“ฮะ ฮะ ฮะ เจ้าช่างตรงไปตรงมายิ่ง แล้วถ้าหากว่าเจ้ามิใช่เป็นเพียงคนแคว้นฉินเท่านั้น แต่เจ้ายังมีตำแหน่งเป็นอ๋องน้อยของแคว้นเหลียงด้วย เช่นนี้เจ้าคงไม่ปฏิเสธการทำเพื่อแคว้นเหลียงหรอกจริงหรือไม่”“ท่านอ๋องเหตุใดจึงได้เอ่ยเรื่องที่มันไม่เป็นความจริงด้วยขอรับ ข้าหาได้เป็นอ๋องน้อยของแคว้นเหลียงไม่ เหตุใดจึงต้องทำเพื่อแคว้นเหลียงด้วยขอรับ”“หมิงเอ๋อร์ อย่าเสียมารยาท” จางอี้เทาเอ่ยเตือนบุตรชายด้วยความตกใจในสิ่งที่ได้ยินตอนนี้“ไม่เป็นไร ผิดแล้วเด็กน้อย เจ้ามิรู้หรือว่า เจ้ามีศักดิ์เป็นอ๋องน้อย บุตรชายอีกคนของเราตั้งแต่เจ้ารับป้ายหยกประจำตัวของเราไปแล้ว ป้ายหยกอันนั้นคือสิ่งยืนยันถึงฐานะตำแหน่งของเจ้ามาตั้งนานแล้ว” ท่านอ๋องโบกมือให้จางอี้เทาก่อนตอบคำถามของเด็กน้อยที่เพิ่งรู้ตัวว่าตนเองกลายเป็นเชื้อพระวงศ์ไปเสียแล้ว“เป็นไปมิได้ ข้ามิเคยรู้มาก่อนดังนั้นจึงไม่ถือว่าเป็นความจริงเช่นนั้นข้าขอคืนป้ายหยกนั้นให้ท่านได้หรือไม่” จางอี้หมิงถึงกับเอ่ยด้วยความร้อนรน เขาไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องกับพวกเชื้อพระวงศ์ เขาอยากอยู่อย่างเงียบ ๆ สงบ ๆ ค้าขายไปตามอัธยาศัยของตนเอง“บังอาจ เรื่องเช่นนี้เอามาล้อเล่นได้เช
เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ทุกคนจึงย้ายไปที่ห้องอาหารของจวนอ๋อง ซึ่งพ่อบ้านได้ไปแจ้งให้ท่านอ๋อง ท่านอาจารย์เทียน รวมทั้งจางอี้เทาและเถ้าแก่หวังไปรอที่ห้องอาหารอยู่ก่อนแล้ว เนื่องจากอี้หมิงเห็นว่าในห้องอาหารจะเหมาะกับการนำเสนอรายการอาหารได้ดีกว่าที่ศาลาริมสระบัว“เสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ ท่านต้องไม่เชื่อเป็นแน่ อาหารมากมายเหล่านี้ทำมาจากเส้นด้องแด้งทั้งหมดเลยพ่ะย่ะค่ะ” อ๋องน้อยเดินเร็ว ๆ เข้าไปในห้องอาหารแล้วกล่าวทูลเสียงใส มีจางอี้หมิงเดินเยื้องมาทางด้านหลังเล็กน้อย แล้วจึงตามด้วยขบวนทหารรับใช้ที่ถือถาดอาหารเดินตามกันมา ก่อนพวกเขาจะวางสำรับไว้บนโต๊ะเสวยจนเต็ม เกือบไม่มีพื้นที่วางอีกต่อไป“เหตุใดพ่อจะไม่เชื่อเล่าอ๋องน้อย ไหนกันเจ้าตัวเล็กมีอันใดมานำเสนอข้าหรือไม่ ปล่อยให้ข้ารอเสียนาน อาหารของเจ้าต้องไม่ทำให้ข้าผิดหวังนะ” หนิงอ๋องหยอกเย้าจางอี้หมิงอย่างอารมณ์ดี“ต้องขอประทานอภัยด้วยขอรับที่ให้ท่านอ๋องรอนาน แต่ข้ารับรองว่าท่านอ๋องต้องถูกใจรายการอาหารนี้เป็นแน่ขอรับ” จางอี้หมิงเดินมายืนอยู่ข้าง ๆ บิดาและเถ้าแก่หวังที่ยืนอยู่ข้าง ๆ โต๊ะเสวยเพื่ออธิบายถึงรายการอาหารต่าง ๆ ส่วนอ๋องน้อยเดินไปนั่งประจำที
พี่ท่านจะมาไม้ไหนกันแน่ เป็นมิตรเกินจริงจนน่าสงสัยจางอี้หมิงได้แต่คิดในใจอย่างไม่ไว้วางใจ ท่าทีของพ่อครัวจวนอ๋องดูแปลกจากครั้งก่อนมากเกินไป“ข้ากำลังมองหาพ่อครัวที่สามารถปรุงอาหารชนิดใหม่เพื่อนำขึ้นโต๊ะเสวยของท่านอ๋องขอรับ”“เช่นนั้นหรอกหรือ ข้าสามารถทำให้เจ้าได้เพียงเจ้าบอกมาเท่านั้น” ตี้ปินเสนอตนเอง“จะเป็นการรบกวนท่านพ่อครัวหรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยถามแบ่งรับแบ่งสู้ ความจริงแล้วจางอี้หมิงก็อยากให้เป็นพ่อครัวใหญ่ เนื่องจากว่าพวกเขารู้งานอยู่แล้ว“รบกวนอันใดกัน ข้าเป็นพ่อครัว อาหารที่นำขึ้นตั้งโต๊ะเสวยล้วนเป็นหน้าที่ของข้า ดังที่ข้าบอกเจ้าไปแล้ว สิ่งใดที่มันผ่านไปแล้วก็ขอให้มันผ่านไปเถิด พวกเรามาเริ่มต้นกันใหม่ได้หรือไม่”จางอี้หมิงเห็นว่าตี้ปินเป็นฝ่ายอ่อนข้อให้ก่อนก็มิได้ติดใจสงสัยอันใดต่อไป อย่างน้อยเป็นมิตรก็ดีกว่าเป็นศัตรู“เช่นนั้นรบกวนพี่สาวตี้แล้วขอรับ” จางอี้หมิงเมื่อได้รับการเสนอน้ำใจให้ก็ไม่เล่นตัว ยอมรับการเสนอความช่วยเหลือนั้นอย่างเต็มใจ“หมิงหมิงน้อยเจ้าเรียกข้าว่าอันใดกัน” ตี้ปินเมื่อได้ยินจางอี้หมิงเรียกตนเองว่าพี่สาวก็พาลให้ถูกใจยิ่งนัก เพราะไม่เคยมีใครเรียกตนเอง
“น้องชายหมิง น้องชายหมิง เจ้ารอข้าด้วย”อ๋องน้อยรีบเดินเเกมวิ่งเพื่อให้ทันกับจางอี้หมิง ปากก็ตะโกนบอกให้เด็กชายหยุดรอตนเอง“ท่านอ๋องน้อย อย่าเรียกข้าว่าน้องชายเลยขอรับ ข้ามิอาจเอื้อมรับเกียรติเป็นน้องชายของท่านอ๋องน้อยขอรับ” จางอี้หมิงหยุดรอแล้วหันหน้ากลับไปบอก“ได้ ๆ เช่นนั้นข้าเรียกเจ้าว่าหมิงหมิงน้อยเช่นท่านอาจารย์เทียนคงได้ใช่หรือไม่”“ได้ขอรับ”“หมิงหมิงน้อย ตัวเจ้าเล็กถึงเพียงนี้เหตุใดถึงทำอาหารได้กันเล่า”อ๋องน้อยเอ่ยถามด้วยความสงสัย สองเท้าเริ่มชะลอเมื่อเข้าใกล้คนที่ตนวิ่งตามแล้ว“ผิดแล้วขอรับ ข้าตัวเล็กเพียงนี้ไม่สามารถปรุงอาหารได้หรอกขอรับ เพียงแต่่ว่าข้าสามารถบอกให้พ่อครัวของจวนอ๋องทำตามที่ข้าบอกได้ขอรับ” จางอี้หมิงเอ่ยอธิบาย ก่อนจะเริ่มก้าวเดินต่อไปตามทางเดิน ซึ่งเขายังจำได้ว่าห้องครัวต้องไปทางไหนจากการมาที่จวนอ๋องครั้งที่แล้ว“เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าเจ้าเป็นเด็กที่เก่งมาก เก่งกว่าเด็กทุกคนที่ข้าเคยรู้จักมา”“ท่านอ๋องน้อย ข้าก็มิได้เก่งกาจมากไปกว่าเด็กทั่วไปหรอกขอรับ เพียงแต่ข้าอ่านหนังสือมามากว่าเด็กคนอื่นเพียงเท่านั้น” จางอี้หมิงเอ่ยตอบโดยที่มิได้หยุดเดินไปแม้แต่น้อย“พวกเร
“ขอรับ ข้าได้คิดหนทางแก้ไขปัญหาไว้แล้ว เพียงแต่ว่าต้องปรึกษาท่านเจ้าเมืองขอรับ ลำพังหมู่บ้านข้าคงไม่สามารถทำได้ ซึ่งปัญหาเรื่องเชื้อเพลิงจะหมดไปและสามารถแก้ปัญหาให้กับทุกแคว้นเลยขอรับ” จางอี้หมิงตอบรับคำถามหนิงอ๋องพลางส่งยิ้มสดใสไปให้“หนทางอันใด รีบเล่าออกมา” ท่านอาจารย์เทียนเอ่ยอย่างรีบร้อน“ท่านอาจารย์เทียนจำต้นลูกหนามได้หรือไม่ขอรับ” จางอี้หมิงถามกลับเสียงใส“เจ้าคงมิได้หมายถึงว่า......”“ท่านอาจารย์เทียนเดาได้ถูกต้องแล้วขอรับ ต้นลูกหนามมีมากมายหลายลี้ที่หมู่บ้านหลัวถง และข้ายังได้ข่าวลือมาอีกว่าพบป่าต้นลูกหนามในอีกหลายหมู่บ้าน เพียงแต่ท่านอ๋องทำข้อตกลงซื้อถ่านจากกลุ่มการค้าหลัวถง ข้าก็สามารถรับประกันได้ว่าแคว้นเหลียงจะมีถ่านเพียงพอจะก่อกองไฟให้ความร้อนแก่โรงเรือนปลูกผักได้แล้วขอรับ” จางอี้หมิงอธิบาย“เดี๋ยวนะหมิงหมิงน้อย แต่ข้าได้ยินมาว่าเพียงนำลูกหนามมาทุบก็สามารถก่อกองไฟได้แล้ว แต่เมื่อกี้เจ้าบอกว่าถ่าน ข้ายังมิค่อยเข้าใจหรือว่าข้าฟังผิดไปเช่นนั้นหรือ” ท่านอาจารย์เทียนเอ่ยถามต่อด้วยความสงสัย หรือว่าเขาแก่เลยหูฝาดไป“นั่นสิหมิงเอ๋อร์ พ่อก็ได้ยินว่าถ่านนะ เหตุใดมิใช่ผลลูกหนามเปล่
ตัวเขาเคยแปลกใจเหตุใดบิดาถึงบอกว่าเด็กชายคนนั้นน่าสนใจและมีความเฉลียวฉลาดเกินเด็กทั่วไปมาก ยิ่งได้รับฟังรายงานจากท่านอาจารย์เทียนซึ่งก็เป็นอาจารย์ของทั้งตัวเขาและเสด็จพ่อแล้ว ยิ่งทำให้เขาอยากรู้จักเด็กชายตรงหน้าให้มากขึ้นไปอีก“ท่านอ๋องขอรับ มิทราบว่าเกลือผักกับน้ำตาลผัก สินค้าของกลุ่มการค้าหลัวถงมีอันใดผิดพลาดหรือไม่ขอรับ”จางอี้หมิงเมื่อเห็นว่าการแนะนำตัวเสร็จสิ้นไปแล้ว จึงถือโอกาสถามถึงสินค้าที่ทางกลุ่มการค้าผลิตส่งให้กับกองกำลังเหลียงอันเพื่อความแน่ใจได้ในที่สุด“เกลือผักกับน้ำตาลผัก หามีสิ่งใดผิดพลาดไม่ ในฤดูหนาวที่ยาวนานเช่นนั้นน้ำตาลผักที่นำไปทำเป็นชาผัก ช่วยไว้ได้มากทีเดียว ชาวบ้านรวมทั้งตัวข้าชื่นชอบยิ่งนัก ในปีนี้ทางกองกำลังเหลียงอันก็จะทำการซื้อสินค้าจากกลุ่มการค้าหลัวถงเพิ่มขึ้นอีก” ท่านอ๋องตอบ“ท่านอาจารย์เทียน อาการป่วยของท่านเป็นเช่นไรบ้างขอรับ”“หมิงหมิงน้อย ด้วยคำแนะนำการปฏิบัติของเจ้า อาการป่วยของข้าดีขึ้นมากแล้ว ต้องขอบใจเจ้ายิ่งนัก” อาจารย์เทียนเอ่ยตอบคำถามเด็กน้อยด้วยใบหน้าที่อาบไปด้วยความสุข“ได้เยินเช่นนี้ข้าดีใจยิ่งขอรับ และข้ายังมีข่าวดียิ่งขึ้นไปอีกนั่นคือ