สตรีผู้หนึ่งยืนท่ามกลางเหล่าทหาร ท่าทีหยิ่งยโสของนางช่างขัดกับชุดชาวบ้านที่นางสวมใส่ และเมื่อเขาสืบเท้าเข้าไปใกล้มากขึ้นก็เห็นดวงหน้างดงามหมดจดที่ยากจะลืมเลือน
“องค์หญิงปิงหลิน”
หยางจงอุทานออกมาแผ่วเบาราวกับสายลม จากนั้นเขาก็เหยียดยิ้มออกมาอย่างร้ายกาจ สวรรค์ช่างเป็นใจให้เขานัก ในเมื่อนางลักลอบหนีออกจากวังหลวงมาค่ายแห่งนี้ซึ่งไม่มีใครรู้จักนางก็เท่ากับเปิดโอกาสให้เขาได้แก้แค้น ดังนั้น เขาจึงคิดจะเล่นตามน้ำ เพื่อสั่งสอนนางเสียหน่อย
“นะ... นั่นมัน องค์...”
เฉิงอี้ที่ติดตามมายังด้านหลังยังไม่ทันจะได้เอ่ยจบประโยค เขาก็ถูกสายตาคมดุของแม่ทัพหยางจงห้ามเอาไว้ เขาจึงกลืนคำว่า -องค์หญิงปิงหลิน- ลงคอ แล้วก้าวเท้าตามผู้เป็นนายไปติด ๆ
“ที่นี่ที่ไหน เสด็จพ่อส่งพวกเจ้ามาจับข้ารึ ? ทำไมรู้ข่าวไวเช่นนี้ ? แล้วชิงชิงถูกจับไว้ที่ไหน รีบบอกข้ามาเร็วสิ เป็นใบ้กันรึไง”
องค์หญิงปิงหลินตวาดถามเหล่าทหารที่ยืนรายล้อมนางเอาไว้
ทหารทุกนายต่างมองหน้ากันไปมา คำพูดของนางฟังแล้วสับสนเหลือเกินคล้ายกับสตรีเสียสติ ทุกคนจึงพากันถอยห่างจากนางอย่างระแวดระวัง
“ข้าถามทำไมไม่ตอบ อยากถูกตัดหัวรึไง”
เมื่อไม่ได้ดั่งใจ องค์หญิงปิงหลินก็กระทืบเท้าเร่า ๆ จากนั้นก็ร้องกรี๊ดออกมาอย่างขัดใจ
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด
“ใครบังอาจมาส่งเสียงดังในค่ายทหารของข้า !”
หยางจงตวาดเสียงดังดุจฟ้าคำราม ดวงตาสีดำสนิทวาวโรจน์ราวกับเจ้าอสูร นายทหารต่างพากันขยับกายเปิดช่องทางให้กับนายของตนเดินเข้ามาในวงล้อม บนใบหน้าเหงื่อแตกพลั่กกันถ้วนหน้า
มีเพียงองค์หญิงปิงหลินเท่านั้นที่ยังคงยืนอยู่ได้อย่างมาดมั่นไม่หวั่นเกรง ในเมื่อที่นี่เป็นค่ายทหารของแคว้นฉู่ นางเป็นองค์หญิงแห่งแคว้น ทหารทุกนายก็ย่อมเป็นทาสรับใช้นาง
“แล้วตาเฒ่าหน้ารกเช่นเจ้าเล่าเป็นใคร”
องค์หญิงปิงหลินถามกลับเชิดคางขึ้นอย่างอวดดี
หยางจงถึงกับหนวดกระตุกเมื่อได้ยินวาจาสามหาวเช่นนั้น เขาแก่กว่านางแค่ 5 ปีเท่านั้น ! แต่นางกลับเรียกเขาว่า -ตาเฒ่าหน้ารก - เป็นเช่นนี้แล้วเขาต้องสั่งสอนให้นางให้หนัก !
ทหารทุกนายต่างได้ยินถ้อยคำเผ็ดร้อนของสตรีผู้นั้น แล้วลงความเห็นในใจว่า นางคงเสียสติไปแล้วจริง ๆ ที่กล้าลบหลู่ท่านแม่ทัพ ! ผู้ที่ฆ่าฟันศัตรูมานับแสน เหี้ยมโหดดุจเทพสงคราม !
“ข้าคือ แม่ทัพหยางจง ผู้มีอำนาจสูงสุด ณ ค่ายทหารแห่งนี้”
หยางจงสะกดกลั้นความเดือดดาลเอาไว้ เขาจดบัญชีนางเอาไว้ก่อนแล้วค่อยสะสางกันภายหลัง
“อ่อ !”
ปิงหลินแค่นเสียงออกมาคำหนึ่ง - หยางจง – ชื่อนี้ไม่เคยเลือนหายไปจากใจนาง เพราะเขาเป็นคนแรกที่กล้าด่านางว่าเป็น - องค์หญิงปีศาจ – และคำเรียกขานนี้ก็กลายเป็นคำติดปากของคนอื่นยามเรียกนางลับหลัง !
“ที่แท้ก็เจ้าลูกสุนัข ข้าเป็นองค์หญิงปิงหลินแห่งแคว้นฉู่ เมื่อเห็นข้าแล้ว ไยพวกเจ้ายังไม่รีบคุกเข่าลงอีก !”
นางชี้นิ้วกราดอย่างวางอำนาจ ฮ่องเต้รักใคร่นางมากที่สุด อีกทั้งองค์รัชทายาทยังคอยหนุนหลัง นางจึงไม่เห็นใครอยู่ในสายตาแม้กระทั่งแม่ทัพใหญ่
ทหารทุกนายได้ฟังคำพูดสามหาวของสตรีเสียสติผู้นั้นแล้วถึงกับเหงื่อพระกาฬไหลบ่า เพราะทุกคนต่างรู้กันทั่วถึงความเลือดเย็นไร้ความปรานีของท่านแม่ทัพ เกรงว่าสตรีนางนี้อาจจะมีลมหายใจอยู่ได้ไม่นาน
“ทะ ท่านแม่ทัพ”
รองแม่ทัพเฉิงอี้รีบสะอึกขึ้นไปคว้าแขนร่างสูงใหญ่ของผู้เป็นนายเอาไว้ กลัวว่าแม่ทัพของเขาจะพลั้งมือฆ่าองค์หญิงตายในค่าย หากเป็นเช่นนั้นต่อให้มีสิบหัวก็ไม่พอให้ตัด และที่ร้ายแรงกว่านั้นอาจจะถูกประหารเก้าชั่วโคตร !
หยางจงขบกรามกรอด ๆ ใบหน้าบิดเบี้ยวเพราะพยายามสะกดกลั้นความโกรธ เขาจะต้องไม่เปิดเผยตัวตนให้นางรู้ว่าเขาจำนางได้ ดังนั้น เมื่อปัดมือของรองแม่ทัพออกแล้วเขาจึงตวาดออกไปว่า
“หากเจ้าเป็นองค์หญิงจริงก็ต้องแสดงป้ายหยกสัญลักษณ์ขององค์หญิงออกมา ไม่เช่นนั้นแล้วข้าจะลงโทษเจ้า ! ข้อหาดูหมิ่นเหยียดหยามแม่ทัพ และบุกเข้าค่ายทหารโดยพลการ !”
องค์หญิงปิงหลินต้องมองบุรุษเคราดกดำเบื้องหน้า ใบหน้าเขาเหี้ยมโหดราวกับโจรห้าร้อย นึกไม่ถึงว่าเจ้าลูกสุนัขที่ลักลอบเข้าไปในอุทยานในวันนั้นจะกลายเป็นเสือร้ายแยกเขี้ยวใส่นางในวันนี้ !
“ข้าหนีออกจากวังจะมีสิ่งนั้นได้อย่างไร”
แม้น้ำเสียงจะอ่อนลง แต่ท่าทีหยิ่งยโสนั้นยังคงมีอยู่เต็มเปี่ยม หากไม่เพราะความรีบร้อนจนเกินไป นางคงไม่ลืมพกติดตัวมาด้วย
“เหอะ ! นั่นก็เท่ากับว่าเจ้ายอมรับแล้วสินะว่าไม่ใช่องค์หญิง งั้นก็มารับโทษเสีย !”
แม่ทัพหยางจงไล่ต้อนนางให้จนมุม
องค์หญิงปิงหลินหันกลับมาถลึงตาใส่เขา
“นี่ ! ฟังไม่เข้าใจหรืออย่างไร ก็ข้าบอกว่าหนีออกจากวัง จึงไม่ได้นำมันมาด้วย แล้วข้าจะแสดงให้ท่านดูได้อย่างไร หรือไม่ท่านก็จับข้าส่งกลับวังเสีย ฮ่องเต้จะได้ยืนยันว่าข้าเป็นองค์หญิงจริง ๆ”
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นเด็กสามขวบหรือไง หากนำตัวเจ้าที่แอบอ้างเป็นองค์หญิงเข้าเฝ้าฮ่องเต้ก็เท่ากับลบหลู่เบื้องสูง ทหารจับตัวนางไปลงโทษ !”
หยางจงยืนกราน
“ใครบังอาจกล้าแตะต้องตัวข้า !”
องค์หญิงปิงหลินไม่กลัวเสียงตวาดและสีหน้าดุดันของเขาแม้แต่น้อย เป็นนายทหารเหล่านั้นเสียอีกที่ไม่กล้าแม้แต่ขยับตัว เพราะพวกเขาต่างรับรู้ถึงรัศมีบารมีสูงส่งที่แผ่ออกมาจากตัวนาง ไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียงหรือท่าทาง หากนางเป็นองค์หญิงจริงดังคำกล่าวอ้างพวกเขามิต้องตายสถานเดียวหรือ
เช้าตรู่ของวันใหม่แม่ทัพหยางจงรู้สึกถึงน้ำหนักบางอย่างที่กดทับบนตัว เขาจึงลืมตาตื่นขึ้นแล้วพบว่า องค์หญิงปีศาจกำลังหลับใหลเกยตัวอยู่บนอกเขา มือข้างหนึ่งของนางกอดเอวเขาไว้ ทรวงอกนุ่มนิ่มบดเบียดกับหน้าอกแกร่งของเขา สัมผัสจากเรือนกายนั้นทำเอาเขาหายใจแรงขึ้น ร้อนผ่าวขึ้นทั้งตัว อีกทั้งหัวใจยังเต้นโครมครามอย่างบ้าคลั่ง“น่าตายนัก !”เขาสบถออกมาเบา ๆ ราวกับกลัวว่าจะทำให้แมวขี้เซาบนอกตื่นขึ้น ใบหน้าเขาแดงก่ำไปทั้งหน้า นางใส่ยาอะไรให้เขากิน เหตุไฉนเขาจึงมือไม้อ่อนระทวยจนไม่กล้าแม้จะขยับตัว อีกทั้งยังไม่อาจถอนสายตาจากใบหน้าอันงดงามที่กำลังหลับตาพริ้มอย่างสุขสบายมิได้ใบหน้านางนั้นงามตรึงใจยิ่งนัก ทั้งพวงแก้มยังเนียนนุ่มราวกับผิวเด็กทารก ริมฝีปากแดงระเรื่อเผยอขึ้นน้อย ๆ เขาเคยลิ้มลองความหวานของมันมาแล้ว อารมณ์ปรารถนาในใจทำให้เขาค่อย ๆ โน้มลงสัมผัสริมฝีปากนุ่มนิ่มอีกครั้ง“ท่านแม่ทัพ ! ท่านแม่ทัพ !” เสียงร้องเรียกดังลั่นขึ้นที่นอกกระโจมทำให้สติของเขากลับคืนมา หยางจงรีบผลักร่างสวยของนางออกจากตัว แล้วรีบร้อนก้าวลงจากเตียงเพราะกลัวว่าใครจะเข้ามาเห็นว่าเขาและองค์หญิงนอนร่วมเตียงเดียวกันเมื่อร่
พลบค่ำและแล้วม่านสีดำในเวลากลางคืนก็โรยตัวลงมาอีกครั้ง คบเพลิงต่างถูกจุดขึ้นทั่วทั้งค่ายทหารเพื่อให้ความสว่าง ร่างสูงสง่าของแม่ทัพย่ำเท้าหนัก ๆ มุ่งหน้าเข้าสู่กระโจมที่พักของตนนับตั้งแต่เขาสั่งให้องค์หญิงปิงหลินทำความสะอาดกระโจมก็ยังไม่ได้พบกันอีกเลยจนกระทั่งถึงตอนนี้ เพราะตนต้องออกไปลาดตระเวนและฝึกซ้อมทหารในค่าย แต่แล้วเมื่อเขาเดินเข้ามาในกระโจมก็รู้สึกประหลาดเป็นอย่างมาก กระโจมของเขาดูสะอาดเรียบร้อย อีกทั้งยังมีอาหารร้อน ๆ วางไว้บนโต๊ะพร้อมกับสุราหลินหลินที่เพิ่งจะจัดเตรียมอาหารเสร็จก็ส่งยิ้มมาให้เขา พร้อมกับเสียงใส ๆ เอ่ยขึ้นว่า“ท่านแม่ทัพ ท่านคงจะเหนื่อยมาก วันนี้ข้ากับป้าจูจึงช่วยกันทำอาหารอย่างสุดฝีมือเพื่อท่านโดยเฉพาะ”เสียงหวาน ๆ พร้อมกับรอยยิ้มที่ดูใสซื่อนั้นทำให้เขาชะงักฝีเท้ารู้สึกแคลงใจกับท่าทีอ่อนหวานของนาง องค์หญิงปีศาจแห่งวังหลวงเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ รึ หรือว่านางมีแผนการอันชั่วร้ายอันใดซ่อนอยู่เมื่อเห็นแม่ทัพหน้าโหดยังไม่ยอมเข้ามานั่งลงเสียที นางจึงรีบเข้าไปดึงแขนคนตัวโตกว่ามานั่งลงที่โต๊ะอาหารพร้อมกับรินสุราให้เขาอย่างเอาอกเอาใจ“อย่ามัวชักช้าอยู่เลย เดี๋ยวอาหารเหล
หลินหลินเดินตามป้าจูไปอย่างว่าง่าย บนโต๊ะมีผักหลากหลายชนิดที่นางไม่เคยรู้จัก นางจึงหยิบต้นนั้นต้นนี้ขึ้นมาดม ๆ ดู แล้วก็ต้องย่นจมูกเพราะบางต้นกลิ่นฉุนนัก“นี่ นังหนูหยุดดมเป็นสุนัขได้แล้ว เดี๋ยวจะเอาลงไฟไม่ทัน ดูป้าไว้นะ... จับแบบนี้ แล้วก็หั่นแบบนี้ กะระยะให้เท่ากัน เข้าใจไหม”ป้าจูรวบผักบุ้งไว้เต็มกำมือ จากนั้นก็ใช้มีดหั่นตัดลงไปเป็นท่อน ๆ เท่ากัน อย่างคล่องแคล่วหลินหลินมองดูก้านผักบุ้งที่ถูกหั่นออกเป็นท่อนเท่า ๆ กันตาโต สตรีชราผู้นี้หั่นให้เท่ากันได้อย่างไร โดยไม่ต้องใช้อะไรวัด“ลองทำดูนะ”ป้าจูส่งมีดให้หญิงสาวข้างกาย นางรับมีดมาถือไว้อย่างเงอะงะหลินหลินรวบผักบุ้งมาเต็มกำมือ แต่ดูเหมือนว่าผักบุ้งจะไม่ให้ความร่วมมือกับนางเอาเสียเลย ผักบุ้งแต่ละลำชี้โด่ชี้เด่ไปคนละทิศละทาง นางพยายามรวบใหม่อยู่หลายครั้งก็ไม่สำเร็จ จึงกำ ๆ ไว้ในมือแล้ววางลงบนเขียง จากนั้นก็เพ่งสายตาวัดระยะการหั่นให้ได้ท่อนที่มียาวเท่า ๆ กันฉับ...... ฉับ....... ฉับ......หลินหลินค่อย ๆ กดมีดลงบนก้านผักที่รวบไว้ในมืออย่างตั้งอกตั้งใจป้าจูหันมาเห็นว่าผักยังหั่นไม่เสร็จก็ส่งเสียงเร่งขึ้นว่า“อ้าว ๆ หั่นแบบนั้นเมื่
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ชุดที่เจ้าสวมเป็นของลูกสาวป้าเอง บัดนี้ นางไม่มีโอกาสได้ใช้แล้ว เก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์”ป้าจูเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เมื่อนึกถึงลูกสาว“ทำไมเล่า”หลินหลินขยับเข้าไปใกล้สตรีผู้นั้น น้ำเสียงของนางช่างรันทดใจเหลือเกิน“นางถูกพวกทหารแคว้นอ้ายฉีฉุดไปเป็นเชลย ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร”ป้าจูใช้แขนเสื้อซับน้ำตา“หน็อยพวกแคว้นอ้ายฉี ไอ้พวกชั่ว ไอ้สารเลว ต่อหน้าอยากเชื่อมสัมพันธไมตรี ลับหลังบังอาจรุกรานแคว้นข้ารึ ข้าจะสั่งประหารพวกมันแล้วสับเป็นหมื่น ๆ ชิ้น !”หลินหลินโวยวายเดือดดาลเป็นสองเท่า ทั้งโกรธแค้นที่พวกมันทำร้ายประชาชนแคว้นฉู่ ทั้งโมโหที่พวกมันหลอกลวงเรื่องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรี จนทำให้นางต้องมาตกระกำลำบากอยู่นอกวังเช่นนี้ป้าจูอดยิ้มขำกับท่าทีคลุ้มคลั่งของสาวน้อยมิได้ แม้วาจานางจะฟังดูเลอะเลือนมากไปหน่อย แต่ความโกรธแค้นของสตรีเสียสติผู้นี้ที่มีต่อแคว้นอ้ายฉีทำให้นางรู้สึกซาบซึ้งใจมิใช่น้อย“ใครส่งเสียงโวยวายในค่ายของข้า”แม่ทัพหยางจงย่ำเท้าหนัก ๆ เข้ามาในกระโจม เขาลุกขึ้นมาฝึกกำลังพลทหารตั้งแต่เช้าตรู่ จนกระทั่งได้ยินเสียงกรีดร้องของสตรีตัวร้ายผู้นี้
“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น” เฉิงอี้ร้องถามขึ้น เมื่อเห็นนายของตนสวมเพียงเสื้อตัวในสีขาว ส่วนเสื้อตัวนอกนั้นห่อหุ้มร่างขององค์หญิงอย่างมิดชิดราวกับบ๊ะจ่าง เหลือเพียงศีรษะของนางเท่านั้นที่โผล่พ้นออกมา“นางเป็นลมที่บ่อน้ำร้อน”เขาตอบสั้น ๆ พลางสาวเท้าไปยังกระโจมอย่างเร่งรีบ กลัวว่าจะมีผู้พบเห็นมากขึ้น แล้วปัญหายุ่งยากจะตามมา แต่ทันทีที่เขาจะเข้าประตูกระโจน ร่างของรองแม่ทัพก็เข้ามาขวางเอาไว้“เดี๋ยวก่อนท่านแม่ทัพ ข้าว่าท่านพานางไปที่กระโจมรับรองเถิด”“ทำไม”หยางจงขมวดคิ้วดกดำเข้าหากัน เขาอยากจะรีบโยนเผือกร้อนในอ้อมแขนออกจะตัวไว ๆ เพราะยิ่งใกล้ชิดนางมากเท่าไหร่ เขายิ่งรู้สึกว่าจะควบคุมตนเองไม่ได้มากขึ้นทุกที“เอ่อ... คือ.....”เฉิงอี้พูดไม่ออก เขาไม่อยากให้แม่ทัพเห็นสภาพกระโจมของตนในตอนนี้ เพราะเกรงว่าองค์หญิงจะถูกลงโทษไปมากกว่านี้“เฉิงอี้หลบไป !”หยางจงตะคอกออกมาอย่างเกรี้ยวกราด คนที่ยืนขวางหน้าประตูจึงจำใจเบี่ยงกายหลบให้ และเมื่อเขาเข้ามาก็พบว่า กระโจมของตนเละเทะไม่มีส่วนไหนที่เรียกได้ว่าสภาพดีราวกับว่าถูกพวกโจรเถื่อนเข้ามารื้อค้นแม่ทัพใหญ่ยืนนิ่งอึ้งกับสภาพที่เห็น กล้ามเนื้อที่โหนกแก้ม
รองแม่ทัพเฉิงอี้นำไม้กวาด ผ้าขี้ริ้ว และถังน้ำสำหรับทำความสะอาดเข้ามาในกระโจมส่งให้กับองค์หญิงเรียบร้อยแล้วก็รีบหายหัวออกไปทันทีหลินหลินจับไม้กวาดขึ้นมาท่าทางนั้นเหมือนจะจับไม้ไล่ตีคนมากกว่าจับเพื่อกวาดพื้น นางออกแรงขูดไม้กวาดไปกับพื้นกระโจมที่ปูด้วยหนังสัตว์หยาบ ๆ ฝุ่นก็ฟุ้งขึ้นมาในอากาศ นางไม่ทันระวังจึงสูดเอาฝุ่นนั้นเข้าไป จนระคายเคืองจมูกไปหมดฮัดฉิ่ววววว....เมื่อฝุ่นลอยเข้าปากนางก็ไอออกมาแค่ก ๆ ๆ“โอ๊ย อะไรกันนี่”ยิ่งกวาดฝุ่นก็ยิ่งฟุ้งเข้าทั้งจมูก ทั้งตา นางจึงต้องหรี่ตาลงทำให้มองเห็นไม่ชัด ไม้กวาดในมือก็กวัดแกว่งไปมาแล้วไปปัดข้าวของบนโต๊ะร่วงลงพื้นระเนระนาดไปคนละทิศละทางหลินหลินมองข้าวของบนพื้นอย่างอ่อนใจ ยิ่งกวาดก็ยิ่งรก สุดท้ายนางก็ขว้างไม้กวาดลงบนพื้น แล้วเปลี่ยนไปยกถังน้ำขึ้นมาเทราดลงบนโต๊ะหมายจะขัดมันให้สะอาดเอี่ยมซ่า !เพราะถังน้ำหนักเกินไป นางไม่ทันระวังจึงทำให้มันพลิกคว่ำ น้ำไหลไปถูกกับหมึกที่ฝนไว้จึงเกิดเป็นน้ำสีดำไหลนองลงพื้น อีกทั้งเอกสารบนโต๊ะก็เปียกชุ่มไปทั้งกองด้วยความตกใจ นางจึงรีบขว้างถังน้ำออกไปให้พ้นมือตุบ !โครม !เคร้ง !ถังน้ำใบใหญ่ลอยไปชนเข้ากับแท่น