ครานี้ผู้ที่มารินสุราเป็นนางกำนัลตัวน้อย ไม่รู้ว่านางประหม่าหรืออย่างไร จึงทำสุราหกราดอาภรณ์ของมู่เซียวเซ่อจนเปียกปอน “ขออภัยท่านอ๋อง หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจ หม่อมฉันสมควรตายเพคะ ท่านอ๋องโปรดอภัยด้วย”
นางคุกเข่าคำนับซ้ำแล้วซ้ำเล่า เซียวเซ่อคร้านจะใส่ใจนางกำนัลตัวเล็กจึงลุกขึ้นยืน “เสด็จพี่ กระหม่อมขอตัวไปเปลี่ยนอาภรณ์”
“อืม เราก็จะไปสุขาเช่นกัน” ฮ่องเต้หนุ่มเอ่ย
ห้องจัดเลี้ยงกว้างขวาง เหลือเพียงจี้ฮองเฮานั่งอยู่ลำพัง จิตใจสั่นไหวเมื่อพบกับมู่เซียวเซ่ออีกครั้ง ความรักที่ถูกกดลึกไว้ในอก และความทรงจำเก่า ๆ ได้เอ่อล้นขึ้นมา
วันนั้นนางจำได้ดี เป็นงานเลี้ยงต้อนรับชัยชนะของท่านพ่อ และเป็นวันที่นางพลาดพลั้งอย่างไม่รู้ตัว ตื่นมาอีกทีก็มีฝ่าบาทนอนอยู่ด้านข้าง เราทั้งสองไร้เสื้อผ้าอาภรณ์ ผู้คนจำนวนมากพบเห็น
เรื่องนี้ทำให้จี้ฝู่หลิงไม่มีหน้าไปพบเจออดีตคนรักอีก ยอมอภิเษกกับฝ่าบาททั้งที่ใจไร้รัก
เริ่มแรกฝ่าบาทเอาอกเอาใจ ทำดีกับจี้ฝู่หลิงทุกอย่าง ทว่า...
วันคืนดี ๆ ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อบิดาของนางถูกสังหารในสนามรบ เขาก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เป็นเหมือนสัตว์ป่าดุร้าย ทรมานนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนนางรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็น
มีครั้งหนึ่งเขาปล่อยนางไว้ในกรงเสือ
เสือมันหิวโซและมองเหยื่ออย่างนางตาลุกวาว จากนั้นก็กระโจนมากัดขาของนาง ขย้ำเนื้อที่ขาจนเจ็บร้าวถึงกระดูก นาทีนั้น จี้ฝู่หลิงทั้งเจ็บทั้งกลัว ร้องขอชีวิตทั้งน้ำตา
ทว่า...ฝ่าบาทยืนมองนิ่งและส่งยิ้มร้ายมาให้ จึงได้รู้ว่าชีวิตนางอยู่ในกำมือของเขา ไม่อาจต่อต้านเขาได้ เจ็บแผลจนหมดสติไป จวบจนฟื้นขึ้นมาก็คิดเปลี่ยนแปลงตัวเอง ไม่เช่นนั้นคงถูกทรมานอยู่แบบนี้
จี้ฝู่หลิงกลายเป็นคนว่านอนสอนง่าย เอาอกเอาใจ ฝ่าบาททว่า...
ฝ่าบาทยังคงกระทำราวกับนางเป็นสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่ง ยามร่วมหอรุนแรงจนร่างของนางแทบแหลกสลาย ถึงแม้นาง จะร้องไห้อย่างเจ็บปวดเขาก็ไม่ยอมหยุดมือ
นี่คือบทลงโทษที่ในใจเจ้ามีชายอื่น เขากล่าวกับนางแบบนี้ จี้ฝู่หลิงนั่งเหม่ออยู่ลำพัง กระทั่งนางกำนัลคนหนึ่งเดินเข้ามายอบกายคำนับ ก็ยังไม่ออกจากภวังค์ความคิด
“ฮองเฮาเพคะ ฝ่าบาทให้ฮองเฮาไปหาที่ตำหนักเติ้งอัน”
จี้ฝู่หลิงไม่รอช้ารีบไปยังตำหนักเติ้งอันตามรับสั่งสามี เพราะถ้าไปช้าอาจจะถูกเขาลงโทษอย่างโหดร้าย ไม่วิธีใดก็วิธีหนึ่ง
เมื่อเข้าไปในตำหนักกว้างขวางกลับไม่มีผู้ใดอยู่ จี้ฝู่หลิงขมวดคิ้วเล็กน้อย
นางคิดว่าตัวเองเข้าผิดตำหนัก จึงเดินกลับไปที่ประตู ต้องกลับไปถามนางกำนัลคนนั้นอีกครั้ง ว่าตำหนักใดกันแน่ ทว่าประตูกลับเปิดไม่ออก
เกิดอะไรขึ้นเหตุใดประตูเปิดไม่ออก จี้ฝู่หลิงใช้ฝ่ามือตีบานประตูเรียกผู้คนที่ผ่านไปมาด้านนอก “ใครอยู่ข้างนอกบ้าง รีบเปิดประตูเราจี้ฮองเฮาติดอยู่ในตำหนักนี้” ทำเช่นนั้นซ้ำ ๆ แต่ภายนอกยังไร้เสียงผู้คน
จนกระทั่งนางได้ยินเสียงหายใจหอบหนัก ดังมาจากหลังฉากกั้น จี้ฝู่หลิงตกใจ “ฝ่าบาท ใช่พระองค์ไหมเพคะ” ไม่มีเสียงตอบกลับ จึงก้าวเชื่องช้าไปหลังฉากกั้นด้วยใจที่หวาดระแวง
สายตาปะทะกับใบหน้าหล่อเหลาของมู่เซียวเซ่อ ที่ดูเหมือนจะหมดสติอยู่ “เซียวเซ่อเหตุใดเจ้ามาอยู่ที่นี่ แล้วฝ่าบาทเล่า”
มู่เซียวเซ่องัวเงียลืมตาขึ้นมา เมื่อได้ยินเสียงเรียก คิ้วของเขาขมวดมุ่นครุ่นคิดเหตุการณ์ก่อนหน้า เขาเข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าที่นี่จากนั้นก็จำอะไรไม่ได้แล้ว
ดูเหมือนว่าสุรานั่นจะมีปัญหา ตอนนี้ร่างกายของเขาร้อนรุ่มดังไฟเผา เซียวเซ่อลุกขึ้นยืนอยากยากลำบาก ใบหน้าคุ้นเคยของสตรีตรงหน้าทำให้ดวงตาเขายิ่งพร่ามัว
ความรุ่มร้อนเร่งความต้องการ ยากที่จะควบคุมตัวเอง เซียวเซ่อดึงสตรีตรงหน้าเข้ามากอด “ฝู่หลิง” เสียงของเขาแหบพร่า และเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้
“เซียวเซ่อ” ฝู่หลิงไม่ปฏิเสธอ้อมกอดคนตรงหน้า นางปรารถนาอยากได้ไออุ่นนี้ ถึงแม้ว่านางจะรู้ดีว่าตอนนี้นางกับเขาเป็นไปไม่ได้
ก่อนสติเซียวเซ่อจะไร้การควบคุม ใบหน้าจิ้มลิ้มที่อยู่ใต้ร่างเขาในวันเข้าหอก็แวบเข้ามาในหัว เซียวเซ่อผลักจี้ฝู่หลิงออก “อย่าเข้ามาใกล้ข้า” กำหมัดชกกำแพงจนนิ้วแตกยับ เพื่อเรียกสติตัวเองให้กลับมา
“เซียวเซ่อเจ้าเป็นอะไร อย่าทำให้ข้าตกใจ” จี้ฝู่หลิงเห็น ดวงตาอีกฝ่ายแดงก่ำ ลมหายใจหอบถี่ ดูทรมานมากจึงเป็นห่วง นางหวังดีเดินเข้าไปหาเพื่อช่วยพยุงเขาไปที่ตั่งตรงหน้าต่าง
“อย่าเข้ามา ออกไปซะ”
“เจ้าเกลียดข้ามากหรือ”
เซียวเซ่อไม่พูดสิ่งใด เขาต้องการออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ร่างสูงโปร่งก้าวยาวไปที่หน้าต่าง ทว่าหน้าต่างถูกปิดตายจากด้านนอก
ทั้งหน้าต่างและประตูทุกบานเปิดไม่ออก เซียวเซ่อรู้แล้วว่าตอนนี้เขาตกอยู่ในแผนการของคนอื่น “พี่สะใภ้เหตุใดท่านมาที่นี่”
“ฝ่าบาทเรียกข้ามา เซียวเซ่อเจ้าเกลียดข้าแล้วใช่หรือไม่...”
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาถาม เราต้องหาทางออกจากที่นี่ ไม่เช่นนั้นหากใครมาพบเข้า เจ้ากับข้าก็ยากจะอธิบายแล้ว”
“เจ้าหมายความว่า...” ฝู่หลิงเงียบไป นางไม่คาดคิดว่าสามีใจร้ายคนนั้น จะผลักไสนางมาให้ผู้อื่น ซ้ำร้ายคนผู้นี้ยังเป็นน้องชายของเขา ฝ่าบาทกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
“ฝ่าบาทเสด็จ”
เสียงกงกงดังก้องเข้าหูบุคคลในตำหนักเติ้งอันทั้งสอง พวกเขามองหน้ากัน และมองไปที่ประตูพร้อมเพรียงกัน
แย่แล้ว หากฝ่าบาทพบเจอนางอยู่กับเซียวเซ่อ ไม่รู้นางจะถูกคนผู้นั้นใช้วิธีไหนลงทัณฑ์ จี้ฝู่หลิงแผ่นหลังเย็นเฉียบยามคิดถึงบทลงโทษที่ผ่านมา
.................
ฮองเฮาหาทางหนีก่อน ผัวมา
ลู่ผิงถิงคร้านจะสนใจเขาตอนนี้ตานางลืมแทบไม่ขึ้นแล้ว “หม่อมฉันง่วงแล้วเพคะ” จมูกโด่งของคนด้านข้างซุกไซร้ซอกคอทว่านางไม่ไหวแล้วจริง ๆ จึงหลับไปอย่างไม่รู้ตัวมู่เซียวเซ่อจุมพิตขมับภรรยาเบา ๆ จากนั้นก็ออกจากห้องไม่เช่นนั้นเขาคงก่อกวนนางจนตื่นแน่ เขาตรงไปยังห้องทรงอักษรเพื่อจัดการฎีกาที่เหลือ เกือบสว่างเขาถึงได้กลับมานอนกอดภรรยาเช้าวันต่อมาฮ่องเต้หนุ่มมู่เซียวเซ่อออกว่าราชการและสั่งการให้ลู่หงปินที่ถูกเลื่อนขั้นเป็นมหาเสนาบดี ไปจัดการช่วยเหลือชาวเมืองทางเหนือที่ถูกน้ำป่าถล่มเสียหายหลายหมู่บ้าน จัดการแจกเสบียงอาหาร เครื่องนุ่งห่มให้ชาวบ้าน ก่อสร้างบ้านเรือนที่เสียหาย และได้วางแผนเปิดการค้ากับต่างแคว้นเพื่อฟื้นฟูท้องพระคลังที่ว่างเปล่าฮ่องเต้ทรงห่วงใยปวงประชา ทรงงานหนักทุกวันเพื่อให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดี จวบจนเวลาสามปีทุกอย่างที่เฝ้าตั้งใจลงมือทำก็ผลิดอกออกผล ประชาชนอยู่ดีกินดี บ้านเมืองมั่งคั่ง ท้องพระคลังไม่ว่างเปล่าอีกต่อไป“มำหม่ำ”เสียงบุตรชายร้องกินนมอยู่ในอ้อมกอดมารดา จนคนเป็นพ่อแบบเขาบางครั้งก็โมโห ที่ภรรยาสนใจแต่ลูกน้อยไม่สนใจเขาบ
มู่เซียวเซ่อลืมตาขึ้น ถูกยั่วยวนเพียงนี้ใครจะทนได้ อดกลั้นอยู่ตั้งนานเพราะกลัวนางเหนื่อย ได้ยินนางบอกไม่เหนื่อยใครบ้างไม่ยินดี เจ้ามังกรที่เขากำลังกล่อมหลับ จะได้รับการปลอบประโลมแล้ว ดีใจสุด ๆดวงตาดอกท้อมองภรรยาหวานเยิ้ม จากนั้นจับมือของนางถอดสายคาดเอวรวมไปถึงถอดอาภรณ์ของเขาไปพร้อม ๆ กันลู่ผิงถิงเคยปรนนิบัติเขามาแล้วยามที่นางมีฤดูวันนั้น วันนี้นางจึงไม่เอียงอายเท่าไร ลิ้นเล็กเล็มเลียจุดอ่อนไหวของเขา เม็ดบัวทั้งสองข้างเปียกชื้นไปด้วยน้ำลายของนางมู่เซียวเซ่อครางในลำคออย่างเสียวซ่าน เขาแทบคลั่งที่ถูกกระตุ้น และตอนนี้เจ้ามังกรจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ อยู่แล้ว “อ้าส์ ถิงเอ๋อร์เด็กดี ครอบครองมันให้พี่ที”ลู่ผิงถิงยิ้มมุมปากจากนั้นก็กรีดนิ้วไปบนหน้าท้องเขาไล่ไปหามังกรตัวเขื่อง จับรูดขึ้นลงเชื่องช้าแล้วหยุดมือลงกะทันหัน เห็นคิ้วของสามีเลิกขึ้นก็ยิ่งสุขใจ นางอยากกลั่นแกล้งที่เขาทิ้งให้นางรอคอยเพียงลำพังเมื่อครู่ “หม่อมฉันเริ่มเหนื่อยแล้ว นอนกันเถิดเพคะ”มู่เซียวเซ่อจับสตรีที่ยั่วยวนเมื่อครู่นอนลงจากนั้นก็จุมพิตดูดดื่มมาถึงขั้นนี้แล้วใครจะนอน เขาขบกัด
มู่เซียวเซ่อในชุดสีแดงมงคลนั่งสง่าบนหลังม้า อาชาคู่กายที่ปราดเปรื่องในสนามรบ ถูกผูกผ้าสีแดงจนมันพ่นลมหายใจออกมาบ่อยครั้ง เขาได้แต่ปลอบมันด้วยการลูบขนบริเวณคอและเอ่ยติดสินบนมันแผ่วเบา “เสร็จงานจะให้หญ้าหวานของโปรดเจ้ามากหน่อย อย่างอแง” ด้านหลังของเขาเป็นขบวนสินสอดที่ตั้งใจนำมามอบให้ภรรยาชาวบ้านแถบนั้นมามุงดูด้วยความริษยา แสงระยิบระยับที่สะท้อนสายตา เป็นจำพวกเงินทองและเครื่องประดับที่พูนขึ้นมาจากหีบ และที่ปิดฝาไว้อีกมากมายคงจะเป็นผ้าไหมเนื้อดี รวมไปถึงโฉนดที่ดินและอื่น ๆ อีกมากมายชินอ๋องเสเพลเป็นเจ้าของหอเฟิ่งหวงใครก็ต่างเหลือเชื่อ สิ่งที่ทำให้ชาวบ้านเหลือเชื่อยิ่งกว่าคือ เขาแสร้งเสเพลตบตาผู้คน ทว่าทำได้เหมือนจริงราวกับเป็นตัวเขาเองด้านในจวนลู่ บิดามารดาและพี่รองของลู่ผิงถิงอยู่กันพร้อมหน้า เวินหลินช่วยบุตรสาวประทินโฉม ส่วนลู่หงเวินนั่งยิ้มมองภรรยาและบุตร ไม่กล้าพูดคุยกับภรรยา“พระชายา ท่านอ๋องมาแล้วเจ้าค่ะ สินสอดยาวมากน่าจะสองร้อยหาบได้” อาหลี่วิ่งหน้าตาตื่นมาบอก นางตื่นเต้นเมื่อเห็นขบวนรับเจ้าสาวของท่านอ๋อง“ถิงเอ๋อร์” เวินหลินจับมือบุตรสาวอยากร
ลู่ผิงถิงเริ่มโมโห นางร้องไห้ใจแทบขาดทว่าเป็นเลือดไก่ “แล้วที่ท่านหายใจรวยรินเล่า”“ข้าคงเหนื่อยมาก” มู่เซียวเซ่อเริ่มใช้จมูกซุกซน ซอกซอนไปตามลำคอระหง เรียวลิ้นดูดดึงเลาะเล็มตามปลายคางจนมาถึงริมฝีปาก“หยุด”มู่เซียวเซ่อหยุดชะงักตามคำสั่งจากนั้นเลิกคิ้วมองใบหน้าหวานอย่างสงสัย“ท่านป่วยอยู่”“ข้าหายแล้ว” ไม่รอให้อีกฝ่ายปฏิเสธอีก มู่เซียวเซ่อก็จู่โจมจุมพิตเร่าร้อน ปลดเปลื้องอาภรณ์คนตัวเล็กออกอย่างรวดเร็ว นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้ปลดปล่อยฝ่ามือลูบไล้เรือนร่างระหง เรียวลิ้นลากไล้ไปทั่วทุกซอกมุมลู่ผิงถิงอ่อนระทวยไปกับการโลมเล้าของเขา ทว่านางยังไม่ลืมชีวิตน้อย ๆ ในท้อง “อ้าส์...ท่านอ๋องหม่อมฉันตั้งครรภ์อยู่”“ข้าปรึกษาหมอหลวงแล้วว่าได้” มู่เซียวเซ่อกระซิบที่ข้างหูเสียงกระเส่า พร้อมงับติ่งหูเบา ๆ“นี่หมายความว่าไง ท่านไม่ได้ป่วยจริงหรือ” หูของมู่เซียวเซ่อถูกพระชายาดึงราวกับหนังยางยืด“โอ๊ย..จะ..เจ็บ...ถิงเอ๋อร์ปล่อยก่อน ข้าป่วยจริง ๆ นะแต่ดีขึ้นมากแล้ว” สายตาของมู่เซียวเซ่อล่อกแล่กขณะเอ่ยลู่ผิงถิงหรี่ตามองสามีคร
ได้ยินเช่นนั้นใจของลู่ผิงถิงก็ราวกับหล่นไปในเหวลึก ถึงกับดูใจครั้งสุดท้ายเลยหรืออาจเพราะทำงานจนลืมกินข้าว หรืออาจเพราะอ่านฎีกาไม่ยอมพักผ่อน ถึงได้เป็นหนักขนาดนี้ แม้ในใจยังไม่หายโกรธ แต่ความเป็นห่วงทำให้ลู่ผิงถิงรีบร้อนออกจากจวนอ๋องอย่างรวดเร็วบนเตียงกว้างสามีนอนใบหน้าซีดเซียว ริมฝีบางของเขาลอกเป็นขุย “ท่านอ๋อง เหตุใดเป็นอย่างนี้ไปได้” ลู่ผิงถิงน้ำตาไหลเมื่อเห็นสภาพของสามี“ถิงเอ๋อร์ ข้าปวดใจมากที่ต้องโกหกเจ้า” ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากไอ เลือดสีดำจุดเล็กติดมากับผ้าเช็ดหน้า “วันนั้นเพราะเสด็จพี่ต้องการสังหารข้า ถ้าข้าไม่ตายเจ้าจะไม่ปลอดภัย” พูดไปไอไป“พอแล้วเพคะ ไม่ต้องพูดแล้ว” ลู่ผิงถิงจับมือสามีไว้ หัวใจบีบแน่นที่เห็นสภาพอิดโรยของเขาหมอหลวงนำโอสถเข้ามา “ท่านอ๋องดื่มยาก่อนพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าทำเอง เจ้าออกไปเถิด” ลู่ผิงถิงรับยามาเป่าแล้วป้อนให้สามีสายตารู้สึกผิดจับจ้องผู้เป็นภรรยา “ข้าไม่อยากโกหกเจ้าสักนิด ที่กระท่อมหลังนั้นคนของเสด็จพี่จับตามองเราตลอดเวลา ข้าหาโอกาสสารภาพกับเจ้าไม่ได้ ยกโทษให้ข้านะถิงเอ๋อร์”ลู่ผิงถิงเม้มริมฝีปากบาง
“ฉึก” ปลายดาบแทงแผ่นหลังทะลุหัวใจของฮ่องเต้หนุ่มมู่เซียวเซ่อดีดลูกโลหะเหล็กก้อนกลมใส่มือผู้เป็นพี่ชาย กระบี่หล่นจากมือตกลงพื้น เขาคว้าข้อมือบางดึงเข้ามาในอ้อมกอดอย่างปลอดภัยลู่ไป๋อิงใช้แรงเฮือกสุดท้ายแทงชายหนุ่มที่ตัวเองรักแล้วกอดเขาจากด้านหลังล้มลงพื้นไปด้วยกัน “ไม่ได้ร่วมผูกผม ก็ร่วมลงหลุมไปด้วยกัน” พูดแผ่วเบากระซิบที่ข้างหูฝ่าบาททำผิดมามากมายได้ทำอะไรเพื่อพี่สาวเป็นครั้งสุดท้ายก็ยังดี ถึงแม้จะทดแทนความผิดที่ผ่านมาไม่ได้ก็ตาม สำหรับพี่ชายใหญ่นางจะตามไปชดใช้ที่ปรโลกไม่นานคนของมู่เซียวเซ่อก็ควบคุมคนของมู่เซียวเหิงได้ณ จวนอ๋องมู่เซียวเซ่อตามง้อภรรยามาสามวันแล้วทว่าไม่เป็นผล นางไม่ยอมมองหน้า ไม่คุยด้วย เสด็จพ่อก็จะให้ขึ้นครองบัลลังก์อย่างเดียว ไม่รู้ถึงความลำบากใจของบุตรชายคนนี้บ้างเลย“เซียวเซ่อ ข้ามาแล้ว” อู่เหยียนเอ่ยทักทายสหาย ความจริงเขาเข้าเมืองมาหลายวันแล้ว แต่พักอยู่ที่หอเฟิ่งหวง ไม่เข้าท้องพระโรงกับพวกจ้าวเฉา ใครจะเอาชีวิตไปเสี่ยงตายเล่า เขาเป็นแค่หมอคนหนึ่ง ไม่ได้มีวิ