ขณะเดียวกัน ณ อีกฟากหนึ่งของแผ่นดินต้าหรง ไป๋อี้เฉินกำลังเร่งเตรียมการออกเดินทางสู่แคว้นเป่ยฉี…แคว้นสำคัญยิ่งของอาณาจักรต้าหรงทางเหนือปีนี้หิมะตกหนักกว่าทุกปีถล่มลงมาปิดเส้นทางสายหลักระหว่างแดนเหนือกับเสวียนหยางจนชาวบ้านและพ่อค้าไม่อาจสัญจรไปมาค้าขายได้ ความเดือดร้อนสะท้อนถึงต่างแดนข้าวปลาและเสบียงอาหารเริ่มขาดแคลน การค้าเกิดเสียหายร้ายแรง หย่งหมิงฮ่องเต้ทรงร้อนพระทัย จึงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งขบวนผู้แทนพระองค์ พร้อมกำลังพลกว่าสองหมื่นนายจากค่ายเฮยฉีของจวิ้นอันโหวสวีฉีฟ่าน ทั้งยังจัดเตรียมเสบียงและหีบเงินสูงท่วมราวภูผา เพื่อบรรเทาความทุกข์ราษฎรแรกเริ่ม หากไป๋อี้หานมิได้ยกทัพปราบโจรสลัดที่แดนใต้ ภารกิจนี้ย่อมเป็นของชินอ๋องหนุ่ม แต่เมื่ออี้หานไม่อยู่ หย่งหมิงฮ่องเต้จึงมอบหมายแก่ไป๋อี้หยาง องค์ชายเจ็ดผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดทว่าความดีความชอบใหญ่เช่นนี้ ไป๋อี้เฉินจะยอมปล่อยให้น้องชายต่างมารดาชิงไปง่ายดายได้อย่างไรเขาเริ่มจากแผนแรกให้เจียงหลีพระชายาเอกตนเองไปขอร้องให้พ่อตาเช่นจวิ้นอันโหวสวีฉีฟ่านกับราชครูโจวเซิงเฉินที่เป็นขุนนางคนสำคัญของต้าหรงเข้าเฝ้ากราบทูล ขอพระราชทานอภัยโทษและปลดปล่
ผ่านไปสามวัน อาการบาดเจ็บของไป๋อี้หานค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ แผลที่เคยฉกรรจ์เริ่มสมาน ความซีดเซียวบนใบหน้าแม้ยังไม่หายไป แต่แววตาที่เคยหม่นหมองกลับกระจ่างแจ่มชัดขึ้นทุกวันตลอดช่วงเวลานั้น สวีเจียงหลัวแทบไม่ละห่าง ยามเช้านางต้มยาด้วยมือตนเอง กลิ่นสมุนไพรขมกรุ่นอบอวลทั่วกระโจม ยามค่ำก็เปลี่ยนผ้าพันแผลให้เขาอย่างเบามือ แม้เหน็ดเหนื่อยเพียงใดก็ไม่เคยบ่นสักคำ นางมิเรียกใช้ข้ารับใช้ ไม่ว่านางกำนัลหรือขันที ทุกสิ่งล้วนลงมือเอง ประหนึ่งว่าการดูแลเขาคือหน้าที่ที่ผูกพันอยู่ในลมหายใจจนกระทั่งยามเช้าวันที่สี่ อี้หานจึงเอ่ยปากขอให้นางพาออกไปสูดอากาศภายนอกกระโจมบ้างหลังนอนอุดอู้มาหลายวันลมทะเลพัดอ่อน ๆ กลิ่นเค็มสดชื่นซึมเข้าสู่ปอด ทั้งสองเดินเคียงกันท่ามกลางแสงตะวันใกล้อัสดง ฝีเท้าอี้หานยังไม่มั่นคง แต่ยามใดที่เขาซวนเซ มือน้อยของเจียงหลัวก็ประคองไว้เสมอ แขนแกร่งของเขากลับกุมมือนางแน่นราวกับยึดเหนี่ยวเรี่ยวแรงและกำลังใจ“จริงสิ…”เสียงทุ้มของเขาดังขึ้น ขณะทอดสายตามองคลื่นที่ซัดกระทบโขดหิน“เหตุใดเจ้าจึงจากเมืองเหลียงฉู่มาถึงเจียงเหอได้? ข้ามิใช่กำชับแล้วหรือ ให้รออยู่ที่ตำหนักสี่ฤดูของเรา”คำถามนั้น
เสียงลมหายใจหนัก ๆ ดังประสานกับแรงเต้นของหัวใจที่ยังสั่นระรัว มือใหญ่ที่อ่อนแรงค่อย ๆ ยกขึ้น กดท้ายทอยของนางแนบอกแกร่ง ราวกลัวว่าหากปล่อยเพียงครู่ ร่างบอบบางนี้จะละลายหายไปกับความฝัน“ต้าหลัว... เจ้ายังอยู่ ดีเหลือเกิน”เจียงหลัวนิ่งค้าง ดวงตาเบิกกว้างด้วยความกังขาเหตุใดถ้อยคำแรกยามฟื้นจึงเต็มไปด้วยสิ้นหวังปานนั้น? แต่เมื่อได้เห็นดวงตาขุ่นหมองเต็มไปด้วยความโหยหาของเขา หัวใจนางก็สั่นสะท้าน น้ำตาไหลพรากทันที นางส่ายหน้าแรง ๆ ทั้งสะอื้นทั้งยืนยัน“ข้ายังอยู่สิ! ท่านพี่ต่างหากที่บาดเจ็บ ข้าจะไปไหนได้เล่า”ฟังถ้อยคำที่พรั่งพรูจากใจนั้น เหมือนสายน้ำใสหลั่งรินลงบนรอยแผลลึกกลางใจอี้หาน ความหนาวเย็นที่กัดกินในอกพลันอุ่นขึ้นชั่วขณะ เขากอดสตรีที่รักแน่นขึ้น แม้ความปวดร้าวจากบาดแผลแล่นลึกจนไหล่สั่นสะท้าน แต่ก็ยังฝืนรั้งไว้ มิยอมให้แยกจาก มือใหญ่สั่นเทาเหมือนยากควบคุม น้ำเสียงพร่าหนักลอดไรฟันออกมา“ขณะหมดสติ ข้าฝัน...”เจียงหลัวสะอื้นเสียงเครือ รีบถามทั้งน้ำตา“ฝันหรือเพคะ?”“ใช่ ข้าฝัน...ในฝันนั้น ข้าเห็นคนสกุลสวีถูกประหาร”เสียงทุ้มแหบพร่าเหมือนคมดาบขูดหิน กล่าวขาดห้วงสั่นสะท้าน ภาพในความฝันยังตา
ในขณะที่สวีเจียงหลัวกำลังวิงวอนท่านพญายมและสาปแช่งสวรรค์ให้อี้หานปลอดภัย ดวงจิตของชินอ๋องหนุ่มกลับถูกแรงลึกลับฉุดดึงสู่ห้วงมิติพิศวงเขาก้าวฝ่าม่านหมอกหนาทึบ เท้าเหยียบลงบนผืนดินแห้งแตกระแหง ไร้ร่องรอยทิ้งไว้เบื้องหลัง ประหนึ่งเงาล่องหนที่พลัดหลงในแดนเร้นลับ ทั้งหนาวเหน็บ ทั้งกันดารเปรี้ยง!เสียงฟ้าคำรามดังสนั่น ลมพายุโหมกระหน่ำ ฝุ่นผงผสมฝนเย็นเฉียบสาดเข้าหน้า กลิ่นดินเปียก หญ้าแห้ง และควันไฟคลุ้งทึบจนแทบหายใจไม่ออก“นี่มัน…ที่ใดกัน?” อี้หานพึมพำเขาก้าวต่อไปอย่างไม่รู้สิ้นสุด จนภาพตรงหน้าค่อยเปลี่ยนจากความว่างเปล่า กลายเป็นสุสานไร้ญาตินอกเมืองเสวียนหยางที่คุ้นตาเบื้องหน้าปรากฏโลงศพดำตั้งตระหง่านดุจแท่นบูชายัญ เปลวคบเพลิงสะท้อนเงาคนเป็นร้อยโยกไหวกลางลมแรง กว่าครึ่งคือทหารหลวงแห่งต้าหรงที่เขาคุ้นเคยมาร่วมสามสิบปี ยืนเรียงรายแข็งทื่อดั่งรูปสลักสายตาคมกวาดไป เห็นกลุ่มคนในชุดนักโทษคุกเข่ากลางวงล้อม โซ่ตรวนพันธนาการเต็มกาย เมื่อเพ่งพิศก็จำได้ชัดคือคนตระกูลสวีทั้งหมด ทั้งสวีเหล่าไท่เย่ สวีเหล่าไท่ไท่ จวิ้นอันโหว สวีฮูหยิน สวีเฉียวเฟิ่ง และบ่าวไพร่คนสนิททว่ามีสิ่งหนึ่งที่บีบหัวใจเขาหนักห
ไม่นานข่าวก็ล่วงถึงหู สวีเจียงหลัว ผู้พำนักอยู่แดนใต้ ณ ตำหนักสี่ฤดูแคว้นเจียงหนานเมืองเหลียงเต๋อซึ่งชินอ๋องฝากฝังให้นางดูแลกิจการบ้านเมืองระหว่างเสด็จไปปราบโจรไป๋ซาหยีที่เมืองเจียงเหอ“บัดซบ!”เสียงสบถแผดก้องดั่งฟ้าผ่ากลางวันแสก ๆ สะท้อนสะเทือนอยู่ในห้องทรงพระอักษรจนนางกำนัลที่กำลังทำงานแถวนั้นพากันหน้าซีดเผือด แม้แต่หลันถิงผู้คอยถวายงานใกล้ชิดยังสะดุ้งถอยหลังไปสามก้าว ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงแม้เจียงหลัวจะวางหมากป้องกันรอบด้านรัดกุมเพียงใด สิ่งเดียวที่นางไม่อาจคุมได้ก็คือฟ้าฝนและภัยธรรมชาติ หิมะถล่มครั้งนี้เปิดโอกาสให้ ไป๋อี้เฉิน ได้คว้าบุญคุณอันใหญ่หลวงไม่พอเขายังจะพ้นผิดอย่างสง่างาม หากเขานำทัพกู้ภัยสำเร็จ ย่อมได้ทั้งเสียงสรรเสริญจากราษฎร และพระเนตรพระกรรณของฮ่องเต้ หากหย่งหมิงโปรดปรานอาจทรงตั้งเขาเป็นรัชทายาทยามใดก็ได้!“คนผู้นี้ให้ตาย ข้าก็ยอมให้นั่งบัลลังก์มิได้เด็ดขาด!”เสียงนางกัดฟัน เขี้ยวขาวบดกันแน่นจนกรามขึ้นสัน หัตถ์บางกำถ้วยหยกแน่นจนร้าวเกือบแตก เศษความโกรธพุ่งพล่านราวเพลิงลุกโชนกลางอกในแววตาคมลึกวาวโรจน์ ความทรงจำในอดีตชาติพรั่งพรู ไป๋อี้เฉินมิใช่เพียงองค์ชายสำราญไร้ส
พอไป๋อี้เฉินทราบข่าวว่าพระชายาของตนถูกชินอ๋องลงโทษให้นั่งคุกเข่ากลางหิมะ นัยน์ตาคมก็ลุกวาบด้วยเพลิงโทสะ แทบจะสะบัดแขนเสื้อผละออกไปเอาเรื่องถึงเรือนพักทันที“สตรีโง่เขลาก็เป็นสตรีโง่เง่าอยู่วัยยันค่ำ ข้ายังหวังอะไรจากคนเช่นนางกัน” ยิ่งคิดอี้เฉินยิ่งเสียดายสวีเจียงหลัว เพราะเปลี่ยนกันแล้วเหตุการณ์เช่นหากเขาแต่งกับเจียงหลัวนางคงช่วยเขาได้ง่ายเพียงพลิกฝ่ามือ“ช่างไร้ประโยชน์นัก!” เสียงคำรามต่ำลอดไรฟัน ข้อมือแกร่งยกขึ้นกำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน “ทำให้ข้าต้องขายหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า สมควรแล้วหรือที่จะเป็นพระชายาขององค์ชายสาม!”แต่ก่อนที่เขาจะก้าวพรวดออกจากตำหนัก เงาร่างหนึ่งก็ปรากฏ ซูเหวินจิ้งยกพัดขนนกขึ้นขวางเอาไว้ แววตาลุ่มลึกสงบนิ่ง ทว่าเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์เพทุบายราวจิ้งจอกเฒ่า“องค์ชายสาม โปรดอย่าวู่วาม” น้ำเสียงของใต้เท้าซูนุ่มนวล แต่กลับกดดันจนคนฟังเย็นสันหลัง “พระชายาเจียงหลี ต่อให้เปราะบางหรือโง่เขลาสักเพียงใด ก็ยังเป็นบุตรสาวของฉีฟ่าน ตาเฒ่าผู้นั้นรักบุตรสาวดุจแก้วตาดวงใจ หากองค์ชายคิดจะเหวี่ยงโทสะใส่นางในยามนี้ ไม่เพียงไร้ประโยชน์ แต่ยังเป็นการตัดหนทางตนเองด้วยพ่ะย่ะค่ะ”อี้เฉินชะ