สามวันผ่านไป ลู่ผิงถิงยังดูแลมารดาอยู่จวนตระกูลลู่ พวกบิดายังไม่กลับมาได้ยินว่าพากันออกไปท่องเที่ยวทิศประจิม และดูทำเลการค้าเพื่อขยายกิจการร้านเสื้อผ้า
ลู่ผิงถิงเดินไปที่เรือนใหญ่พบกับบ่าวที่เฆี่ยนพี่เสี่ยวซีเข้าพอดี จึงเรียกให้เข้ามาช่วยทำความสะอาดในห้องโถง พอบ่าวคนนั้นทำเสร็จออกไป คุณหนูใหญ่อย่างนางก็โวยวายว่าปิ่นปักผมหาย บอกให้บ่าวในเรือนช่วยกันตามหา ปรากฏว่าอยู่ที่ห้องของบ่าวที่เฆี่ยนพี่เสี่ยวซี
ไม่ได้ใส่ร้ายบ่าวคนนั้น เพียงแต่ใช้ปิ่นราคาหนึ่งร้อยตำลึงล่อตาล่อใจ หากนางไม่หยิบไปลู่ผิงถิงก็ไม่อาจลงโทษได้ แต่ครั้งนี้นางหยิบไปจึงหนีไม่พ้น เฆี่ยนพี่เสี่ยวซีไปกี่ครั้งต้องถูกเอาคืนเป็นสองเท่า ไม่ยอมให้พี่เสี่ยวซีเจ็บปวดคนเดียวแน่ ส่วนลู่ไป๋อิง รอก่อนเถอะจะจับตีให้ก้นลายเลย
หนึ่งปีมานี้คงเรียนรู้กับฮูหยินรองมาก จึงเปลี่ยนไปเช่นนี้เมื่อก่อนน่ารักเชื่อฟัง หลังจากนางย้ายมาเรือนท้ายจวนน้องสาวก็เปลี่ยนไป ไม่รู้ว่าที่ผ่านมาน้องสาวเสแสร้ง หรือเป็นแบบนี้มานานแล้ว
จัดการบ่าวคนนั้นเสร็จก็เข้าไปในห้องบิดา ค้นหาหลักฐานเกี่ยวกับคดีของพี่ชายใหญ่
มีอยู่วันหนึ่ง ลู่ผิงถิงบังเอิญได้ยินบิดาคุยกับพี่ชายคนรองและฮูหยินรอง เรื่องคดีของพี่ใหญ่
คำพูดฮูหยินรองที่ถามบิดาว่า ตระกูลลู่เหลือบุตรชายสืบสกุลคนเดียวแล้วท่านจะส่งลูกไปตายหรือ เป็นชนวนที่ติดอยู่ในใจ ลู่ผิงถิงมาตลอด เพราะคำพูดนี้ทำให้ลู่ผิงถิงคิดว่า คนบงการอยู่เบื้องหลังการตายของพี่ใหญ่คือพี่รอง
ลู่ผิงถิงเปิดกล่องสีดำใบเล็ก ในนั้นเป็นจดหมายที่พี่รองเขียนหาบิดายามทำการค้าอยู่นอกเมือง ลู่ผิงถิงเปิดอ่านอย่างถือวิสาสะ เนื้อความคือเรื่องการแต่งงานของนาง และตำแหน่งหน้าที่ในราชสำนัก ที่พี่ชายรองจะได้ผลประโยชน์จากการแต่งงานของนางในครั้งนี้
เป็นพี่ชายคนรองแนะนำให้บิดาบังคับนางให้แต่งงาน ชาหนึบไปทั้งใจ ไม่น่าเชื่อว่าคนใกล้ชิดได้ชื่อว่าพี่น้องจะแว้งกัดทำร้ายกัน
ลู่ผิงถิงกลับไปที่เรือนท้ายจวน สงบสติอารมณ์ที่ดิ่งให้กลับมาเป็นปกติ จากนั้นก็เดินทางไปหอเฟิ่งหวง
วันนี้เป็นวันที่หมอเทวดาเหยียนจะมาที่หอเฟิ่งหวง ลู่ผิงถิงอาบน้ำแต่งตัว เพื่อไปรอพบหน้าหมอเทวดา “อาหลี่เจ้าอยู่ดูแลท่านแม่ ไม่ต้องตามข้าไป”
“เพคะพระชายา ไม่ต้องห่วงหม่อมฉันจะดูแลฮูหยินใหญ่ลู่อย่างดี”
“คนในห้องเก็บฟืนเจ้าก็จัดการเอาข้าวเอาน้ำไปให้เขาหน่อย” ลู่ผิงถิงกลัวว่าคนในห้องเก็บฟืนจะตายเสียก่อนที่บิดาจะกลับมา นางจึงเมตตาให้ข้าวให้น้ำอยู่ แต่จะกินยังไงก็อีกเรื่องหนึ่ง เพราะนางไม่ได้แก้มัดให้เขา
“อย่าห่วงเลยเพคะพระชายา หม่อมฉันจัดการไว้หมดแล้ว”
“ดี เช่นนั้นข้าไปก่อน” ลู่ผิงถิงออกจากจวนลู่ก็ตรงไปที่หอเฟิ่งหวง
ชินอ๋องเซียวเซ่อเข้าวัง หลังจากไม่เหยียบย่างไปที่นั่นมาเนิ่นนานแล้ว ตั้งแต่บิดาจากไป และตั้งแต่ขุนนางพวกนั้นบีบคั้นให้ยกตราบัญชาการทหารให้ฮ่องเต้องค์ใหม่ เขาก็ไม่เคยเข้ามาเหยียบในวังหลวงอีกเลย
ยอมยกตราบัญชาการทหารให้เสด็จพี่ เพราะไม่อยากให้เสด็จพี่คลางแคลงใจในตัวเขา เนื่องด้วยเขาไม่เคยคิดแย่งชิงบัลลังก์
ตามธรรมเนียมแล้ว มู่เซียวเซ่อต้องพาชายาไปยกน้ำชาให้ผู้ใหญ่ แต่เสด็จพ่อเสด็จแม่ไม่อยู่แล้ว พวกเขาตระกูลลู่เหลือเพียงสองคนพี่น้อง เขาจึงเว้นธรรมเนียมนี้ไป
วันนี้ที่เขายอมมาก็เพราะพระเชษฐาของเขา ส่งกงกงไปที่จวนอ๋องหลายครั้ง เรียกร้องให้พาพระชายาของเขามาเข้าเฝ้า ทว่าชายาที่แต่งหมาด ๆ ของเขาไม่ได้อยู่จวนอ๋อง เขาจึงเข้าวังมาคนเดียว
“ถวายบังคมฝ่าบาท” ชินอ๋องหนุ่มมู่เซียวเซ่อคุกเข่าลงพื้น สองมือกุมหมัดเข้าหากัน
มู่เซียวเหิง ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันประคองอนุชาให้ลุกขึ้น “ไม่ต้องมากพิธีกับพี่” สายตาคมเข้มมองสำรวจไปด้านหลัง “น้องสะใภ้ไม่มาหรือ”
มู่เซียวเซ่อพยักหน้าเล็กน้อย “ที่บ้านนางเกิดเรื่องเล็กน้อย น้องจึงเดินทางมาคนเดียว เสด็จพี่คงไม่กล่าวโทษนาง” เขาส่งคนไปตามนางแล้ว แต่นางฝากคำพูดกลับมาว่า ที่บ้านเกิดเรื่องนางไม่สะดวก
“จะเป็นไปได้อย่างไร” มู่เซียวเหิงหัวเราะเสียงดังที่เห็นอนุชาออกตัวแทนพระชายาที่เพิ่งแต่งเข้า “เห็นเช่นนี้เราก็เบาใจ เรากลัวว่าเจ้าจะเข้ากับนางไม่ได้”
ฮ่องเต้หนุ่มเดินไปนั่งบนตำแหน่งสูงสุด บนโต๊ะมีอาหารที่จัดเรียงไว้อย่างประณีต “เสียดายก็แต่เราจัดเตรียมงานเลี้ยงไว้แล้ว แต่ไม่เป็นไรเจ้าอยู่สังสรรค์กับเราและฮองเฮาก็ไม่ต่างกัน”
รอยยิ้มของฮ่องเต้หนุ่มไปไม่ถึงดวงตา เมื่อเห็นสายตาที่จับจ้องฮองเฮาของอนุชาตัวเอง “เซียวเซ่อนั่งสิ...พี่ไม่ได้พบหน้าเจ้านานแล้ว วันนี้เราสองคนพี่น้องมาดื่มให้หนำใจกันเถอะ”
“เสด็จพี่ วันนี้กระหม่อมต้องรีบไปรับพระชายาที่จวนลู่ คงจะดื่มจนเมามายกับเสด็จพี่ไม่ได้” เซียวเซ่อถอนสายตากลับมาจากใบหน้าคุ้นเคยของฮองเฮา
เขาไม่ได้หลงเหลือความรู้สึกรักใคร่แต่อย่างใด เพียงอยากรู้ความจริงในตอนนั้น ทว่ารู้ไปก็เท่านั้น เขากับฝู่หลิงไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้
จี้ฮองเฮาเคยเป็นคนรักของมู่เซียวเซ่อ แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปกะทันหัน หลังจากที่มู่เซียวเซ่อกลับมาจากสนามรบ
เสด็จพ่อสิ้นพระชนม์โดยที่เขากลับมาเห็นนอนอยู่ในพระโกศ ไม่ทันได้สั่งเสียดูใจ คนรักเปลี่ยนไปอภิเษกกับพระเชษฐาของเขา และไม่ยอมพบหน้าหรือบอกเหตุผลใด ๆ กับเขาแม้แต่น้อย
ทำให้มู่เซียวเซ่อเสียใจมาก ปล่อยตัวเองทรุดโทรมเที่ยวเตร่เมามายไปวัน ๆ นับแต่นั้นเป็นต้นมาข่าวลือหนาหู ว่าชินอ๋องเสเพลก็มีมาอย่างต่อเนื่องไม่เคยแผ่ว
“เช่นนั้นรึ” ฮ่องเต้แย้มยิ้ม “ดื่มกับพี่สักจอกแล้วค่อยไป ฮองเฮาเจ้าไปรินสุราให้เซียวเซ่อที”
จี้ฮองเฮาเม้มริมฝีปากบางเข้าหากัน ดวงตาเรียวยาวหรี่มองสามี ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินไปรินสุราให้ชินอ๋องเซียวเซ่อ “เชิญท่านอ๋องดื่ม”
“ขอบพระทัยพี่สะใภ้” มู่เซียวเซ่อกล่าวเสียงทุ้ม ยกจอกสุราขึ้นดื่มรวดเดียวหมดแล้วลุกขึ้นยืนสง่า “หากเสด็จพี่ไม่มีสิ่งใดแล้ว กระหม่อมขอตัวก่อน”
“จะรีบไปไหนกัน ชายาของเจ้าก็รออยู่จวนลู่ไม่ไปไหน ดื่มกับพี่อีกสักจอกก่อน นั่งลงเร็วเซียวเซ่อ”
...........
รีบไปรับเมียก็บอกอยู่เด็ดพี่
ลู่ผิงถิงคร้านจะสนใจเขาตอนนี้ตานางลืมแทบไม่ขึ้นแล้ว “หม่อมฉันง่วงแล้วเพคะ” จมูกโด่งของคนด้านข้างซุกไซร้ซอกคอทว่านางไม่ไหวแล้วจริง ๆ จึงหลับไปอย่างไม่รู้ตัวมู่เซียวเซ่อจุมพิตขมับภรรยาเบา ๆ จากนั้นก็ออกจากห้องไม่เช่นนั้นเขาคงก่อกวนนางจนตื่นแน่ เขาตรงไปยังห้องทรงอักษรเพื่อจัดการฎีกาที่เหลือ เกือบสว่างเขาถึงได้กลับมานอนกอดภรรยาเช้าวันต่อมาฮ่องเต้หนุ่มมู่เซียวเซ่อออกว่าราชการและสั่งการให้ลู่หงปินที่ถูกเลื่อนขั้นเป็นมหาเสนาบดี ไปจัดการช่วยเหลือชาวเมืองทางเหนือที่ถูกน้ำป่าถล่มเสียหายหลายหมู่บ้าน จัดการแจกเสบียงอาหาร เครื่องนุ่งห่มให้ชาวบ้าน ก่อสร้างบ้านเรือนที่เสียหาย และได้วางแผนเปิดการค้ากับต่างแคว้นเพื่อฟื้นฟูท้องพระคลังที่ว่างเปล่าฮ่องเต้ทรงห่วงใยปวงประชา ทรงงานหนักทุกวันเพื่อให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดี จวบจนเวลาสามปีทุกอย่างที่เฝ้าตั้งใจลงมือทำก็ผลิดอกออกผล ประชาชนอยู่ดีกินดี บ้านเมืองมั่งคั่ง ท้องพระคลังไม่ว่างเปล่าอีกต่อไป“มำหม่ำ”เสียงบุตรชายร้องกินนมอยู่ในอ้อมกอดมารดา จนคนเป็นพ่อแบบเขาบางครั้งก็โมโห ที่ภรรยาสนใจแต่ลูกน้อยไม่สนใจเขาบ
มู่เซียวเซ่อลืมตาขึ้น ถูกยั่วยวนเพียงนี้ใครจะทนได้ อดกลั้นอยู่ตั้งนานเพราะกลัวนางเหนื่อย ได้ยินนางบอกไม่เหนื่อยใครบ้างไม่ยินดี เจ้ามังกรที่เขากำลังกล่อมหลับ จะได้รับการปลอบประโลมแล้ว ดีใจสุด ๆดวงตาดอกท้อมองภรรยาหวานเยิ้ม จากนั้นจับมือของนางถอดสายคาดเอวรวมไปถึงถอดอาภรณ์ของเขาไปพร้อม ๆ กันลู่ผิงถิงเคยปรนนิบัติเขามาแล้วยามที่นางมีฤดูวันนั้น วันนี้นางจึงไม่เอียงอายเท่าไร ลิ้นเล็กเล็มเลียจุดอ่อนไหวของเขา เม็ดบัวทั้งสองข้างเปียกชื้นไปด้วยน้ำลายของนางมู่เซียวเซ่อครางในลำคออย่างเสียวซ่าน เขาแทบคลั่งที่ถูกกระตุ้น และตอนนี้เจ้ามังกรจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ อยู่แล้ว “อ้าส์ ถิงเอ๋อร์เด็กดี ครอบครองมันให้พี่ที”ลู่ผิงถิงยิ้มมุมปากจากนั้นก็กรีดนิ้วไปบนหน้าท้องเขาไล่ไปหามังกรตัวเขื่อง จับรูดขึ้นลงเชื่องช้าแล้วหยุดมือลงกะทันหัน เห็นคิ้วของสามีเลิกขึ้นก็ยิ่งสุขใจ นางอยากกลั่นแกล้งที่เขาทิ้งให้นางรอคอยเพียงลำพังเมื่อครู่ “หม่อมฉันเริ่มเหนื่อยแล้ว นอนกันเถิดเพคะ”มู่เซียวเซ่อจับสตรีที่ยั่วยวนเมื่อครู่นอนลงจากนั้นก็จุมพิตดูดดื่มมาถึงขั้นนี้แล้วใครจะนอน เขาขบกัด
มู่เซียวเซ่อในชุดสีแดงมงคลนั่งสง่าบนหลังม้า อาชาคู่กายที่ปราดเปรื่องในสนามรบ ถูกผูกผ้าสีแดงจนมันพ่นลมหายใจออกมาบ่อยครั้ง เขาได้แต่ปลอบมันด้วยการลูบขนบริเวณคอและเอ่ยติดสินบนมันแผ่วเบา “เสร็จงานจะให้หญ้าหวานของโปรดเจ้ามากหน่อย อย่างอแง” ด้านหลังของเขาเป็นขบวนสินสอดที่ตั้งใจนำมามอบให้ภรรยาชาวบ้านแถบนั้นมามุงดูด้วยความริษยา แสงระยิบระยับที่สะท้อนสายตา เป็นจำพวกเงินทองและเครื่องประดับที่พูนขึ้นมาจากหีบ และที่ปิดฝาไว้อีกมากมายคงจะเป็นผ้าไหมเนื้อดี รวมไปถึงโฉนดที่ดินและอื่น ๆ อีกมากมายชินอ๋องเสเพลเป็นเจ้าของหอเฟิ่งหวงใครก็ต่างเหลือเชื่อ สิ่งที่ทำให้ชาวบ้านเหลือเชื่อยิ่งกว่าคือ เขาแสร้งเสเพลตบตาผู้คน ทว่าทำได้เหมือนจริงราวกับเป็นตัวเขาเองด้านในจวนลู่ บิดามารดาและพี่รองของลู่ผิงถิงอยู่กันพร้อมหน้า เวินหลินช่วยบุตรสาวประทินโฉม ส่วนลู่หงเวินนั่งยิ้มมองภรรยาและบุตร ไม่กล้าพูดคุยกับภรรยา“พระชายา ท่านอ๋องมาแล้วเจ้าค่ะ สินสอดยาวมากน่าจะสองร้อยหาบได้” อาหลี่วิ่งหน้าตาตื่นมาบอก นางตื่นเต้นเมื่อเห็นขบวนรับเจ้าสาวของท่านอ๋อง“ถิงเอ๋อร์” เวินหลินจับมือบุตรสาวอยากร
ลู่ผิงถิงเริ่มโมโห นางร้องไห้ใจแทบขาดทว่าเป็นเลือดไก่ “แล้วที่ท่านหายใจรวยรินเล่า”“ข้าคงเหนื่อยมาก” มู่เซียวเซ่อเริ่มใช้จมูกซุกซน ซอกซอนไปตามลำคอระหง เรียวลิ้นดูดดึงเลาะเล็มตามปลายคางจนมาถึงริมฝีปาก“หยุด”มู่เซียวเซ่อหยุดชะงักตามคำสั่งจากนั้นเลิกคิ้วมองใบหน้าหวานอย่างสงสัย“ท่านป่วยอยู่”“ข้าหายแล้ว” ไม่รอให้อีกฝ่ายปฏิเสธอีก มู่เซียวเซ่อก็จู่โจมจุมพิตเร่าร้อน ปลดเปลื้องอาภรณ์คนตัวเล็กออกอย่างรวดเร็ว นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้ปลดปล่อยฝ่ามือลูบไล้เรือนร่างระหง เรียวลิ้นลากไล้ไปทั่วทุกซอกมุมลู่ผิงถิงอ่อนระทวยไปกับการโลมเล้าของเขา ทว่านางยังไม่ลืมชีวิตน้อย ๆ ในท้อง “อ้าส์...ท่านอ๋องหม่อมฉันตั้งครรภ์อยู่”“ข้าปรึกษาหมอหลวงแล้วว่าได้” มู่เซียวเซ่อกระซิบที่ข้างหูเสียงกระเส่า พร้อมงับติ่งหูเบา ๆ“นี่หมายความว่าไง ท่านไม่ได้ป่วยจริงหรือ” หูของมู่เซียวเซ่อถูกพระชายาดึงราวกับหนังยางยืด“โอ๊ย..จะ..เจ็บ...ถิงเอ๋อร์ปล่อยก่อน ข้าป่วยจริง ๆ นะแต่ดีขึ้นมากแล้ว” สายตาของมู่เซียวเซ่อล่อกแล่กขณะเอ่ยลู่ผิงถิงหรี่ตามองสามีคร
ได้ยินเช่นนั้นใจของลู่ผิงถิงก็ราวกับหล่นไปในเหวลึก ถึงกับดูใจครั้งสุดท้ายเลยหรืออาจเพราะทำงานจนลืมกินข้าว หรืออาจเพราะอ่านฎีกาไม่ยอมพักผ่อน ถึงได้เป็นหนักขนาดนี้ แม้ในใจยังไม่หายโกรธ แต่ความเป็นห่วงทำให้ลู่ผิงถิงรีบร้อนออกจากจวนอ๋องอย่างรวดเร็วบนเตียงกว้างสามีนอนใบหน้าซีดเซียว ริมฝีบางของเขาลอกเป็นขุย “ท่านอ๋อง เหตุใดเป็นอย่างนี้ไปได้” ลู่ผิงถิงน้ำตาไหลเมื่อเห็นสภาพของสามี“ถิงเอ๋อร์ ข้าปวดใจมากที่ต้องโกหกเจ้า” ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากไอ เลือดสีดำจุดเล็กติดมากับผ้าเช็ดหน้า “วันนั้นเพราะเสด็จพี่ต้องการสังหารข้า ถ้าข้าไม่ตายเจ้าจะไม่ปลอดภัย” พูดไปไอไป“พอแล้วเพคะ ไม่ต้องพูดแล้ว” ลู่ผิงถิงจับมือสามีไว้ หัวใจบีบแน่นที่เห็นสภาพอิดโรยของเขาหมอหลวงนำโอสถเข้ามา “ท่านอ๋องดื่มยาก่อนพ่ะย่ะค่ะ”“ข้าทำเอง เจ้าออกไปเถิด” ลู่ผิงถิงรับยามาเป่าแล้วป้อนให้สามีสายตารู้สึกผิดจับจ้องผู้เป็นภรรยา “ข้าไม่อยากโกหกเจ้าสักนิด ที่กระท่อมหลังนั้นคนของเสด็จพี่จับตามองเราตลอดเวลา ข้าหาโอกาสสารภาพกับเจ้าไม่ได้ ยกโทษให้ข้านะถิงเอ๋อร์”ลู่ผิงถิงเม้มริมฝีปากบาง
“ฉึก” ปลายดาบแทงแผ่นหลังทะลุหัวใจของฮ่องเต้หนุ่มมู่เซียวเซ่อดีดลูกโลหะเหล็กก้อนกลมใส่มือผู้เป็นพี่ชาย กระบี่หล่นจากมือตกลงพื้น เขาคว้าข้อมือบางดึงเข้ามาในอ้อมกอดอย่างปลอดภัยลู่ไป๋อิงใช้แรงเฮือกสุดท้ายแทงชายหนุ่มที่ตัวเองรักแล้วกอดเขาจากด้านหลังล้มลงพื้นไปด้วยกัน “ไม่ได้ร่วมผูกผม ก็ร่วมลงหลุมไปด้วยกัน” พูดแผ่วเบากระซิบที่ข้างหูฝ่าบาททำผิดมามากมายได้ทำอะไรเพื่อพี่สาวเป็นครั้งสุดท้ายก็ยังดี ถึงแม้จะทดแทนความผิดที่ผ่านมาไม่ได้ก็ตาม สำหรับพี่ชายใหญ่นางจะตามไปชดใช้ที่ปรโลกไม่นานคนของมู่เซียวเซ่อก็ควบคุมคนของมู่เซียวเหิงได้ณ จวนอ๋องมู่เซียวเซ่อตามง้อภรรยามาสามวันแล้วทว่าไม่เป็นผล นางไม่ยอมมองหน้า ไม่คุยด้วย เสด็จพ่อก็จะให้ขึ้นครองบัลลังก์อย่างเดียว ไม่รู้ถึงความลำบากใจของบุตรชายคนนี้บ้างเลย“เซียวเซ่อ ข้ามาแล้ว” อู่เหยียนเอ่ยทักทายสหาย ความจริงเขาเข้าเมืองมาหลายวันแล้ว แต่พักอยู่ที่หอเฟิ่งหวง ไม่เข้าท้องพระโรงกับพวกจ้าวเฉา ใครจะเอาชีวิตไปเสี่ยงตายเล่า เขาเป็นแค่หมอคนหนึ่ง ไม่ได้มีวิ