แสงแดดยามบ่ายคล้อยทอดเงาแนบผืนหินบนยอดเขาหลิงอวิ๋น กลีบดอกเหมยร่วงลงเงียบงันตามแรงลม ขณะที่ภายในลานด้านหน้าตำหนักเซียน ส่วนเฉินอี้นั้นยืนอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ ใบหน้าเงยมองหมู่เมฆที่อยู่เหนือยอดเขาอย่างครุ่นคิด
ซูหรงก้าวเข้ามาหาเขาด้วยสีหน้าแน่วแน่ นางถือม้วนสารผนึกในมือ พร้อมกล่องอีกใบ ก่อนจะยื่นให้ชายหนุ่มตรงหน้า
“เฉินอี้ ข้ากับเหล่าเซียนจะเดินทางไปจัดการประตูเงามาร ส่วนเจ้าก็ช่วยลงจากเขา นำสารนี้ส่งให้สามีของข้า” นางเอ่ยเสียงเรียบ ขณะที่บ่าวหนุ่มรับสารนั้นมาไว้ในมือ “แล้วก็เอาโอสถเซียนพวกนี้มอบให้กับสำนักคุ้มภัยเทียนเฟิงที่บาดเจ็บ พวกเขาจะได้ฟื้นกลับคืนมาเป็นปกติ”
“แล้วเสี่ยวซุ่ยล่ะขอรับ” เขากล่าวหลังครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนเงยหน้ามองซูหรง นายหญิงนิ่งไปชั่วครู่ ราวกับไม่พร้อมอธิบาย ทว่าก็ไม่รู้จะซ่อนมันต่อไปได้อย่างไร แต่สุดท้ายนางก็ส่ายหน้าช้า ๆ
“นางยังต้องอยู่ที่นี่” ซูหรงกล่าวด้วยเสียงเบา “นาง... ยังมีธุระต้องอยู่บนเขานี้กับข้า นางมีอะไรที่ยังต้องเรียนรู้อีกมาก ส่วนเจ้าควรกลับไปทำห
แสงแดดยามบ่ายคล้อยทอดเงาแนบผืนหินบนยอดเขาหลิงอวิ๋น กลีบดอกเหมยร่วงลงเงียบงันตามแรงลม ขณะที่ภายในลานด้านหน้าตำหนักเซียน ส่วนเฉินอี้นั้นยืนอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ ใบหน้าเงยมองหมู่เมฆที่อยู่เหนือยอดเขาอย่างครุ่นคิดซูหรงก้าวเข้ามาหาเขาด้วยสีหน้าแน่วแน่ นางถือม้วนสารผนึกในมือ พร้อมกล่องอีกใบ ก่อนจะยื่นให้ชายหนุ่มตรงหน้า“เฉินอี้ ข้ากับเหล่าเซียนจะเดินทางไปจัดการประตูเงามาร ส่วนเจ้าก็ช่วยลงจากเขา นำสารนี้ส่งให้สามีของข้า” นางเอ่ยเสียงเรียบ ขณะที่บ่าวหนุ่มรับสารนั้นมาไว้ในมือ “แล้วก็เอาโอสถเซียนพวกนี้มอบให้กับสำนักคุ้มภัยเทียนเฟิงที่บาดเจ็บ พวกเขาจะได้ฟื้นกลับคืนมาเป็นปกติ”“แล้วเสี่ยวซุ่ยล่ะขอรับ” เขากล่าวหลังครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนเงยหน้ามองซูหรง นายหญิงนิ่งไปชั่วครู่ ราวกับไม่พร้อมอธิบาย ทว่าก็ไม่รู้จะซ่อนมันต่อไปได้อย่างไร แต่สุดท้ายนางก็ส่ายหน้าช้า ๆ“นางยังต้องอยู่ที่นี่” ซูหรงกล่าวด้วยเสียงเบา “นาง... ยังมีธุระต้องอยู่บนเขานี้กับข้า นางมีอะไรที่ยังต้องเรียนรู้อีกมาก ส่วนเจ้าควรกลับไปทำห
ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมธาร ถัดจากเรือนพักของสำนักหลิงอวิ๋น เฉินอี้ยืนอยู่กลางลานหิน พยายามร่ายรำท่าที่เสี่ยวซุ่ยเคยสอน ลมหายใจสม่ำเสมอ พลังปราณในร่างเขานิ่งสงบแต่มั่นคง แม้ไม่ใช่ศิษย์ในสำนัก แต่หลังจากช่วยคุ้มกันซูหรงและเสี่ยวซุ่ยตลอดการเดินทาง เขาได้รับอนุญาตให้อยู่พักรักษาตัวและฝึกฝนในบริเวณเรือนรับรองเช่นกันเสียงสายลมพลิ้วผ่าน ปลายเสื้อของเขาไหวเบา ๆ ทว่ายังไม่ทันจะได้ร่ายรำต่อ เขาก็สัมผัสถึงแรงสั่นสะเทือนประหลาดบางอย่างที่แทรกเข้ามาในอากาศ“ทักษะกระบวนท่าของเจ้านั้นดีพอสมควร แต่ยังไม่รู้จักปล่อยพลังให้ไหลเวียนเป็นอิสระ” เสียงหนึ่งดังขึ้นเบื้องหลังเขา เฉินอี้สะดุ้ง ลืมตาขึ้นทันที แล้วหันกลับไป เห็นร่างของหญิงผู้หนึ่งยืนอยู่ใต้เงาไม้ นางสวมชุดคลุมสีเงินปักลายเมฆเรืองแสงจาง ๆ ผมยาวส่วนหนึ่งถูกรวบขึ้นเป็นมวยอย่างเรียบร้อย บางส่วนที่ยาวประหลังพลิ้วไหวตามสายลม ใบหน้านิ่งสงบ ยังดูอ่อนวัยกว่า แต่เปี่ยมรัศมีลึกล้ำประหนึ่งภูผาในฤดูหนาว“ท่านเป็นใคร?” เขาถามอย่างระมัดระวัง“ข้าคือ ลั่วชิง เซียนหญิงแห่งหลิงอวิ๋น อาจารย์ของซูห
รุ่งอรุณแห่งวันใหม่ แสงแดดบางเบาทอผ่านม่านหมอกเหนือยอดไม้ไผ่ สายลมเย็นพัดเข้ามาในเรือนพักตะวันออกของสำนักหลิงอวิ๋น ซูหรงลืมตาตื่นขึ้นอย่างสงบ มองออกไปยังปลายฟ้าไกลที่เริ่มเรืองแสงสีทองอ่อน นางสูดลมหายใจลึก รู้สึกได้ถึงพลังใหม่ในจิตใจ ความแน่วแน่ที่ไม่เคยมีมาก่อนเสียงเคาะเบา ๆ ดังขึ้นที่บานประตู และเมื่อนางเดินไปเลื่อนบานประตูเลื่อนเปิดออก ก็เผยให้เห็นร่างของหญิงสาวผู้เปล่งรัศมีขาวเงินจาง ๆ เซียนลั่วชิงในร่างแท้จริง ยืนอยู่ในชุดคลุมสีเงินปักลายเมฆเคลื่อนไหวไปตามลม ผมยาวถึงหลังถูกรวบเป็นมวยส่วนหนึ่งด้วยปิ่นหยก ปล่อยชายผมที่เหลือพลิ้วไหวกับสายลม ดวงตานิ่งสงบ ทว่าเรืองรองไปด้วยปัญญาและพลังอันลึกล้ำ“ถึงเวลาแล้ว” ลั่วชิงกล่าวเสียงนุ่ม ซูหรงลุกขึ้น ย่อกายเคารพครั้งหนึ่ง ก่อนก้าวตามอาจารย์ของตนออกไปณ ศาลาระฆังทิพย์ กลางยอดเขาหลิงอวิ๋น ซึ่งมีเสาศิลาทั้งแปดประดับอักขระโบราณ ตั้งล้อมเป็นวงกลมใต้หลังคา ผนังทุกด้านเปิดโล่งให้สายลมพัดเข้ามาได้ ขณะนี้เหล่าเซียนผู้เรืองพลังจากสำนักต่าง ๆ มารวมตัวกัน ประจำที่นั่งของตนในแต่ละทิศ พร้อมด้วยศิษย์คนสำคัญท
แสงแดดยามสายส่องลอดใบไผ่บาง ๆ พาดผ่านบานหน้าต่างไม้ เสียงน้ำไหลจากลำธารยังคงซัดสาดเป็นจังหวะ ในเรือนพักตะวันออกของสำนักหลิงอวิ๋น ซูหรงนั่งสงบอยู่ริมโต๊ะชงชา จนกระทั่งเสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นจากด้านนอก นางจึงหันไปดูประตูไม้เลื่อนออกช้า ๆ เสี่ยวซุ่ยในชุดผ้าฝ้ายสีขาวสะอาดเรียบง่ายปรากฏตัวขึ้น นางถือถาดไม้ใบหนึ่งซึ่งวางโถข้าวต้มร้อน ๆ กับกับข้าวสองสามอย่าง"ข้าเห็นว่าท่านคงยังไม่ได้ทานอะไรมาตั้งแต่เช้า จึงลองทำอาหารมาให้เจ้าค่ะ..." เสียงของบ่าวหญิงยังคงนุ่มนวล และเต็มไปด้วยความถ่อมตัว "แม้รสอาจไม่ดีเท่าท่านหรือพี่หลินทำในโรงเตี๊ยม แต่ข้าพยายามเต็มที่แล้ว"ซูหรงรับถาดมาอย่างอ่อนโยนแล้วตักข้าวต้มขึ้นลองชิม รสจืดอ่อนแต่กลมกล่อม อบอุ่น ให้ความรู้สึกเหมือนกับรอยยิ้มของบ่าวหญิงเจ้าของถาด"ในฐานะบ่าวแล้ว ข้าควรเป็นคนดูแลท่าน แต่กลายเป็นว่าท่านคอยดูแลข้าในหลายเรื่องแทนเสียอีก..." เสี่ยวซุ่ยเอ่ยเบา ๆ สายตาของนางไม่ได้หลบต่ำลงเหมือนเดิม ทว่าซูหรงเองก็ไม่ได้สังเกตเรื่องพวกนั้นในตอนนี้ “เจ้าทำให้ข้าเรียนรู้หลายอย่างเหลือเกิน...” ซูหรงกล่าวพลางวางช้อนลง มองหน้าเสี่ยวซุ่ย จ้องไปยังดวงตากลมโตของนาง “
แสงสว่างจากม่านหมอกที่จางลงค่อย ๆ เผยให้ซูหรงเห็นเส้นทางที่ทอดขึ้นสู่ยอดเขาเบื้องบน ต้นไม้สูงใหญ่ที่โอนเอนตามลมเย็นฉ่ำดูสงบผิดแผกจากบททดสอบก่อนหน้า ราวกับว่าที่แห่งนี้เป็นโลกอีกภพหนึ่ง ยอดภูผาสูงชันที่ทอดตัวขึ้นไปเหนือเมฆา นั่นคือยอดเขาหลิงอวิ๋นสถานที่ตั้งของ สำนักเซียนอันเก่าแก่หญิงในชุดคลุมเขียวผู้เป็นผู้ทดสอบ มิได้พูดสิ่งใดอีก เพียงกวาดมือหนึ่งที ร่างของซูหรง กับเสี่ยวซุ่ย ก็ลอยขึ้นไปตามกระแสพลังอ่อนโยน จนลอยไปถึงหน้าประตูหินของสำนัก ไม่นานนักศิษย์หญิงในชุดสีฟ้ากลุ่มหนึ่งก็มารับตัวเสี่ยวซุ่ยแยกไปอีกทาง พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ“ท่านผ่านการทดสอบของเซียนแล้ว ถือเป็นแขกผู้มีเกียรติ ขอเชิญพักฟื้นพลังทั้งหมดในเรือนพักฝั่งตะวันออก แต่ ส่วนผู้ติดตามของท่าน เราจะให้พักอีกที่หนึ่ง รวมไปถึงเจ้าคนที่รออยู่กลางทาง พวกเราจะไปรับมาเอง”ซูหรงเดินตามผู้ทดสอบเข้าไปในศาลาไม้สูงกลางสำนัก ที่ซึ่งมีชายในชุดสีครามยืนรออยู่ เขาคือ “ศิษย์พี่ใหญ่เมิ่งหาน” รักษาการณ์เจ้าสำนักในยามอาจารย์แม่ลั่วชิงหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เขามีใบหน้าเคร่งขรึม สุขุม ดวงตาเหมือนเห็นผ่านความเป็นความตายมาแล้วหลายครั้ง“ซูหรง..
ซูหรงพาเสี่ยวซุ่ยเดินตามหญิงในชุดคลุมเขียวขึ้นสู่ลานเขาที่ทอดตัวอยู่เหนือม่านหมอก เส้นทางสูงชันตัดกับท้องฟ้า บริเวณนั้นมีศาลาหลังหนึ่งตั้งอยู่กลางลาน ล้อมรอบด้วยแมกไม้ที่บานสะพรั่งตลอดปีโดยไม่แยแสฤดูกาล เสียงน้ำไหลจากลำธารใสพลิ้วเป็นจังหวะละมุน ราวกับแว่วเสียงดนตรีเบา ๆ อยู่ในสายลม“ที่นี่คือด่านสุดท้าย” หญิงในชุดคลุมเขียวเอ่ยขึ้น ขณะเดินเข้าไปยืนอยู่กลางศาลา “ชื่อว่า ‘ลานนิทราแห่งความเพลิดเพลิน’”ซูหรงขมวดคิ้วเล็กน้อย นางรู้สึกว่าบรรยากาศรอบตนเริ่มแปรเปลี่ยน ช้าลง อ่อนนุ่ม และอบอุ่นจนใจเริ่มผ่อนคลายเกินควร… ก่อนที่สติสัมปชัญญะของนางจะดับวูบไป...นานเท่าไรไม่อาจทราบ… แต่นางก็ได้สติขึ้นมาเพราะเสียงเด็กหัวเราะที่ดังขึ้นซูหรงลืมตาขึ้นอีกครั้ง พบว่าตนอยู่ในเรือนไม้หลังเล็ก ๆ หลังโรงเตี๊ยม มีไอแดดลอดผ่านช่องหน้าต่าง ภายในห้องมีเพียงโต๊ะไม้เรียบ ๆ และที่นอนฟูกนุ่ม ๆ ข้างกายนางมีเด็กชายคนหนึ่งอายุราวสามขวบ กำลังปีนขึ้นมากอดนางไว้พลางหัวเราะเบา ๆ“แม่! ตื่นแล้ว!”นางเบิกตาโพลง ไม่เข้าใจว่านี่คืออะไร ก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นอวี้ไป๋เฉิน สามีของตนกำลังนำอาหารเช้ามาให้นางด้วยรอยยิ้มอบอุ่น