“เป็นอะไรอีกล่ะ โกรธละสิ”
“ฉันคิดเรื่องงานอยู่ ไม่ต้องพูดอะไรกับฉัน พี่ขับรถไปเถอะ”
เมื่อถูกเตะโด่งออกจากความคิดของหล่อน ศศินก็หันกลับมาตั้งหน้าตั้งตาขับรถ เวนิสาไม่ยอมเอ่ยอะไร เขามั่นใจว่าหล่อนคงโกรธที่เห็นรวีกานต์จุ๊บแก้มเขา แต่เขาไม่ได้ตั้งใจนี่นา
หญิงสาวเอาแต่จ่อมจมอยู่กับความคิดร้อยแปดของตัวเอง กระทั่งศศินเลี้ยวรถเข้ามาจอดในบ้านศิวเศขร เธอลงรถแล้วรีบก้าวเข้าบ้าน ไม่สนใจแม้ศศินจะเรียกชื่อไล่หลัง ท่านวศินอยู่บ้านในวันนี้ เธอทักทายตามมารยาท แจ้งว่าขอผ่านมื้อค่ำที่กำลังจะมาถึง แล้วขอตัวขึ้นไปอาบน้ำ
ศศินตามมาติดๆ
“นี่! คุยกันให้รู้เรื่องก่อนสิ เธอเป็นอะไรฮะ!” เขาวิ่งขึ้นไปยังบันไดขั้นที่สาม คว้าแขนเวนิสาไว้อย่างแรง
“ฉันเจ็บนะ!”
“ก็เธอไม่ฟังฉันนี่”
“อะไรกัน อะไรกันฮะ! คุยกันดีๆ แกอย่าใช้กำลังสิ” ท่านวศินมีเคือง มองสองคนที่กำลังยื้อยุดกันอยู่บนขั้นบันได
“คุณลุงคะ บอกให้เขาปล่อยที หนูจะขึ้นไปอาบน้ำ”
“ฉันไม่ปล่อย จนกว่าจะเคลียร์ก
หนึ่งชั่วโมงให้หลังปลายภูลุกมายืนมองวิวอยู่ข้างหน้าต่าง ดวงไฟหลากสีข้างนอก บอกให้รู้ว่าเวลานี้มืดค่ำมากแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่านั่นไม่มีผลต่อรวีกานต์ หล่อนยังคงหลับอยู่ หลับไปราวชั่วโมงได้แล้วกระมัง“อือ...ทำไม...เพดานมันหมุนได้นะ เจ๊...เจ๊หวาน...ช่วยฉันด้วย” แม่เมรีเปล่งเสียงเรียกคนที่คิดว่าอยู่ในบ้านหลังน้อย ทว่าไร้เสียงโต้ตอบ เธอค่อยๆ ลุกนั่ง ขยี้ตาแรงๆ เมื่อเห็นว่าใครยืนอยู่ข้างหน้าต่าง “หือ? ฉันมาอยู่นี่ได้ไง”“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ สร่างหรือยัง สร่างแล้วจะได้กลับ” บอกหล่อนเสียงห้วน มือสองข้างซ่อนอยู่ในกระเป๋ากางเกง พยายามเก็บความขุ่นเคืองใจเอาไว้ในนั้นรวีกานต์ทำหน้างอ อะไรของเขาล่ะ เธอสิ เธอต้องเป็นคนโกรธ ยังไม่ได้เอาคืนเลยที่บังอาจจูบเธอคราวก่อน“ปวดหัว” เธอว่า“ไม่แปลกนี่ กินเข้าไปทำไมตั้งเยอะ แถมยังขึ้นรถไฟฟ้ามาได้ น่าทึ่งจริงๆ”“ฉันเนียนไง โอย...ปวดหัว” เอ่ยพลางหันมองรอบตัว ที่นี่ไหนกันล่ะ“ห้องพักเจ้าของร้าน ปลอดภัยน่า” เอ่ยเหมือนรู้ว่
[11]คนปากดี ขี้หึง เอาแต่ใจ___________ย้อนกลับมาที่สถานีรถไฟฟ้า รวีกานต์กระดกเบียร์จนเกลี้ยงแล้วทิ้งกระป๋องเปล่าลงถังขยะ ใครบางคนกำลังเดินเข้ามาหาเธอ เหมือนยืนรอที่ป้ายรถเมล์อยู่นานแล้วด้วย น่าแปลกไหมเล่าที่เขามีฝาแฝด มีร่างสูงโปร่งซ้อนทับกันถึงสามร่าง และพวกเขากำลังเดินตรงมาทางนี้“นี่นาย...มีฝาแฝดตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย งงแฮะ” บอกว่างงแต่แจกยิ้มหวานเรี่ยราดปลายภูส่ายหน้าระอา นึกว่าจะได้คุยกันอย่างปกติ แต่ทำไมกลายเป็นแบบนี้ไปได้ รวีกานต์ไปดื่มมาหรือ นี่ยังไม่ถึงสองทุ่มด้วยซ้ำ“ตะวัน เมาเหรอ”“ม่าย...ใครเมายะ! ฉันแค่จิบๆ” แก้ต่างแล้วยิ้มหวานอีกรอบ ดวงตาเริ่มปรือ จากที่ฝืนสังขารขึ้นรถไฟฟ้ามาจนสุดสายก็เริ่มอ่อนเปลี้ยเพลียแรง“จิบบ้าจิบบออะไร กลิ่นเบียร์หึ่งขนาดนี้”“โอ๊ย...เป็นพ่อหรือไงนะ ขึ้นเสียงอยู่ได้ น่ารำคาญ” ทำเบะปากใส่เด็กน้อยร่างสูง ก่อนจะผลักเขาออกเพื่อเดินไปโบกรถแท็กซี่ปลายภูคว้าหมับเข้าที่เอวคอด
ศศินแม้ยังหน้าบึ้งหน้าบูด แต่ก็ยอมหยิบช้อนมาตักโจ๊กเข้าปาก ใช้มือซ้ายถือช้อนเพราะมือขวาซ่อนไว้ใต้โต๊ะ เขาดึงมือของเวนิสามากุมอย่างเอาแต่ใจ และนั่นราวกับว่าได้รับยาขนานเอกที่ช่วยทำให้ความขุ่นเคืองสูญสลายมื้อเช้าวันนี้จบลงด้วยความสำเร็จของเวนิสา หญิงสาวลุกจากมาเมื่อนาฬิกาบอกเวลาใกล้เจ็ดโมง เธอมีนัดที่ห้าง V&V ตอนแปดโมง ช่วงเช้าเธอต้องเข้าแนะนำตัวกับผู้บริหารที่เกี่ยวข้องพร้อมกับมารดาของเธอ สิบโมงมีนัดกับบิดาของปลายภูเรื่องคดีความของมารดา มันคงกินเวลาช่วงเช้าของเธอไปจนหมด ส่วนช่วงบ่ายมีประชุมใหญ่เรื่องงานบริการของห้าง V&V สรุปว่าวันนี้เธอคงยุ่งทั้งวัน“วี! วีนัส!”“คะ?”เธอขานรับอย่างงงๆ อยู่ข้างรถ เธออาจสายเอาได้หากขึ้นรถช้ากว่านี้สักนาที“นี่! ไม่คิดจะลาฉันเลยเหรอ ฉันไปตั้งสองวันนะ”บุรุษหน้าหล่อแต่อารมณ์ไม่โสภา เดินเข้ามาหาเรื่องหญิงสาว“แค่สองวันต่างหาก อะไรของพี่ แปลกๆ นะคะ”“เธอนั่นแหละแปลก ปกติตามก้นฉันยิกๆ วันนี้เป็นอะไร ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว โกรธฉันเรื่องรวีกานต
เวลานี้สี่ทุ่มแล้ว แต่เวนิสาคนงามยังเดินทอดน่องอยู่ริมสนาม ตากน้ำค้างยามค่ำคืนพร้อมกับชื่นชมพระจันทร์ดวงโต โชคดีฝนไม่ตก พระจันทร์เลยได้อวดโฉมงดงาม ก่อนกลับเข้ามาที่บ้านวันนี้ มีสายโทรเข้ามารายงานทั้งจากโรงเรียนสอนทำอาหารและจากร้านเบเกอรี่ว่ามีผู้ชายไปถามหาเธอ ก็พอจะรู้ละว่าเป็นศศิน แต่มันเรื่องอะไรต้องมาตามจิกเธอเล่า“อะแฮ่ม! จะนอนไหม ฉันจะล็อกประตู”เสียงห้วนดังมาจากข้างหลัง บุรุษในชุดเสื้อคลุมสีกรมท่าเดินวางมาดเคร่งขรึมเข้ามาถามไถ่ ใบหน้าเขาเหมือนไม่สบอารมณ์นัก คงมีบางเรื่องให้เคืองใจกระมังหญิงสาวทำใจดีสู้เสือ อย่างน้อยเขาก็โทรหาเธอทั้งวัน ถือเสียว่าเขาเป็นฝ่ายง้อก่อนก็แล้วกัน“ขอสิบนาทีค่ะ”เขาพยักหน้าเออออ เดินมายืนข้างหล่อน ได้กลิ่นหอมละมุนจากร่างบางผสมกับกลิ่นความชื้นจากต้นไม้ใบหญ้า พอได้มองใบหน้านี้ชัดๆ ก็ราวกับว่าความขุ่นเคืองใจทั้งหมดทั้งมวลได้สูญสลายไป“เธอเล่นซ่อนแอบเหรอ หายไปทั้งวัน”“แหม...ฉันก็มีธุระปะปังบ้างสิคะ”“ธุระกับผู้ชายสินะ ผู้ชายอายุน้อยกว่าซะด้วย”เวนิสามุ่นคิ้ว มองเขาอย่างค้นคว้า นี่เขาไปรู้ไปเ
[10]เขาคือดวงจันทร์ ส่วนฉัน...อุกกาบาต!__________________อรุณรุ่งวันใหม่ฟูกนอนอีกฝั่งเย็นชื้นด้วยเครื่องทำความเย็นที่ยังเปิดค้างอยู่ มือของชายหนุ่มลูบคลำไปทั่วแม้ตายังปิดสนิท ทว่าเมื่อไร้ร่างคนที่นอนอยู่ข้างกัน เขาเลยต้องฝืนลืมตาตื่น มองไปทางห้องแต่งตัวที่ประตูกระจกเปิดอยู่ก็ไม่เห็นผู้ใด ลองลุกไปหาในห้องน้ำก็พบเพียงความว่างเปล่า หรือว่าเวนิสาจะลงไปข้างล่างเพื่อเตรียมมื้อเช้าแล้วรอยยิ้มสดใสแต้มแต่งใบหน้าหล่อเหลา ศศินรีบอาบน้ำแต่งตัว เขาลงมาข้างล่างในอีกยี่สิบนาทีให้หลัง แต่ไม่พบเจอใครแม้แต่บิดาของตัวเอง เขาโทร หาเวนิสา ทว่าได้ยินเพียงเสียงตอบรับของระบบอัตโนมัติ เขาบึ่งรถไปหาหล่อนที่โรงเรียนสอนทำอาหาร แต่ก็ไม่พบ เริ่มหวั่นใจเล็กน้อย แต่ยังปลอบตัวเองว่าหล่อนอาจมีธุระด่วน เขาแวะไปที่ร้านขนมที่มีช็อกโกแลตยี่ห้อดังที่หล่อนโปรดปราน ซื้อมากล่องใหญ่ มันอยู่ในกล่องผูกโบเรียบร้อยน่ารัก เขายิ้มให้มันราวกับเป็นเวนิสาเสียเอง“หรือว่าจะอยู่ที่ห้างนะ” ถามตัวเองแล้วยิ้มออกมา เบี่ยงพวงมาลัยรถไปย
“อ้าปากวี ได้โปรด...นิดเดียว แล้วเธอ...จะชอบมัน”เขาล่อลวงกิเลศอันดำมืดของอิสตรี และสาวผู้ไร้เดียงสาอย่างเวนิสาก็ตกหลุมพรางอย่างง่ายดาย หล่อนอ้าปากช้าๆ ค่อยๆ ไล้เล็มแท่งทวนอันร้อนผ่าวอย่างกล้าๆ กลัวๆ ก่อนจะเริ่มทวีความเร็วถี่ขึ้นๆ ยามรับรู้ถึงรสราคะอันแสนวิเศษ ปากน้อยๆ ค่อยๆ สาวรูดเข้าออกแท่งเนื้ออุ่นร้อนอย่างโหยหิว ริมฝีปากสีชาดระเรื่อตัดกับสีน้ำตาลอ่อนของแท่งเนื้ออย่างชัดเจน ปากอุ่นๆ ของหล่อนกำลังจะรีดพิษร้ายออกจากปลายแท่งทวน ทว่ายังก่อน เขาไม่ยอมให้มันถูกรีดด้วยปากน้อยๆ ของหล่อนหรอกวินาทีต่อมา แท่งเนื้ออันใหญ่โตก็หลุดออกจากริมฝีปาก เวนิสามองตามอย่างแสนเสียดาย เขาดึงมันออกจากปากเธอโดยไม่ให้สัญญาณ อยากจะฆ่าเธอหรือ ขอชิมมันต่อได้ไหม นี่คือรสชาติอะไรกันเล่า หาได้มีความหอมหวานทว่ายามได้ตวัดลิ้นไล้ชิมเหตุใดจึงได้เอร็ดอร่อยนักหนา“พี่คะ...ขอ...”“ชู่ว์...กำลังจะให้” บอกแล้วขยับกายเลื่อนลงเบื้องล่าง ส่งตำแหน่งจับวางร่างกายให้เข้าที่ ปากประกบปาก อกอวบทาบทับอกแกร่ง แท่งเนื้ออุ่นถูกดุนดันเข้าไปในซอกหลืบอันเร้นลับของกายสาว บุกท