LOGINเส้นทางแห่งรักของทั้งคู่พวกเขาไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ความแตกต่างทางฐานะ ความไม่เห็นด้วยของครอบครัว และอดีตคนรักของป๋อหลิน คืออุปสรรคที่ขวางกั้นความสุขของพวกเขาทั้งสอง ณ ไร่องุ่นหยางกวง เหว่ยเฟิง หญิงสาวผู้มีจิตใจงดงามดั่งหยกขาวได้เดินทางกลับบ้านเกิดเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่หลังจากความผิดหวังในรัก เธอได้พบกับฉินป๋อหลิน ชายหนุ่มผู้สืบทอดมรดกอันมั่งคั่ง...
View More<ピピピピッ、ピピピピッ>
電子レンジの音が部屋に響く。
<トントントン、トントントン>
まな板の上で野菜を切る音がする。
私は黙々と夕飯の準備をしていた。
今日は残業することもなく、帰宅することができたため、時間には余裕がある。
が、正直心には余裕はない。なぜなら――。
ガチャと玄関ドアが開く音がした。
「おかえり」
「ただいま」
私が声をかけても、なんだか覇気がない返事。
「今日、夕飯いらない。これから飲みに行ってくる」
相手の言葉を聞き、チクッと心が痛んだ。
「えっ、また?夕飯いらないなら早く言ってよ。大和《やまと》の分まで作っちゃったじゃん」
チッと舌打ちのような音が聞こえた後
「そんなの明日食べればいいだろ」
一言そう冷たく言い放ち、彼の部屋のドアがパタンと閉まった。
「はぁ」
必然に溜め息がこぼれる。
私、雨宮くるみ《あめみやくるみ》は近藤大和《こんどうやまと》と婚約中であり、同棲している。
付き合ってもうすぐ三年を迎えようとしていた。
そして部署は違えど、同じ会社に勤めている。
ここ三カ月、大和の態度が変わっていった。
以前は時間が合えば必ず一緒に食べていた夕食や食後の時間も二人で過ごすことがなくなった。
「関係が落ち着いてきただけ」と、自分に言い聞かせてはモヤモヤした気持ちを抱えながら生活している。
だけど、心の奥底で覚悟しているのは、大和はもう私のことを好きではなくなってしまったのではないかという気持ちだった。
浮気を疑ったこともあったが、大和の後輩から<すみません。愚痴を聞いてもらいたくて先輩を誘ってしまいました>なんて社内で話しかけられるものだから、彼の社内での立場を守るための付き合いなのではないかと理解しようとしている。
でも大和の外食が増え、彼の分まで夕食を作る私にとって「一言くらい連絡してくれても」という気持ちが拭えない。
大和の部屋に立ち、トントンとノックをする。
「ねえ、ちょっと出かける前に話できない?」
このままだと本当に私たちの関係は終わってしまうのではないかと思った。
「なに?約束しているし、急いでるんだけど」
フォーマルな服装からカジュアルな洋服に着替えた彼は、私を避けるかのように、玄関に向かった。
「付き合いは理解できるよ。だけどやっぱり一言くらい連絡してほしい。明日食べればいいかもだけど、結局大和が食べてくれないから、私が食べることになるし」
「わかった。連絡するよう、気をつけるよ」
その言葉、何度聞いたことだろう。
「ちょっ!」
まだ話は終わってないと伝えようとしたが、私の言葉途中で彼はバタンと勢いよく扉を閉めた。
「なんなの!?」
苛立ちを抑えきれず、彼が去ったドアに向かって怒鳴ってしまった。
近所迷惑にならないように今度は抑えなきゃ。
キッチンへ戻り、作ったシチューを食べているとスマホがピコンと鳴った。
<急なんだけど、飲みに行かない?明日、休みだし>
同期の加山由紀《かやまゆき》からだった。
食べちゃったけれど、私も聞いてもらいたいことがあるし、大和も帰ってこないし…。
<行けるよ!>
私は返事をし、出かける準備を始めた。
“คืนนี้เป็นของเรา” ป๋อหลินพูดเบา ๆ ขณะที่เขากอดเธอไว้แน่นเสียงหัวใจของทั้งคู่เต้นเป็นจังหวะเดียวกัน เสียงกระซิบและเสียงหัวเราะเบา ๆ ก่อเกิดเป็นบทเพลงแห่งความรักที่พวกเขาร่วมบรรเลงอย่างสมบูรณ์ค่ำคืนนี้เต็มไปด้วยความรักและความสุข ลืมความทุกข์โศกและความสูญเสียในอดีต เหลือเพียงความรักที่แท้จริงและความผูกพันที่ไม่มีวันจางหายเช้าวันหนึ่ง เหว่ยเฟิงรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยสบายตัวนัก เธอมีอาการคลื่นไส้และเวียนศีรษะเล็กน้อย ตอนแรกเธอคิดว่าอาจเป็นเพราะทำงานหนักเกินไป แต่เมื่ออาการไม่ดีขึ้น เธอจึงตัดสินใจไปหาหมอในเมืองเมื่อผลตรวจออกมา เหว่ยเฟิงแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง เธอตั้งครรภ์! ความรู้สึกหลากหลายถาโถมเข้ามาในใจ ทั้งความดีใจ ความตื่นเต้น และความกังวลเล็ก ๆ เธอจะบอกข่าวดีนี้กับฉินป๋อหลินอย่างไรดีนะ?เขาจะตื่นเต้นดีใจกับข่าวดีนี้หรือเปล่าและทันทีที่กลับถึงบ้าน เหว่ยเฟิงก็ตรงไปหาฉินป๋อหลินที่กำลังจัดการเอกสารอยู่ในห้องทำงาน“ป๋อหลินคะ ฉันมีเรื่องจะบอกคุณค่ะ” เหว่ยเฟิงพูดเสียงแผ่วฉินป๋อหลินเงยหน้าขึ้นมองเธอด้วยความเป็นห่วง “มีอะไรหรือ เฟิงเอ๋อร์? ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”เหว่ยเฟิงสูดหายใจเ
และมาวันนี้ที่ทุกคนไม่อยากให้เกิดขึ้นก็มาถึง ในที่สุดฉินหลงเจ๋อก็จากไปอย่างสงบจากโรคมะเร็งตับระยะสุดท้าย แม้ความโศกเศร้าจะเกาะกุมหัวใจ ฉินป๋อหลินและเหว่ยเฟิงก็พยายามยิ้มให้กันพวกเขาเข้าใจดีว่าตอนนี้ฉินหลงเจ๋อจากไปอย่างสงบ ปราศจากความเจ็บปวดทรมาน และที่สำคัญที่สุด ท่านจากไปพร้อมกับรอยยิ้มแห่งความสุข“พ่อคงไม่อยากเห็นพวกเราเศร้านักหรอกค่ะ” เหว่ยเฟิงเอ่ยเสียงแผ่ว ปลอบประโลมฉินป๋อหลินที่ยังคงมีน้ำตาคลอหน่วยฉินป๋อหลินพยักหน้ารับ “ใช่แล้วเฟิงเอ๋อร์ พ่อคงอยากให้พวกเรามีความสุข”หลังจากนั้นฉินป๋อหลินก็รับช่วงต่อธุรกิจไร่องุ่นหยางกวงแทนบิดาอย่างเต็มตัว เขาและเหว่ยเฟิงก็ช่วยกันทำงานร่วมกันอย่างมุ่งมั่นและขยันขันแข็งวันเวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า ไร่องุ่นที่เคยเจอปัญหาและความท้าทายกลับเริ่มเติบโตและประสบความสำเร็จยิ่งขึ้นด้วยความร่วมมือของสองสามีภรรยา ทำให้พวกเขากลายเป็นคู่รักที่แข็งแกร่ง ทั้งในเรื่องงานและชีวิตครอบครัวยามเช้าในไร่องุ่นเต็มไปด้วยความสดชื่น แสงแดดอ่อน ๆ ส่องผ่านใบไม้เขียวขจี เหว่ยเฟิงและฉินป๋อหลินเดินเคียงข้างกันท่ามกลางแปลงองุ่นที่กำลังสุกงอม มือของทั้งสองจับกันไว้แน่น สายลมเบา ๆ
เมื่อเหว่ยเฟิงและฉินป๋อหลินเดินทางมาถึงโรงพยาบาลจิตเวช ภาพของม่านชิงชิงที่ปรากฏตรงหน้าทำให้เธอแทบจำไม่ได้ หญิงสาวที่เคยงดงามและเย่อหยิ่ง บัดนี้เหลือเพียงร่างกายที่ผ่ายผอมและดวงตาที่ว่างเปล่าหญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเหว่ยเฟิงกับฉินป๋อหลินอย่างเลื่อนลอย ไม่มีวี่แววของความเกลียดชังหรือความอาฆาตใด ๆ หลงเหลืออยู่“เธอจำฉันได้หรือไม่” เหว่ยเฟิงเอ่ยถามเสียงเบาม่านชิงชิงส่ายหน้าช้า ๆ น้ำตาไหลอาบแก้ม “ฉันไม่รู้จักคุณค่ะ ฉันจำอะไรไม่ได้จริง ๆ”เหว่ยเฟิงมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความเวทนา นี่คือผลลัพธ์ของความแค้นที่ม่านชิงชิงเคยปลูกฝังไว้ในใจ“ม่านชิงชิง ฉันให้อภัยเธอ” เหว่ยเฟิงเอ่ยออกมาจากใจม่านชิงชิงมองเหว่ยเฟิงด้วยความประหลาดใจ เธอไม่เคยคิดว่าจะได้ยินคำเหล่านี้จากปากของใครสักคน“ขอบคุณ” ม่านชิงชิงกระซิบ ถึงแม้จะไม่เข้าใจในสิ่งที่เหว่ยเฟิงพูดก็ตามที“ฉันสงสารม่านชิงชิงจังค่ะ ป๋อหลิน ถึงเธอจะเคยทำร้ายฉันยังไง ฉันก็ไม่เคยโกรธเธอเลย” เหว่ยเฟิงเอ่ยกับสามี ระหว่างเดินทางกลับบ้านด้วยกัน“ทุกอย่างมันเกิดจากการกระทำของเธอเอง ไม่มีใครทำเธอเลย”“นั่นสิคะ”การไปเยี่ยมม่านชิงชิงครั้งนี้ทำให้เหว่ยเฟิงได้เรียนรู้
ข่าวการจับกุมชายฉกรรจ์ที่บ้านพักท้ายไร่แพร่กระจายไปทั่วเมืองต้าหลี่อย่างรวดเร็ว การสอบปากคำของพวกเขาชี้ชัดไปที่ม่านชิงชิงในฐานะผู้บงการอยู่เบื้องหลังการพยายามลักพาตัวและทำร้ายเหว่ยเฟิง ตำรวจไม่รอช้าออกหมายจับเธอทันทีขณะเดียวกันตำรวจก็มาแจ้งกับฉินป๋อหลิน ถึงการตามตัวหาม่านชิงชิงตามที่อยู่ในทะเบียนราษฎร์แล้ว ก็พบว่าบ้านหลังนั้นถูกธนาคารยึดทรัพย์ และถูกศาลฟ้องล้มละลายพอทุกคนได้ฟังเช่นนั้นก็ตกใจเช่นกัน พร้อมกับปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดหวังซู่หลินเองที่ตอนนี้กำลังพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาล ได้ฟังที่ตำรวจแจ้งก็ร้องไห้โฮด้วยความเสียใจ ไม่คิดเลยว่าม่านชิงชิงจะหลอกลวงนางได้ในวันเดียวกันนั้น ม่านชิง ๆ ก็ได้ข่าวว่าตำรวจจะนำกำลังมาจับกุม ม่านชิงชิงรู้ตัวทันทีว่าเธอไม่มีทางหนีรอดจากเรื่องนี้ได้อีกต่อไป เธอรู้ว่าไม่สามารถปฏิเสธความผิดที่ตัวเองก่อไว้ได้ ทุกอย่างกำลังพังทลายลงตรงหน้าในห้องที่เงียบงัน ม่านชิงชิงทำการเก็บข้าวของเท่าที่จำเป็นอย่างลวก ๆ ตอนนี้เธอไม่มีเวลามากนัก เพราะตำรวจอาจมาถึงตัวเธอได้ทุกเมื่อ“ฉันจะทำยังไงดี... ฉันจะหนีไปไหนได้บ้าง?” ม่านชิงชิงพึมพำกับตัวเองเสียงสั่น ขณะเร่งก้าวเด
เหว่ยเฟิงมาถึงบ้านพักท้ายไร่ตามที่ม่านชิงชิงนัดหมายโดยบอกว่าจะขอปรับความเข้าใจ เพราะเธอนั้นจะขอยอมแพ้กับรักครั้งนี้แล้ว ทั้งเจ้าตัวยังบอกอีกว่าจะยอมถอยกลับไปปักกิ่งตอนแรกเหว่ยเฟิงมีความลังเลว่าจะไปตามที่ม่านชิงชิงเอ่ยปากร้องขอดีหรือไม่ แต่ในที่สุดเธอก็ตกลงที่จะไปตามนัดด้วยอยากไปเคลียร์ใจกันให้จบเช่นนั้นเหว่ยเฟิงจึงเดินเข้าไปในบ้านพักท้ายไร่เพียงลำพัง“ม่านชิงชิง ฉันมาแล้ว”แต่ไม่มีเสียงตอบรับจากภายใน เหว่ยเฟิงขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เธอตัดสินใจผลักประตูเข้าไปช้า ๆภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าทำให้เธอแทบหยุดหายใจ ชายฉกรรจ์ร่างกำยำหลายคนยืนออกันอยู่กลางห้อง พวกเขาทั้งหมดจ้องมองมาที่เธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งร้าย“นี่มันอะไรกัน!?” เหว่ยเฟิงอุทานออกมาด้วยความตกใจ เธอพยายามตั้งสติ ถอยหลังไปช้า ๆ แต่ก็สายเกินไป ชายฉกรรจ์คนหนึ่งพุ่งเข้ามาจับตัวเธอไว้แน่น“ปล่อยฉันนะ! นี่มันเรื่องอะไรกัน!” เหว่ยเฟิงดิ้นรนสุดแรง แต่ก็ไม่อาจสู้แรงของชายฉกรรจ์ได้ เธอรู้สึกถึงความหวาดกลัวที่กำลังกัดกินหัวใจ เธอตะโกนสุดเสียง“ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยฉันที!”ทว่าเสียงของหญิงสาวจมหายไปในความเงียบงันของบ้านพักท้ายไร่ท
“ม่านชิงชิง พอได้แล้ว!” ฉินป๋อหลินที่เดินเข้ามาในห้องของหญิงสาวพูดเสียงเข้ม “ผมรู้นะว่าคุณกำลังคิดจะทำอะไรโง่ ๆ ผมจะไม่ยอมให้คุณทำร้ายเหว่ยเฟิงอีกแล้ว”ม่านชิงชิงหน้าถอดสี เธอไม่คิดว่าฉินป๋อหลินจะรู้ทันแผนการของเธอ เธอพยายามแก้ตัว “คุณเข้าใจผิดแล้ว ฉันแค่...”“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น” ฉินป๋อหลินขัดจังหวะ “ผมรู้จักคุณดีพอ ม่านชิงชิง ผมเคยหลงเชื่อคำพูดของคุณ แต่ตอนนี้ผมตาสว่างแล้ว ผมจะไม่ยอมให้คุณมาทำลายความสุขของผมกับเหว่ยเฟิงอีก”ม่านชิงชิงกำมือแน่นด้วยความโกรธและผิดหวัง เธอไม่คิดว่าฉินป๋อหลินจะปกป้องเหว่ยเฟิงขนาดนี้ เธอรู้สึกเหมือนทุกอย่างกำลังพังทลายลงต่อหน้าต่อตา“แล้วคุณจะเสียใจ” เธอพูดเสียงสั่น “เหว่ยเฟิงจะต้องหายไปจากที่นี่...”“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” ฉินป๋อหลินตวาดเสียงดังคำพูดของฉินป๋อหลินเหมือนคมมีดกรีดลึกเข้าไปในใจของม่านชิงชิง เธอรู้สึกหวาดกลัวเขาเป็นอย่างมาก แต่ก็ต้องสู้เพื่ออนาคตของตัวเอง ม่านชิงชิงจึงรีบหันหลังวิ่งหนีไป ทิ้งให้ฉินป๋อหลินยืนอยู่คนเดียวฉินป๋อหลินรู้ดีว่าสิ่งต่อไปที่ต้องทำคือการกลับไปพูดกับแม่อย่างจริงจัง เขาตัดสินใจแน่วแน่ว่าเขาจะไม่ยอมให้ม่านชิงชิงอยู่ในบ้านน






Comments