รถม้าประดับตราสัญลักษณ์จวงเซียงป๋อเคลื่อนเข้าจอดเทียบหน้าประตูใหญ่จวนเจิ้นหนิงโหว เด็กรับใช้ซึ่งประจำอยู่รีบนำบันไดเล็กมาวางตรงด้านข้าง เพื่อให้แขกคนสำคัญที่มาร่วมงานวันเกิดของท่านโหวได้ใช้สอยอย่างรู้งาน
ไม่นานนักบุรุษหน้าตาเกลี้ยงเกลาในชุดผ้าไหมชั้นดีสีฟ้าก็ออกมาจากหลังม่านประตู เขาก้าวลงจากรถแล้วยืนรอสตรีรูปโฉมงดงามซึ่งกำลังถูกสาวใช้ประคองตามลงมาทางด้านหลัง ใบหน้าเล็กต้องแสงตะวันยามสายส่งผลให้สตรีในชุดกระโปรงหรูฉวินสีเหลืองอ่อนปักลายดอกมู่ตานแลดูสูงส่งเปล่งประกาย ทว่าก็ให้ความรู้สึกละมุนละไมอ่อนหวานในขณะเดียวกัน
หากประเมินด้วยสายตา บุรุษและสตรีคู่นี้ช่างเหมาะสมคู่ควรกันอย่างยิ่ง แต่ในความเป็นจริงแขกเหรื่อคนอื่นๆ กำลังมองทั้งสองด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย
มีทั้งเห็นอกเห็นใจ และชิงชัง!
ก็ใครบ้างจะไม่รู้เล่าว่า สตรีหน้าตางดงามอ่อนหวาน ดูไร้พิษภัยอย่าง กัวรั่วชิง นั้นคว้าตำแหน่งฮูหยินซื่อจื่อจวงเซียงป๋อมาอย่างไร
ไร้ยางอาย! แม้แต่บุรุษของพี่น้องร่วมอุทรยังไม่ละเว้น
ให้สงสารก็แต่คู่เหมยเขียวม้าไม้ไผ่[1] อย่าง โจวจื่อหมิงกับกัวจิ้งอี คุณหนูใหญ่สกุลกัวที่ชาตินี้ต้องแคล้วคลาดไม่อาจต่อวาสนา เพราะอย่างไรชิงผิงโหวคงไม่มีทางยกบุตรสาวอีกคนมาเป็นอนุซื่อจื่อจวงเซียงป๋ออย่างเขาแน่นอน
คิดแล้วทุกคนก็ได้แต่ส่งสายตาเห็นอกเห็นใจไปยังบุรุษที่เดินนำสตรีไร้ยางอายผู้นั้นผ่านประตูใหญ่จวนเจิ้นหนิงโหวไป
กัวรั่วชิงเยื้องกรายตามโจวจื่อหมิงด้วยท่าทางสำรวม แม้จะถูกสายตาหลายคู่พุ่งเข้ามาทิ่มแทงราวห่าธนู แต่นางก็ได้หาหวั่นเกรง เพราะความจริงตนเองจะเป็นเยี่ยงไร ผู้อื่นหาได้มีสิทธิมาตัดสิน
คงมีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่จะสามารถกระทำได้
ตั้งแต่กัวรั่วชิงแต่งเข้าสกุลโจว นางออกไปพบปะสังสรรค์หรือร่วมงานเลี้ยงตามจวนต่างๆ แทบจะนับครั้งได้ ยิ่งงานที่ต้องไปเป็นคู่กับสามีด้วยแล้วยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่ สาเหตุมาจากคุณหนูและฮูหยินทั้งหลายมักมองมาด้วยแววตาเย้ยหยัน บ้างก็พูดจาเสียดสีว่านางเป็นสตรีร้ายกาจที่แย่งชิงบุรุษของพี่สาวตนเอง
เมื่อมองไปทางไหนก็เหมือนจะเจอแต่สายตาที่ส่งความหมายเป็นนัยว่า เจ้าอย่ามายุ่งกับข้า หรือ ข้าไม่อยากข้องเกี่ยวกับนางจิ้งจอกเช่นเจ้า อยู่เป็นนิจ นางจึงตั้งใจจะใช้ชีวิตอยู่หลังกำแพงจวนจวงเซียงป๋อ รอให้พายุลูกนี้ผ่านพ้นไปเงียบๆ
แต่งานฉลองวันเกิดของเจิ้นหนิงโหวในครั้งนี้ กัวรั่วชิงไม่อาจไม่มาได้ เพราะนางอยากพบหน้าเพื่อนสมัยเด็กอย่างเหยาหลิงเจิน ซึ่งอาจเป็นเพียงคนเดียวในแคว้นหานยามนี้ที่ยังอยากจะเสวนากับตนเองอยู่
กัวรั่วชิงกับเหยาหลิงเจินเกิดปีเดียวกัน อีกทั้งชิงผิงโหวบิดานางกับเจิ้นหนิงโหวบิดาเหยาหลิงเจินเป็นทั้งสหายและศิษย์ร่วมสำนักศึกษา พวกนางจึงไปมาหาสู่กันตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ด้วยซ้ำ
ทว่าเจ็ดปีก่อนเกิดเหตุไม่คาดฝัน เหยาหลิงเจินเกิดพลัดตกลงไปในสระน้ำกลางฤดูเหมันต์ แม้บ่าวจะลงไปช่วยไว้ได้ทัน แต่ดรุณีน้อยก็ถูกไอเย็นเล่นงานจนเป็นไข้สูง หมดสติสลบไสลอยู่บนเตียงกว่าสิบเอ็ดราตรี ครั้นพอตื่นขึ้นมา สติรับรู้ของนางกลับไม่เหมือนเดิม
กัวรั่วชิงจำได้ว่าตนเองนั่งร้องไห้อยู่ข้างเตียงเหยาหลิงเจินจนตาบวม เพราะไม่ว่าจะพูดกับเพื่อนรักเท่าไร อีกฝ่ายก็มองมาอย่างเหม่อลอยไม่ต่างจากตุ๊กตาไร้ชีวิต เพียงแต่ยังคงมีลมหายใจ กินได้ดื่มได้ก็เท่านั้น
หลังเกิดข่าวลือว่าบุตรตรีเพียงคนเดียวของเจิ้นหนิงโหวกลายเป็นคนเขลาแพร่สะพัดออกไป และต่อให้ท่านโหวพยายามอธิบายว่าร่างกายของบุตรสาวที่ป่วยหนักยังฟื้นฟูไม่เต็มที่เท่านั้น มิได้เสียสติวิปลาสตามเสียงเล่าอ้างทั้งหลาย แต่ผู้คนยังคงพูดปากต่อปากกันไม่หยุดหย่อนว่า คุณหนูจวนเจิ้นหนิงโหวสติไม่สมประกอบ
เมื่อต้องทนดูชื่อเสียงของบุตรสาวสุดที่รักค่อยๆ ถูกทำลาย ท่านโหวก็ตรอมใจอย่างหนักถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อในที่สุด
ครั้นความถึงพระกรรณฮ่องเต้ พระองค์ทรงเห็นพระทัยขุนนางภัคดีผู้นี้ยิ่งนัก ดังนั้นเพื่อให้บุตรสาวกับเจิ้นหนิงโหวได้พักฟื้นจากอาการป่วยในสถานที่ที่เหมาะสม และห่างไกลจากเสียงซุบซิบนินทาในเมืองหลวง พระองค์จึงมีราชโองการแต่งตั้งเจิ้นหนิงโหวไปเป็นเจ้าเมืองผิงเหยานับแต่นั้น
เวลาผ่านไปราวติดปีกบิน คนตระกูลเหยาจากเมืองหลวงไปถึงเจ็ดปี
หากหานอ๋องไม่ก่อเหตุความไม่สงบ จนต้องปลดและลดต่ำแหน่งขุนนางที่มีส่วนเกี่ยวข้องมากมาย ก็ไม่รู้ว่าคนสกุลเหยาทั้งตระกูลจะได้กลับมาเมืองหลวงอีกเมื่อไร เพราะถึงแม้ราชสำนักจะมิได้ขาดแคลนคนมีความสามารถ ทว่ากลับมีผู้ที่ฮ่องเต้สามารถไว้ใจได้เพียงหยิบมือ พระองค์จึงมีราชโองการให้ขุนนางตงชินอย่างเจิ้นหนิงโหวกลับมารับตำแหน่งสำคัญที่เมืองหลวง
ถึงตอนที่จากกันเหยาหลิงเจินจะยังป่วยหนัก แต่กัวรั่วชิงได้ข่าวว่ายามนี้อาการของนางดีขึ้นจนสามารถตอบโต้กับผู้อื่นได้คล่องแล้ว ด้วยเหตุนี้ยังจะมีเหตุผลอะไรที่ตนเองจะไม่มาพบเพื่อนเก่าเล่า
“เชิญฮูหยินซื่อจื่อจวงเซียงป๋อตามบ่าวมาทางนี้เจ้าค่ะ” เสียงเรียกไม่หนักไม่เบาของคนนำทางปลุกกัวรั่วชิงจากภวังค์ความคิด
“ถ้างานเลี้ยงเลิกแล้วเจ้าก็อย่ามัวพิรี้พิไรอยู่เล่า จงรีบออกมาอย่าให้ข้าต้องยืนคอย” โจวจื่อหมิงย้ำด้วยน้ำเสียงราบเรียบเย็นชา นัยน์ตาไร้ซึ่งความอบอุ่นอ่อนโยนที่สามีควรจะมีให้ภรรยาอย่างสิ้นเชิง
“เจ้าค่ะท่านพี่” กั่วรัวชิงตอบรับสั้นๆ
“หึ” โจวจื่อหมิงเค้นเสียงในลำคอ พลางเหลือบมองภรรยาของตนอย่างเย็นชา ในใจรู้สึกเพียงว่าท่าทางว่าง่ายอ่อนหวานเหล่านั้นเป็นเพียงการแสดงของนางจิ้งจอก เขาจะไม่มีทางหลงกลสตรีพรรค์นี้อีกเด็ดขาด
ใบหน้างามสะคราญยังคงสงบราบเรียบ คล้ายมิได้ใส่ใจ นางเพียงหันไปส่งสัญญานแก่หญิงนำทาง แล้วเดินตามไปยังบริเวณงานเลี้ยงรับรองสตรีซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งเท่านั้น
[1] เหมยเขียวม้าไม้ไผ่ หมายถึง บุรุษและสตรีที่เติบโตมาด้วยกัน หรือคู่หมายตั้งแต่วัยเยาว์
เมื่อแสงตะวันลับขอบฟ้า ยามราตรีมาเยือน บรรยากาศภายในจวนแม่ทัพพลันเงียบสงบลงกว่าปกติ มีเพียงแสงนวลตาจากโคมไฟกระดาษที่แขวนเรียงรายตามทางเดินเท่านั้นที่ขับไล่ความมืดมิดออกไปซูหมิ่นจูในชุดสีชมพูอ่อนถูกซูจิ่นนำมาส่งตรงทางเข้าเรือนใหญ่ของหวงเชียนเล่อ หัวใจของนางเต้นรัวด้วยความยินดีผสมกับความประหม่า นางยืนนิ่งอยู่หน้าประตูครู่หนึ่งพยายามปรับสีหน้าท่าทางไม่ให้ดูตื่นเต้นเกินไป ก่อนก้าวเท้าผ่านประตูบุปผาไปทางเดินปูด้วยหินขัดเรียบ ทอดยาวผ่านสวนเล็กๆ ที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่ทรงพลัง มีกอไผ่และต้นหลิวพริ้วไหวตามแรงลม บนทางเดินมีกลิ่นหอมของดอกไม้ป่าอ่อนๆ ลอยมาเป็นระยะ ยิ่งทำให้หัวใจของนางพองโตมากขึ้นไปอีกเมื่อเข้ามาภายในเรือนจะพบกับห้องโถงที่กว้างขวางและดูเคร่งครึม ผนังประดับด้วยภาพวาดพู่กันลายภูเขาและแม่น้ำ ไม่มีเครื่องตกแต่งที่หรูหราฟุ่มเฟือย แต่ทุกอย่างถูกจัดวางอย่างลงตัว โต๊ะไม้ขนาดพอเหมาะตั้งอยู่กลางห้อง มีอาหารจัดวางอยู่เพียงไม่กี่อย่าง แสดงให้เห็นถึงความเรียบง่ายสมเป็นเรือนของแม่ทัพที่โต๊ะนั้นเอง ซูหมิ่นจูเห็นร่างสูงใหญ่ของหวงเชียนเล่อนั่งร
ยามนี้ซูหมิ่นจูตระหนักแล้วว่ากัวรั่วชิงไม่ใช่พลับนิ่ม แต่เป็นสตรีจิตใจล้ำลึกและร้ายกาจดังข่าวลือที่ได้ฟังมาจริงๆ แต่การที่ตนเองโดนเล่นงานตั้งแต่ครั้งแรกเยี่ยงนี้จะบอกให้ท่านน้ารู้ไม่ได้ ยิ่งกับญาติผู้พี่ยิ่งไม่ได้อย่างเด็ดขาด“เรื่องวันนี้อย่าได้แพร่งพราย ถ้าข้ารู้ว่าผู้ใดปากมาก ข้าจะเล่นงานให้หนัก”“ขอรับคุณหนูซู” แม้เรื่องนี้จะน่านำไปเล่าต่อแค่ไหน แต่ทหารผู้คุ้มกันสองสามคนที่ตามมาก็จำต้องรับคำ เพราะไม่อยากซวยจากความปากสว่างซูหมิ่นจูกับซูจิ่นขึ้นรถม้ากลับจวนแม่ทัพทันที ความเงียบปกคลุมอยู่ภายในรถม้าได้ไม่นาน ซูหมิ่นจูที่ยังคับแค้นใจไม่หายพลันทุบกำปั้นลงบนที่นั่งอย่างแรง“ช่างน่ารังเกียจจริงๆ ทั้งที่ตัวเองเป็นแค่สตรีม่ายที่โดนบุรุษอื่นทอดทิ้งมาก่อน แต่กลับกล้าต่อปากต่อคำ ดูถูกเหยียดหยามคุณหนูในห้องหอที่ไร้เรื่องฉาวอย่างข้า” นางเอ่ยด้วยความโกรธ ใบหน้าบิดเบี้ยวไปด้วยความเกลียดชัง“คุณหนูใจเย็นๆ ก่อนนะเจ้าคะ” ซูจิ่นพยายามปลอบคุณหนูของตนเอง“ใจเย็นงั้นรึ พูดออกมาได้” ซู
ตั้งแต่เกิดมามีแค่ไม่กี่คนที่รังแกนางได้หนึ่งคือกัวจิ้งอี สองคือโจวจื่อหมิง แต่พวกเขาทั้งคู่ก็ถูกนางเล่นงานจนย่ำแย่ไปแล้วนับประสาอะไรกับคุณหนูปากกล้าตรงหน้า อย่างนางจะเป็นตัวอะไรได้“นี่เจ้าจะทำร้ายคนหรือ” จูหมิ่นจูไม่คิดว่าสตรีที่ดูนุ่มนิ่มในตอนแรก บัดนี้กำลังเดินย่างสามขุมเข้ามาด้วยแววตากลัว “ช่วยด้วย! นางจะทำร้ายข้า”“ไสหัวไป ร้านค้าของข้าไม่ต้อนรับพวกคนเถื่อน” พูดจบพนักงานหญิงตัวใหญ่สองคนออกมาจากทางด้านหลังร้าน “โยนพวกนางออกไป” กัวรั่วชิงสั่งน้ำเสียงเด็ดขาด“อย่าเข้ามานะ! ข้า...ข้าออกไปเองได้”“เชิญ” ใบหน้างดงามปานเทพธิดาปรากฏรอยยิ้ม ทว่าเป็นรอยยิ้มหยันที่ทำให้คนโมโหจนแทบดิ้นตาย “เจ้าก็รีบกลับบ้านนอกไปเสียเถอะ เมืองหลวงไม่เหมาะกับคนอย่างเจ้า”ซูหมิ่นจูตัวแข็งทื่อราวกับถูกสาป นางไม่คาดคิดว่าสตรีม่ายที่นางดูถูกจะกล้าโต้ตอบเช่นนี้ ใบหน้าสวยหวานของนางแดงก่ำด้วยความโกรธจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้ นางได้แต่กัดฟันกรอดๆ ด้วยความคับแค้นใจ แ
“ขออภัยด้วยที่คนของข้าเสียมารยาท” เสียงนุ่มนวลที่ดังมาจากประตูหลังทำให้ซูหมิ่นจูและซูจิ่นหันไปมอง ก็เห็นหญิงสาวผู้หนึ่งสวมชุดสีกลีบบัวกำลังยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้างดงามสงบนิ่ง ดวงตาที่ดูอ่อนโยนและรอยยิ้มจางๆ บนริมฝีปากชวนให้รู้สึกสบายตาสบายใจยิ่ง“เจ้าเป็นใคร” ซูจิ่นถามอย่างหยิ่งผยอง“ข้าคือเจ้าของร้านจื่อชิงแห่งนี้ นามว่ากัวรั่วชิง” น้ำเสียงของนางยังคงความอ่อนโยน แต่แฝงไว้ด้วยพลังไม่ได้อ่อนแอเลยแม้แต่น้อย“อ่อ เจ้าเองสินะ” ซูหมิ่นจูมองมาด้วยสายตาเย็นชา‘นางคือสตรีม่ายที่เป็นเจ้าของร้านแห่งนี้ กัวรั่วชิง งั้นเหรอ’ ซูหมิ่นจูเก็บความรู้สึกไม่ยินยอมไว้ภายในใจ นางไม่คาดคิดว่าคู่แข่งความรักของตนจะดูงดงามและสง่าดังดอกโบตั๋นเยี่ยงนี้ นางเดินเข้าไปหากัวรั่วชิงอย่างช้าๆ ราวกับนางพญาที่กำลังประเมินเหยื่อ“ข้าเคยได้กลิ่นหอมจากร้านใหญ่ๆ ในเมืองหลวงมาแล้ว” ซูหมิ่นจูเริ่มบทสนทนาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง “แต่กลิ่นของที่นี่ช่าง...ธรรมดาเส
หวงเชียนเล่อเดินนำนางไปตามทางเดินที่ปูด้วยหินสีเทาเข้มอย่างเป็นระเบียบ สองข้างทางมีต้นสนสูงใหญ่อายุหลายร้อยปีปลูกเรียงรายอย่างสง่างาม กำแพงสูงใหญ่ของเรือนพักรายล้อมไปด้วยพุ่มไม้ที่ถูกตัดแต่งอย่างประณีต บรรยากาศภายในจวนแม่ทัพแตกต่างจากภายนอกอย่างสิ้นเชิง ที่นี่ไม่มีเสียงอึกทึกของผู้คนในตลาด มีเพียงเสียงของสายลมที่พัดผ่านยอดไม้และเสียงฝีเท้าของทหารยามที่เดินตรวจตราเป็นระยะ ซูหมิ่นจูรู้สึกได้ถึงความสงบและอำนาจที่แฝงอยู่ในทุกย่างก้าว นางเดินตามพลางมองแผ่นหลังกว้าง หัวใจเต้นระรัวด้วยความรู้สึกที่ผสมผสานระหว่างความสุขที่ได้อยู่ใกล้ชิดเขาและความหวังในอนาคตที่นางเพิ่งจะวางแผนไว้เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปในเรือนพักรับรอง นางก็รู้สึกตกใจเมื่อเห็นห้องที่ถูกเตรียมไว้ มันถูกประดับประดาอย่างสวยงาม แต่ก็แฝงไปด้วยความรู้สึกอบอุ่น ดูก็รู้ว่าใส่ใจอย่างยิ่ง“พี่เชียนเล่อ ท่านเตรียมสิ่งนี้ให้ข้าหรือ” นางเอ่ยถามด้วยดวงหน้าแดงซ่าน“ใช่แล้ว เจ้าชอบหรือไม่เล่า”“ข้าชอบมากเจ้าค่ะ ขอบคุณท่านมากจริงๆ”“ไม่ต้องเกรงใจ เจ้า
หวงเชียนเล่ออ่านจบก็เก็บจดหมายเข้ากระเป๋าเสื้อ “เป็นอย่างไรบ้างขอรับ”“ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง” หวงเชียนเล่อกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ “ท่านแม่แค่จะส่งจูเอ๋อร์มาทำธุระที่เมืองหลวง”“ฮูหยินคงส่งนางมาสอดส่องว่าท่านใช้ชีวิตเหลวไหลอย่างไรที่นี่มากกว่า”หวงเชียนเล่อหัวเราะอย่างขบขัน “เจ้าพูดถูกแล้ว ท่านแม่ของข้าคงจะคิดเช่นนั้น”“แล้วท่านไม่กังวลหรือ” หูจวี๋ถามอย่างเป็นห่วงหวงเชียนเล่อส่ายหน้า “ข้าไม่กังวลหรอก จูเอ๋อร์เป็นคนน่ารัก นางคงไม่ทำอะไรที่ไม่ดีต่อข้าหรอก”หวงเชียนเล่อเอ็นดูซูหมิ่นจูเหมือนน้องสาวแท้ๆ ของตัวเอง ทั้งยังแอบคิดในใจว่า หากญาติผู้น้องได้พบกับกัวรั่วชิงและชื่นชอบในตัวนาง มารดาของเขาอาจจะยอมรับในตัวกัวรั่วชิงได้ง่ายขึ้น“เจ้าช่วยสั่งให้พ่อบ้านไปเตรียมเรือนพักรับรองให้ญาติผู้น้องของข้าที่กำลังจะมาเยี่ยม”“ขอรับ” หูจวี๋โค้งคำนับแล้วเดินไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันกลับมา “ท่านแม่ทัพ แล้ว