ซูหรงพาเสี่ยวซุ่ยเดินตามหญิงในชุดคลุมเขียวขึ้นสู่ลานเขาที่ทอดตัวอยู่เหนือม่านหมอก เส้นทางสูงชันตัดกับท้องฟ้า บริเวณนั้นมีศาลาหลังหนึ่งตั้งอยู่กลางลาน ล้อมรอบด้วยแมกไม้ที่บานสะพรั่งตลอดปีโดยไม่แยแสฤดูกาล เสียงน้ำไหลจากลำธารใสพลิ้วเป็นจังหวะละมุน ราวกับแว่วเสียงดนตรีเบา ๆ อยู่ในสายลม“ที่นี่คือด่านสุดท้าย” หญิงในชุดคลุมเขียวเอ่ยขึ้น ขณะเดินเข้าไปยืนอยู่กลางศาลา “ชื่อว่า ‘ลานนิทราแห่งความเพลิดเพลิน’”ซูหรงขมวดคิ้วเล็กน้อย นางรู้สึกว่าบรรยากาศรอบตนเริ่มแปรเปลี่ยน ช้าลง อ่อนนุ่ม และอบอุ่นจนใจเริ่มผ่อนคลายเกินควร… ก่อนที่สติสัมปชัญญะของนางจะดับวูบไป...นานเท่าไรไม่อาจทราบ… แต่นางก็ได้สติขึ้นมาเพราะเสียงเด็กหัวเราะที่ดังขึ้นซูหรงลืมตาขึ้นอีกครั้ง พบว่าตนอยู่ในเรือนไม้หลังเล็ก ๆ หลังโรงเตี๊ยม มีไอแดดลอดผ่านช่องหน้าต่าง ภายในห้องมีเพียงโต๊ะไม้เรียบ ๆ และที่นอนฟูกนุ่ม ๆ ข้างกายนางมีเด็กชายคนหนึ่งอายุราวสามขวบ กำลังปีนขึ้นมากอดนางไว้พลางหัวเราะเบา ๆ“แม่! ตื่นแล้ว!”นางเบิกตาโพลง ไม่เข้าใจว่านี่คืออะไร ก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นอวี้ไป๋เฉิน สามีของตนกำลังนำอาหารเช้ามาให้นางด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
ซูหรงเดินบนผิวน้ำ ข้ามบึงน้ำที่กว้างยาวสิบวาจนกระทั่งไปถึงอีกฝั่ง นางมองไปที่เสี่ยวซุ่ยกับหญิงในชุดคลุมเขียว ราวกับจะบอกว่าให้ส่งคนของนางกลับมา ทว่าไม่ทันจะได้เอ่ยอะไร ฝีเท้าของหญิงชุดคลุมเขียวก็กระทบพื้นเบา ๆ เพียงก้าวเดียว ร่างของนางก็ลอยขึ้นสูงผืนปฐพี เสี่ยวซุ่ยที่ถูกมัดข้อมือไว้กับเชือกสีทองไม่ทันตั้งตัว ถูกฉุดให้ลอยลิ่วตามไปด้วยเช่นกัน"เดี๋ยวก่อน!" ซูหรงร้องไล่ตาม แต่ก็ไม่ทันการณ์ หญิงสาวชุดคลุมเขียวใช้วิชาเหยียดลมเหินนภา เดินบนอากาศแล้วพาร่างของทั้งสองพุ่งทะยานหายลับ เข้าสู่ม่านหมอกของแนวป่าด้านตะวันออก"นางพาเสี่ยวซุ่ยไปแล้ว!" เฉินอี้ขบกรามแน่น แววตาเต็มไปด้วยความกังวล "ท่านต้องตามไปให้ทันนะขอรับ ท่านใช้วิชาเดียวมุ่งหน้าไปก่อนเลย ข้าจะตามท่านไปทีหลังเอง!"“ไม่ต้อง ถ้าเจ้าตามมาภายหลังจะคลาดกันเปล่า ๆ เจ้ารอที่นี่ เสร็จการทดสอบข้าจะมารับ” ซูหรงส่งเสียงตะโกนข้ามฟากของบึง ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าอย่างสงบ แล้วใช้วิชาเหยียบลมเหินนภาที่ลั่วชิงเคยสอน กระโดดสูงขึ้นเหนือยอดไม้ ข้ามผืนป่าที่สูงชันและรกทึบ ตามไอพลังปราณของศิษย์เซียนไปเรื่อย ๆไม่ช้า
ร่างของซูหรงจมหายลงไปในบึงใส ดวงตาของซูหรงเบิกกว้าง ร่างของนางลอยคว้างอยู่ท่ามกลางความเวิ้งว้าของใต้ผิวน้ำ ทว่านางไม่สามารถแหวกว่าย ร่างกายของนางไม่ขยับ เพราะเสียงในหัวแทรกเข้ามาเต็มไปหมด“เจ้ามิใช่ลูกของข้า...”เสียงพ่อในความทรงจำอันห่างไกลดังขึ้นมา นางจำได้กลับคล้ายคลับคลาว่าบิดาและมารดามีปากเสียงบางอย่าง ก่อนจะนำนางมาทิ้งไว้ที่กระท่อมเชิงเขา แต่จากความทรงจำนี้ เหมือนกับนางผิดที่ได้กำเนิดมาบนโลกก็ไม่ปาน“กิเลสในใจเจ้าจะเป็นดังเปลวไฟที่แผดเผาตนเอง และอาจจะทำให้พลังปราณ และจิตใจของเจ้าไม่อาจพัฒนาได้เสียงอาจารย์ตำหนิตอนนางตัดสินใจลงจากเขาเริ่มดังเข้ามาในห้วงความคิด เหมือนจะตอกย้ำว่าที่นางตัดสินใจนั้นมันผิดพลาดตามมาด้วยภาพกับเสียงของผู้คนที่บาดเจ็บเพราะการแย่งชิงตราประมุขพรรคมารเริ่มปรากฏขึ้น ตามด้วยภาพเหตุกาณณ์ที่นางมีปากเสียงกับสามี ภาพในจิตใจไหลวนไปมาอย่างไม่รู้จบ ราวกับจะตอกย้ำว่านางผิดมาตลอด ผิดตั้งแต่มีชีวิตอยู่...ซูหรงพยายามตะเกียกตะกาย ราวกับจะหนีจากเสียงเหล่านั้น แต่ร่างกายกลับไม่ขยับ นางลอยวนอ
ยามเช้ายางกร่ายมาถึงหลังจากค่ำคืนค่อย ๆ ถอยออกไปพร้อมกับที่หมอกหนาค่อย ๆ จางหาย เงาไม้ยาวเหยียดทอดลงตามแนวลาดชันของภูเขาหลิงอวิ๋น แสงอาทิตย์สีอ่อนเริ่มสาดลงบนยอดไม้ เข้าสู่กระท่อมหลังเก่าผ่านช่องไม้ที่ผุพังเสียงฝีเท้าเบา ๆ ของใครบางคนดังขึ้นหน้าประตูกระท่อม ตามมาด้วยเสียงเคาะประตูสองครั้ง เฉินอี้ที่นั่งเฝ้ายามอยู่ข้างกระท่อมขยับตัวลุกขึ้นทันที เขามองไปยังร่างในชุดคลุมสีเขียวหม่นที่ยืนอยู่ท่ามกลางไอหมอกที่กำลังจาง ร่างนั้นสวมผ้าคลุมศีรษะ ปิดหน้าด้วยผ้าผืนบางจนเห็นเพียงดวงตาสงบนิ่ง“ท่านคือศิษย์ของเซียนหญิงลั่วชิงงั้นหรือ?” เฉินอี้เอ่ยถาม“พวกท่านคือคณะผู้ประสงค์จะขึ้นเขาเพื่อพบท่านอาจารย์ใช่หรือไม่?” เสียงของผู้มาเยือนที่ปิดหน้าราบเรียบ ฟังคล้ายหญิงสาวอายุราวสามสิบเศษ“ใช่ นายหญิงของข้าต้องการพบท่านเซียนหญิง นางอยู่ในกระท่อมนั้น” เขากล่าวขึ้น ไม่นานประตูไม้เปิดออกช้า ๆ ซูหรงก้าวออกมาด้วยท่าทีสงบ นางมองร่างนั้นอย่างประเมิน ก่อนจะค้อมศีรษะเล็กน้อย“ข้า ศิษย์เก่าของท่านอาจารย์ ข้าชื่อซูหรง ข้าอยากกลับขึ้นไปเพื่อขอขมา และพบท่านอีกครั้ง” นางเอ่ยเสียงมั่นคง ผู้มาเยือนเงียบไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจ
เสียงแมลงกลางคืนดังระงมไปทั่วแนวป่าโดยรอบกระท่อมเก่า ขับกล่อมไปกับเสียงลมที่เสียดผ่านใบไม้สูงต่ำ กลิ่นไอเย็นชื้นของดินและหญ้าหลังตะวันลับขอบฟ้าไหลแผ่วเข้ามาตามช่องหน้าต่างที่เปิดไว้เพียงน้อยเฉินอี้นอนเอกเขนกอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ข้างกระท่อม มือหนึ่งหนุนศีรษะ อีกมือถือท่อนไม้ยาวใช้เขี่ยใบไม้เล่นพลางเฝ้ามองแสงตะเกียงจากภายในกระท่อมผ่านช่องหน้าต่าง แสงนั้นสว่างวาบขึ้นบ้างริบหรี่ลงบ้างตามแรงลมราตรี ทว่าในใจของเขากลับแจ่มกระจ่างมั่นคงยิ่งกว่าทุกคืนที่ผ่านมาเขาไม่ได้หลับ แม้เปลือกตาจะหนักอึ้งจากความเหนื่อยล้า เขาก็ยังคงตั้งใจเฝ้ายาม ระวังภัยให้หญิงทั้งสองคนที่อยู่ข้างในภายในกระท่อม เสี่ยวซุ่ยที่เปลี่ยนเป็นชุดนอนเอนกายนอนบนเบาะฟางอีกฟากหนึ่งของห้อง ส่วนซูหรงในชุดนอนสีขาวนอนหนุนหมอนผ้าเก่าอยู่ฟากตรงข้าม ผ้าห่มบาง ๆ คลุมร่างทั้งคู่ไว้เพียงบางส่วน แสงจากตะเกียงข้างเตียงฉายลงบนใบหน้าซูหรงที่แม้จะดูนิ่งสงบ แต่ดวงตากลับยังเปิดอยู่ นางหันหน้ามาทางเสี่ยวซุ่ยที่เพิ่งจะหลับตาลงช้า ๆ“เสี่ยวซุ่ย...” เสียงเรียกเบา ๆ ทำให้นางลืมตาขึ้นอีกครั้ง“เจ้าคะ?”“เจ้าจำตอนที่เจ้ามาสมัครงานที่โรงเตี๊ยมครั้งแรกได้ไหม?”
บรรยากาศในกระท่อมยามค่ำเงียบสงบ แสงจากตะเกียงน้ำมันดิบที่ตั้งอยู่กลางโต๊ะไม้เตี้ย ๆ ส่องวาบอ่อนลงบนใบหน้าของคนทั้งสาม กลิ่นน้ำแกงสมุนไพรหอมกรุ่นลอยคลุ้งไปทั่ว ราวกับลมหายใจแห่งอดีตที่ไหลเวียนกลับคืนมาอย่างเงียบงันเสี่ยวซุ่ยนั่งลงข้าง ๆ หม้อแกงที่เพิ่งยกลงจากเตาเล็ก ๆ ตรงมุมกระท่อม ใบหน้าของนางมีเหงื่อเกาะจากความร้อน แต่รอยยิ้มกลับปรากฏบนริมฝีปาก“แกงหัวไชเท้าเจ้าค่ะ ข้านำวัตถุดิบใส่ห่อสัมภาระมาด้วย เลยต้มให้ทุกคนกินกัน น่าจะพอบำรุงกำลังได้ สูตรนี่พี่หลินสอนข้ามา บอกว่านายหญิงสอนนางมาอีกที” นางกล่าวเสียงเบา พลางตักใส่ถ้วยเล็ก ๆ แล้วยื่นให้ซูหรงกับเฉินอี้ซูหรงรับถ้วยมาอย่างเงียบ ๆ ก่อนยกขึ้นจิบ ดวงตาของนางยังเต็มไปด้วยเงาความเหนื่อยล้าจากการเดินทางและอารมณ์ที่กดทับเมื่อครู่ ทว่าพอรสของน้ำแกงไหลผ่านลิ้น ความรู้สึกบางอย่างกลับแล่นวาบขึ้นมาในใจนางกลิ่นสมุนไพรอ่อน ๆ ปนกลิ่นขิง รสเค็มจางจากเกลือหิน ผสานกับความหวานจากหัวไชเท้าที่เคี่ยวจนเปื่อยนุ่มลงไปในน้ำแกง มันเป็นรสชาติธรรมดา แต่ในความธรรมดานั้นกลับมีบางสิ่งที่พิเศษจนน่าตกใจ มือที่