ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมธาร ถัดจากเรือนพักของสำนักหลิงอวิ๋น เฉินอี้ยืนอยู่กลางลานหิน พยายามร่ายรำท่าที่เสี่ยวซุ่ยเคยสอน ลมหายใจสม่ำเสมอ พลังปราณในร่างเขานิ่งสงบแต่มั่นคง แม้ไม่ใช่ศิษย์ในสำนัก แต่หลังจากช่วยคุ้มกันซูหรงและเสี่ยวซุ่ยตลอดการเดินทาง เขาได้รับอนุญาตให้อยู่พักรักษาตัวและฝึกฝนในบริเวณเรือนรับรองเช่นกัน
เสียงสายลมพลิ้วผ่าน ปลายเสื้อของเขาไหวเบา ๆ ทว่ายังไม่ทันจะได้ร่ายรำต่อ เขาก็สัมผัสถึงแรงสั่นสะเทือนประหลาดบางอย่างที่แทรกเข้ามาในอากาศ
“ทักษะกระบวนท่าของเจ้านั้นดีพอสมควร แต่ยังไม่รู้จักปล่อยพลังให้ไหลเวียนเป็นอิสระ” เสียงหนึ่งดังขึ้นเบื้องหลังเขา เฉินอี้สะดุ้ง ลืมตาขึ้นทันที แล้วหันกลับไป เห็นร่างของหญิงผู้หนึ่งยืนอยู่ใต้เงาไม้ นางสวมชุดคลุมสีเงินปักลายเมฆเรืองแสงจาง ๆ ผมยาวส่วนหนึ่งถูกรวบขึ้นเป็นมวยอย่างเรียบร้อย บางส่วนที่ยาวประหลังพลิ้วไหวตามสายลม ใบหน้านิ่งสงบ ยังดูอ่อนวัยกว่า แต่เปี่ยมรัศมีลึกล้ำประหนึ่งภูผาในฤดูหนาว
“ท่านเป็นใคร?” เขาถามอย่างระมัดระวัง
“ข้าคือ ลั่วชิง เซียนหญิงแห่งหลิงอวิ๋น อาจารย์ของซูห
ห่างออกไป บนยอดเขาหลิงอวิ๋นในยามราตรี แสงดาวทอประกายระยิบระยับเหนือท้องฟ้าลั่วชิงกำลังนั่งสมาธิ สงบจิตใจในตำหนัก รวบรวมพลังปราณที่มีให้สงบนิ่ง ตอนนี้นางรู้สึกได้ถึงพลังปราณที่กลับมาเต็มเปี่ยม หลังต้องสะกดพลังอยู่ในร่างเสี่ยวซุ่ยมานาน นางรู้สึกได้ว่าตอนนี้พลังของนางเต็มเปี่ยม พร้อมที่จะออกศึกในวันรุ่งขึ้นแล้ว...ถึงเช่นนั้นนางก็อดสงสัยไม่ได้ว่าสถานการณ์ที่ฝั่งพรรคมารและเฉินอี้เป็นอย่างไร นางจึงกลับไปที่กระจกวารีอีกครั้งนางแตะมือบนกระจกวารี พลันผิวน้ำแปรเปลี่ยนไป เป็นภาพเหตุการณ์ ณ ถ้ำศิลาดำ เสียงหยดน้ำจากผนังหินกระทบพื้นเย็นชื้นดังก้องเป็นจังหวะ เหล่าขุนพลพรรคมารที่รอดชีวิตจากศึกโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋น ยืนคุกเข่าเรียงรายตรงหน้าหญิงในชุดดำผู้หนึ่งที่นั่งบนบัลลังก์ ดวงตาของนางตอนนี้เป็นสีม่วงเรืองวาว ข้างกายมีตราประทับเงามารวางอยู่เหนือแท่นศิลาที่สลักด้วยอักขระอันซับซ้อน“ท่านประมุข... เรียกพบพวกเราส่วนตัวด้วยเหตุอันใด” เสียงหนึ่งในขุนพลพรรคมารเอ่ยอย่างยำเกรง ประมุขพรรคมารอวี้เซี่ยหง เหลือบมองพวกเขาอย่างเย็นชา ก่อนกล่าวเสียงแผ่วหากเยือก
ยามบ่ายคล้อย แสงอาทิตย์อาบไล้ลานศิลาหน้าตำหนักหลักของสำนักหลิงอวิ๋น บรรยากาศยังคงเงียบสงบ แต่ในใจของเหล่าเซียนที่รวมตัวกัน ณ ศาลาระฆังทิพย์หลังพักการประชุมไปครู่ใหญ่ ก็ล้วนปั่นป่วนด้วยความรู้สึกที่ต่างกัน ไม่มีใครพูดอะไรเมื่อเซียนลั่วชิงกลับเข้ามาอีกครั้ง รัศมีสีเงินของนางเรืองรองยิ่งกว่าเดิม“ท่านทั้งหลาย” ลั่วชิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงชัดเจน “เมื่อครู่ ข้าใช้กระจกวารีในตำหนักของข้า ตรวจดูความเคลื่อนไหวของพลังแห่งตราประทับ และพลังปราณของศิษย์บางคนที่เคยสัมผัสมันมาก่อน กระจกวารีสะท้อนให้เห็นภาพที่อยู่ไกลออกไป... ภาพของพรรคมารที่เริ่มรวมกำลังพล เตรียมเคลื่อนไปยังภูเขาอู่ฮุ่ย พวกมันคงหมายใช้ตราประทับเพื่อเปิดประตูเงามารในเวลาอันใกล้ และจากระยะทางที่พวกมันเดินทางอยู่ในตอนนี้... คาดว่า พวกมันจะไปถึงในรุ่งเช้าวันพรุ่งนี้”“ข้าจึงขอให้ท่านทุกสำนัก เตรียมพร้อมเคลื่อนกำลังให้ทันก่อนฟ้าสาง เราจะใช้วิชาเคลื่อนย้ายแสนลี้ของข้า เปิดประตูผ่านตราประทับที่ผูกไว้กับซูหรง บุกไปยังพื้นที่หน้าประตูเงามารโดยตรง”สิ้นคำกล่าวของนาง เสียง
แสงแดดยามบ่ายคล้อยทอดเงาแนบผืนหินบนยอดเขาหลิงอวิ๋น กลีบดอกเหมยร่วงลงเงียบงันตามแรงลม ขณะที่ภายในลานด้านหน้าตำหนักเซียน ส่วนเฉินอี้นั้นยืนอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ ใบหน้าเงยมองหมู่เมฆที่อยู่เหนือยอดเขาอย่างครุ่นคิดซูหรงก้าวเข้ามาหาเขาด้วยสีหน้าแน่วแน่ นางถือม้วนสารผนึกในมือ พร้อมกล่องอีกใบ ก่อนจะยื่นให้ชายหนุ่มตรงหน้า“เฉินอี้ ข้ากับเหล่าเซียนจะเดินทางไปจัดการประตูเงามาร ส่วนเจ้าก็ช่วยลงจากเขา นำสารนี้ส่งให้สามีของข้า” นางเอ่ยเสียงเรียบ ขณะที่บ่าวหนุ่มรับสารนั้นมาไว้ในมือ “แล้วก็เอาโอสถเซียนพวกนี้มอบให้กับสำนักคุ้มภัยเทียนเฟิงที่บาดเจ็บ พวกเขาจะได้ฟื้นกลับคืนมาเป็นปกติ”“แล้วเสี่ยวซุ่ยล่ะขอรับ” เขากล่าวหลังครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนเงยหน้ามองซูหรง นายหญิงนิ่งไปชั่วครู่ ราวกับไม่พร้อมอธิบาย ทว่าก็ไม่รู้จะซ่อนมันต่อไปได้อย่างไร แต่สุดท้ายนางก็ส่ายหน้าช้า ๆ“นางยังต้องอยู่ที่นี่” ซูหรงกล่าวด้วยเสียงเบา “นาง... ยังมีธุระต้องอยู่บนเขานี้กับข้า นางมีอะไรที่ยังต้องเรียนรู้อีกมาก ส่วนเจ้าควรกลับไปทำห
ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมธาร ถัดจากเรือนพักของสำนักหลิงอวิ๋น เฉินอี้ยืนอยู่กลางลานหิน พยายามร่ายรำท่าที่เสี่ยวซุ่ยเคยสอน ลมหายใจสม่ำเสมอ พลังปราณในร่างเขานิ่งสงบแต่มั่นคง แม้ไม่ใช่ศิษย์ในสำนัก แต่หลังจากช่วยคุ้มกันซูหรงและเสี่ยวซุ่ยตลอดการเดินทาง เขาได้รับอนุญาตให้อยู่พักรักษาตัวและฝึกฝนในบริเวณเรือนรับรองเช่นกันเสียงสายลมพลิ้วผ่าน ปลายเสื้อของเขาไหวเบา ๆ ทว่ายังไม่ทันจะได้ร่ายรำต่อ เขาก็สัมผัสถึงแรงสั่นสะเทือนประหลาดบางอย่างที่แทรกเข้ามาในอากาศ“ทักษะกระบวนท่าของเจ้านั้นดีพอสมควร แต่ยังไม่รู้จักปล่อยพลังให้ไหลเวียนเป็นอิสระ” เสียงหนึ่งดังขึ้นเบื้องหลังเขา เฉินอี้สะดุ้ง ลืมตาขึ้นทันที แล้วหันกลับไป เห็นร่างของหญิงผู้หนึ่งยืนอยู่ใต้เงาไม้ นางสวมชุดคลุมสีเงินปักลายเมฆเรืองแสงจาง ๆ ผมยาวส่วนหนึ่งถูกรวบขึ้นเป็นมวยอย่างเรียบร้อย บางส่วนที่ยาวประหลังพลิ้วไหวตามสายลม ใบหน้านิ่งสงบ ยังดูอ่อนวัยกว่า แต่เปี่ยมรัศมีลึกล้ำประหนึ่งภูผาในฤดูหนาว“ท่านเป็นใคร?” เขาถามอย่างระมัดระวัง“ข้าคือ ลั่วชิง เซียนหญิงแห่งหลิงอวิ๋น อาจารย์ของซูห
รุ่งอรุณแห่งวันใหม่ แสงแดดบางเบาทอผ่านม่านหมอกเหนือยอดไม้ไผ่ สายลมเย็นพัดเข้ามาในเรือนพักตะวันออกของสำนักหลิงอวิ๋น ซูหรงลืมตาตื่นขึ้นอย่างสงบ มองออกไปยังปลายฟ้าไกลที่เริ่มเรืองแสงสีทองอ่อน นางสูดลมหายใจลึก รู้สึกได้ถึงพลังใหม่ในจิตใจ ความแน่วแน่ที่ไม่เคยมีมาก่อนเสียงเคาะเบา ๆ ดังขึ้นที่บานประตู และเมื่อนางเดินไปเลื่อนบานประตูเลื่อนเปิดออก ก็เผยให้เห็นร่างของหญิงสาวผู้เปล่งรัศมีขาวเงินจาง ๆ เซียนลั่วชิงในร่างแท้จริง ยืนอยู่ในชุดคลุมสีเงินปักลายเมฆเคลื่อนไหวไปตามลม ผมยาวถึงหลังถูกรวบเป็นมวยส่วนหนึ่งด้วยปิ่นหยก ปล่อยชายผมที่เหลือพลิ้วไหวกับสายลม ดวงตานิ่งสงบ ทว่าเรืองรองไปด้วยปัญญาและพลังอันลึกล้ำ“ถึงเวลาแล้ว” ลั่วชิงกล่าวเสียงนุ่ม ซูหรงลุกขึ้น ย่อกายเคารพครั้งหนึ่ง ก่อนก้าวตามอาจารย์ของตนออกไปณ ศาลาระฆังทิพย์ กลางยอดเขาหลิงอวิ๋น ซึ่งมีเสาศิลาทั้งแปดประดับอักขระโบราณ ตั้งล้อมเป็นวงกลมใต้หลังคา ผนังทุกด้านเปิดโล่งให้สายลมพัดเข้ามาได้ ขณะนี้เหล่าเซียนผู้เรืองพลังจากสำนักต่าง ๆ มารวมตัวกัน ประจำที่นั่งของตนในแต่ละทิศ พร้อมด้วยศิษย์คนสำคัญท
แสงแดดยามสายส่องลอดใบไผ่บาง ๆ พาดผ่านบานหน้าต่างไม้ เสียงน้ำไหลจากลำธารยังคงซัดสาดเป็นจังหวะ ในเรือนพักตะวันออกของสำนักหลิงอวิ๋น ซูหรงนั่งสงบอยู่ริมโต๊ะชงชา จนกระทั่งเสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นจากด้านนอก นางจึงหันไปดูประตูไม้เลื่อนออกช้า ๆ เสี่ยวซุ่ยในชุดผ้าฝ้ายสีขาวสะอาดเรียบง่ายปรากฏตัวขึ้น นางถือถาดไม้ใบหนึ่งซึ่งวางโถข้าวต้มร้อน ๆ กับกับข้าวสองสามอย่าง"ข้าเห็นว่าท่านคงยังไม่ได้ทานอะไรมาตั้งแต่เช้า จึงลองทำอาหารมาให้เจ้าค่ะ..." เสียงของบ่าวหญิงยังคงนุ่มนวล และเต็มไปด้วยความถ่อมตัว "แม้รสอาจไม่ดีเท่าท่านหรือพี่หลินทำในโรงเตี๊ยม แต่ข้าพยายามเต็มที่แล้ว"ซูหรงรับถาดมาอย่างอ่อนโยนแล้วตักข้าวต้มขึ้นลองชิม รสจืดอ่อนแต่กลมกล่อม อบอุ่น ให้ความรู้สึกเหมือนกับรอยยิ้มของบ่าวหญิงเจ้าของถาด"ในฐานะบ่าวแล้ว ข้าควรเป็นคนดูแลท่าน แต่กลายเป็นว่าท่านคอยดูแลข้าในหลายเรื่องแทนเสียอีก..." เสี่ยวซุ่ยเอ่ยเบา ๆ สายตาของนางไม่ได้หลบต่ำลงเหมือนเดิม ทว่าซูหรงเองก็ไม่ได้สังเกตเรื่องพวกนั้นในตอนนี้ “เจ้าทำให้ข้าเรียนรู้หลายอย่างเหลือเกิน...” ซูหรงกล่าวพลางวางช้อนลง มองหน้าเสี่ยวซุ่ย จ้องไปยังดวงตากลมโตของนาง “