราะข้าดูแลเกวียนสินค้าทุกลำ ไม่มีสตรีนางใดเลยนอกจากแม่นางเท่านั้น”
พ่อค้าส่ายหน้าอย่างจนปัญญา
“ถ้า.... ถ้าเช่นนั้นน้องสาวข้าหายตัวไปไหน”
น้ำตาของชิงชิงหยดแมะลงอย่างห้ามไม่ได้ คนที่นางรู้จักเพียงคนเดียวได้หายตัวไปแล้ว
“อาจจะขึ้นเกวียนไปกับพ่อค้าขบวนอื่น หรืออาจจะพลัดหลงไปกับเกวียนเสบียงทหาร เพราะวันนี้มีเกวียนไปรับสินค้าที่ประตูท้ายวังมากนัก”
“ในเมื่อน้องข้าไม่ได้ติดตามมาด้วย ข้าก็จะไม่อยู่ทางใต้แล้ว ข้าจะออกตามหาน้องสาวข้า”
ชิงชิงปาดน้ำตาออกจากแก้ม มือหนึ่งกระชับห่อผ้าแน่น เพราะในนี้มีป้ายหยกสัญลักษณ์องค์หญิงแห่งแคว้นฉู่ นางจะทำหายไม่ได้ และต้องเร่งติดตามหาเจ้าของของมันโดยเร็ว
“งั้นเจ้าอยู่รอที่โรงเตี๊ยมนี้เถิด ราว ๆ สี่ห้าวันจะมีขบวนเกวียนพ่อค้ากลับขึ้นไปทางเหนือ”
“ขอบคุณท่านมาก”
เช้าตรู่ของวันใหม่แม่ทัพหยางจงรู้สึกถึงน้ำหนักบางอย่างที่กดทับบนตัว เขาจึงลืมตาตื่นขึ้นแล้วพบว่า องค์หญิงปีศาจกำลังหลับใหลเกยตัวอยู่บนอกเขา มือข้างหนึ่งของนางกอดเอวเขาไว้ ทรวงอกนุ่มนิ่มบดเบียดกับหน้าอกแกร่งของเขา สัมผัสจากเรือนกายนั้นทำเอาเขาหายใจแรงขึ้น ร้อนผ่าวขึ้นทั้งตัว อีกทั้งหัวใจยังเต้นโครมครามอย่างบ้าคลั่ง“น่าตายนัก !”เขาสบถออกมาเบา ๆ ราวกับกลัวว่าจะทำให้แมวขี้เซาบนอกตื่นขึ้น ใบหน้าเขาแดงก่ำไปทั้งหน้า นางใส่ยาอะไรให้เขากิน เหตุไฉนเขาจึงมือไม้อ่อนระทวยจนไม่กล้าแม้จะขยับตัว อีกทั้งยังไม่อาจถอนสายตาจากใบหน้าอันงดงามที่กำลังหลับตาพริ้มอย่างสุขสบายมิได้ใบหน้านางนั้นงามตรึงใจยิ่งนัก ทั้งพวงแก้มยังเนียนนุ่มราวกับผิวเด็กทารก ริมฝีปากแดงระเรื่อเผยอขึ้นน้อย ๆ เขาเคยลิ้มลองความหวานของมันมาแล้ว อารมณ์ปรารถนาในใจทำให้เขาค่อย ๆ โน้มลงสัมผัสริมฝีปากนุ่มนิ่มอีกครั้ง“ท่านแม่ทัพ ! ท่านแม่ทัพ !” เสียงร้องเรียกดังลั่นขึ้นที่นอกกระโจมทำให้สติของเขากลับคืนมา หยางจงรีบผลักร่างสวยของนางออกจากตัว แล้วรีบร้อนก้าวลงจากเตียงเพราะกลัวว่าใครจะเข้ามาเห็นว่าเขาและองค์หญิงนอนร่วมเตียงเดียวกันเมื่อร่
พลบค่ำและแล้วม่านสีดำในเวลากลางคืนก็โรยตัวลงมาอีกครั้ง คบเพลิงต่างถูกจุดขึ้นทั่วทั้งค่ายทหารเพื่อให้ความสว่าง ร่างสูงสง่าของแม่ทัพย่ำเท้าหนัก ๆ มุ่งหน้าเข้าสู่กระโจมที่พักของตนนับตั้งแต่เขาสั่งให้องค์หญิงปิงหลินทำความสะอาดกระโจมก็ยังไม่ได้พบกันอีกเลยจนกระทั่งถึงตอนนี้ เพราะตนต้องออกไปลาดตระเวนและฝึกซ้อมทหารในค่าย แต่แล้วเมื่อเขาเดินเข้ามาในกระโจมก็รู้สึกประหลาดเป็นอย่างมาก กระโจมของเขาดูสะอาดเรียบร้อย อีกทั้งยังมีอาหารร้อน ๆ วางไว้บนโต๊ะพร้อมกับสุราหลินหลินที่เพิ่งจะจัดเตรียมอาหารเสร็จก็ส่งยิ้มมาให้เขา พร้อมกับเสียงใส ๆ เอ่ยขึ้นว่า“ท่านแม่ทัพ ท่านคงจะเหนื่อยมาก วันนี้ข้ากับป้าจูจึงช่วยกันทำอาหารอย่างสุดฝีมือเพื่อท่านโดยเฉพาะ”เสียงหวาน ๆ พร้อมกับรอยยิ้มที่ดูใสซื่อนั้นทำให้เขาชะงักฝีเท้ารู้สึกแคลงใจกับท่าทีอ่อนหวานของนาง องค์หญิงปีศาจแห่งวังหลวงเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ รึ หรือว่านางมีแผนการอันชั่วร้ายอันใดซ่อนอยู่เมื่อเห็นแม่ทัพหน้าโหดยังไม่ยอมเข้ามานั่งลงเสียที นางจึงรีบเข้าไปดึงแขนคนตัวโตกว่ามานั่งลงที่โต๊ะอาหารพร้อมกับรินสุราให้เขาอย่างเอาอกเอาใจ“อย่ามัวชักช้าอยู่เลย เดี๋ยวอาหารเหล
หลินหลินเดินตามป้าจูไปอย่างว่าง่าย บนโต๊ะมีผักหลากหลายชนิดที่นางไม่เคยรู้จัก นางจึงหยิบต้นนั้นต้นนี้ขึ้นมาดม ๆ ดู แล้วก็ต้องย่นจมูกเพราะบางต้นกลิ่นฉุนนัก“นี่ นังหนูหยุดดมเป็นสุนัขได้แล้ว เดี๋ยวจะเอาลงไฟไม่ทัน ดูป้าไว้นะ... จับแบบนี้ แล้วก็หั่นแบบนี้ กะระยะให้เท่ากัน เข้าใจไหม”ป้าจูรวบผักบุ้งไว้เต็มกำมือ จากนั้นก็ใช้มีดหั่นตัดลงไปเป็นท่อน ๆ เท่ากัน อย่างคล่องแคล่วหลินหลินมองดูก้านผักบุ้งที่ถูกหั่นออกเป็นท่อนเท่า ๆ กันตาโต สตรีชราผู้นี้หั่นให้เท่ากันได้อย่างไร โดยไม่ต้องใช้อะไรวัด“ลองทำดูนะ”ป้าจูส่งมีดให้หญิงสาวข้างกาย นางรับมีดมาถือไว้อย่างเงอะงะหลินหลินรวบผักบุ้งมาเต็มกำมือ แต่ดูเหมือนว่าผักบุ้งจะไม่ให้ความร่วมมือกับนางเอาเสียเลย ผักบุ้งแต่ละลำชี้โด่ชี้เด่ไปคนละทิศละทาง นางพยายามรวบใหม่อยู่หลายครั้งก็ไม่สำเร็จ จึงกำ ๆ ไว้ในมือแล้ววางลงบนเขียง จากนั้นก็เพ่งสายตาวัดระยะการหั่นให้ได้ท่อนที่มียาวเท่า ๆ กันฉับ...... ฉับ....... ฉับ......หลินหลินค่อย ๆ กดมีดลงบนก้านผักที่รวบไว้ในมืออย่างตั้งอกตั้งใจป้าจูหันมาเห็นว่าผักยังหั่นไม่เสร็จก็ส่งเสียงเร่งขึ้นว่า“อ้าว ๆ หั่นแบบนั้นเมื่
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ชุดที่เจ้าสวมเป็นของลูกสาวป้าเอง บัดนี้ นางไม่มีโอกาสได้ใช้แล้ว เก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์”ป้าจูเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เมื่อนึกถึงลูกสาว“ทำไมเล่า”หลินหลินขยับเข้าไปใกล้สตรีผู้นั้น น้ำเสียงของนางช่างรันทดใจเหลือเกิน“นางถูกพวกทหารแคว้นอ้ายฉีฉุดไปเป็นเชลย ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร”ป้าจูใช้แขนเสื้อซับน้ำตา“หน็อยพวกแคว้นอ้ายฉี ไอ้พวกชั่ว ไอ้สารเลว ต่อหน้าอยากเชื่อมสัมพันธไมตรี ลับหลังบังอาจรุกรานแคว้นข้ารึ ข้าจะสั่งประหารพวกมันแล้วสับเป็นหมื่น ๆ ชิ้น !”หลินหลินโวยวายเดือดดาลเป็นสองเท่า ทั้งโกรธแค้นที่พวกมันทำร้ายประชาชนแคว้นฉู่ ทั้งโมโหที่พวกมันหลอกลวงเรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรี จนทำให้นางต้องมาตกระกำลำบากอยู่นอกวังเช่นนี้ป้าจูอดยิ้มขำกับท่าทีคลุ้มคลั่งของสาวน้อยมิได้ แม้วาจานางจะฟังดูเลอะเลือนมากไปหน่อย แต่ความโกรธแค้นของสตรีเสียสติผู้นี้ที่มีต่อแคว้นอ้ายฉีทำให้นางรู้สึกซาบซึ้งใจมิใช่น้อย“ใครส่งเสียงโวยวายในค่ายของข้า”แม่ทัพหยางจงย่ำเท้าหนัก ๆ เข้ามาในกระโจม เขาลุกขึ้นมาฝึกกำลังพลทหารตั้งแต่เช้าตรู่ จนกระทั่งได้ยินเสียงกรีดร้องของสตรีตัวร้ายผู้นี้
“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น” เฉิงอี้ร้องถามขึ้น เมื่อเห็นนายของตนสวมเพียงเสื้อตัวในสีขาว ส่วนเสื้อตัวนอกนั้นห่อหุ้มร่างขององค์หญิงอย่างมิดชิดราวกับบ๊ะจ่าง เหลือเพียงศีรษะของนางเท่านั้นที่โผล่พ้นออกมา“นางเป็นลมที่บ่อน้ำร้อน”เขาตอบสั้น ๆ พลางสาวเท้าไปยังกระโจมอย่างเร่งรีบ กลัวว่าจะมีผู้พบเห็นมากขึ้น แล้วปัญหายุ่งยากจะตามมา แต่ทันทีที่เขาจะเข้าประตูกระโจน ร่างของรองแม่ทัพก็เข้ามาขวางเอาไว้“เดี๋ยวก่อนท่านแม่ทัพ ข้าว่าท่านพานางไปที่กระโจมรับรองเถิด”“ทำไม”หยางจงขมวดคิ้วดกดำเข้าหากัน เขาอยากจะรีบโยนเผือกร้อนในอ้อมแขนออกจะตัวไว ๆ เพราะยิ่งใกล้ชิดนางมากเท่าไหร่ เขายิ่งรู้สึกว่าจะควบคุมตนเองไม่ได้มากขึ้นทุกที“เอ่อ... คือ.....”เฉิงอี้พูดไม่ออก เขาไม่อยากให้แม่ทัพเห็นสภาพกระโจมของตนในตอนนี้ เพราะเกรงว่าองค์หญิงจะถูกลงโทษไปมากกว่านี้“เฉิงอี้หลบไป !”หยางจงตะคอกออกมาอย่างเกรี้ยวกราด คนที่ยืนขวางหน้าประตูจึงจำใจเบี่ยงกายหลบให้ และเมื่อเขาเข้ามาก็พบว่า กระโจมของตนเละเทะไม่มีส่วนไหนที่เรียกได้ว่าสภาพดีราวกับว่าถูกพวกโจรเถื่อนเข้ามารื้อค้นแม่ทัพใหญ่ยืนนิ่งอึ้งกับสภาพที่เห็น กล้ามเนื้อที่โหนกแก้ม
รองแม่ทัพเฉิงอี้นำไม้กวาด ผ้าขี้ริ้ว และถังน้ำสำหรับทำความสะอาดเข้ามาในกระโจมส่งให้กับองค์หญิงเรียบร้อยแล้วก็รีบหายหัวออกไปทันทีหลินหลินจับไม้กวาดขึ้นมาท่าทางนั้นเหมือนจะจับไม้ไล่ตีคนมากกว่าจับเพื่อกวาดพื้น นางออกแรงขูดไม้กวาดไปกับพื้นกระโจมที่ปูด้วยหนังสัตว์หยาบ ๆ ฝุ่นก็ฟุ้งขึ้นมาในอากาศ นางไม่ทันระวังจึงสูดเอาฝุ่นนั้นเข้าไป จนระคายเคืองจมูกไปหมดฮัดฉิ่ววววว....เมื่อฝุ่นลอยเข้าปากนางก็ไอออกมาแค่ก ๆ ๆ“โอ๊ย อะไรกันนี่”ยิ่งกวาดฝุ่นก็ยิ่งฟุ้งเข้าทั้งจมูก ทั้งตา นางจึงต้องหรี่ตาลงทำให้มองเห็นไม่ชัด ไม้กวาดในมือก็กวัดแกว่งไปมาแล้วไปปัดข้าวของบนโต๊ะร่วงลงพื้นระเนระนาดไปคนละทิศละทางหลินหลินมองข้าวของบนพื้นอย่างอ่อนใจ ยิ่งกวาดก็ยิ่งรก สุดท้ายนางก็ขว้างไม้กวาดลงบนพื้น แล้วเปลี่ยนไปยกถังน้ำขึ้นมาเทราดลงบนโต๊ะหมายจะขัดมันให้สะอาดเอี่ยมซ่า !เพราะถังน้ำหนักเกินไป นางไม่ทันระวังจึงทำให้มันพลิกคว่ำ น้ำไหลไปถูกกับหมึกที่ฝนไว้จึงเกิดเป็นน้ำสีดำไหลนองลงพื้น อีกทั้งเอกสารบนโต๊ะก็เปียกชุ่มไปทั้งกองด้วยความตกใจ นางจึงรีบขว้างถังน้ำออกไปให้พ้นมือตุบ !โครม !เคร้ง !ถังน้ำใบใหญ่ลอยไปชนเข้ากับแท่น