จางเหม่ยอวี้ วาดฝันว่านางจะได้ตบแต่งกับบัณฑิตสกุลกัว ไฉนสวรรค์จึงลงทัณฑ์นางให้ต้องแต่งเข้าตระกูลแม่ทัพชีวิตที่ควรมีความสุขสงบของนางจะมีความสุขไปได้อย่างไร
View Moreแคว้นสือจ้าว…
ดรุณีน้อยวัยแรกแย้มอายุราวสิบสี่ปี พยายามเดินฝ่าฝูงชนที่เบียดเสียดยัดเยียดเข้ามา ซึ่งในเวลานี้ผู้คนมากมายต่างมายืนมุงกันอย่างแออัด เพื่อเฝ้ารอการมาถึงของกองทัพจูเชว่ กองทัพที่มีความสำคัญไม่แพ้
ผู้มีอำนาจสูงสุดของแคว้นยามเมื่อเห็นขบวนแม่ทัพเคลื่อนใกล้เข้ามา เสียงโห่ร้องสรรเสริญของผู้คนมากมายก็ดังขึ้นพร้อมกัน สร้างความปลื้มปีติและขวัญกำลังใจให้แก่ทหารกล้าได้ไม่น้อย
ดูเอาเถอะ! ในครั้งนี้ท่านแม่ทัพเฉินสร้างความดีความชอบมากมาย ฝ่าบาทจะต้องประทานรางวัลใหญ่ให้เป็นแน่” ชายหนุ่มในกลุ่มชาวบ้านที่มายืนดูพูดขึ้น ก่อนที่อีกฝ่ายจะหันมาถามด้วยความสนใจ
“เจ้าคิดว่าอย่างนั้นหรือ”
“ก็แน่ล่ะสิ ทำคุณงามความดีเสียขนาดนี้แล้ว จะได้ของกำนัลเล็กๆ น่ะหรือ ไม่มีทางเป็นเช่นนั้นแน่ เจ้ารอดูต่อไปเถอะ”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังเซ็งแซ่ไปตลอดถนน บ้างก็มีการวางเดิมพันถึงรางวัลพระราชทานที่อีกฝ่ายจะได้รับ
แต่ก็มีข่าวเล่าลือกันไปทั่วว่า ราษฎรทั่วแคว้นล้วนชื่นชอบวีรบุรุษผู้กล้า ในขณะที่ฮ่องเต้กลับชื่นชอบขุนนางฝ่ายบุ๋นมากกว่าฝ่ายบู๊ ขนาดขอทานหรือเด็กน้อยยังรู้เรื่องนี้ จึงไม่แปลกที่เสียงวิพากษ์วิจารณ์จะขจรขจายไปทั่ว เมื่อกล่าวถึงประเด็นรางวัลตอบแทนที่เหล่ากองทัพผู้กำชัยจะได้รับ
“คราวนี้ไม่ใช่แค่ต้าน แต่บุกยึดสามเมืองจากแคว้นต้าโจวได้เลยต่างหาก” ชาวบ้านยังคงพูดถึงเรื่องนี้กันไม่หยุด ยิ่งมีคนเข้ามาเสริมแต่งเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยแล้วก็ทำให้การสนทนาเป็นไปอย่างครึกครื้น
หลายคนพยักหน้าเห็นด้วย โดยเฉพาะเมื่อกล่าวถึงคนที่พวกเขาให้ความสำคัญอย่างท่านแม่ทัพ
ตั้งแต่ครั้งแรกที่ผู้บัญชาการกองทัพจูเชว่ ของตระกูลเฉินรุ่นที่แปดปรากฏกายขึ้นทุกอย่างก็คล้ายว่าจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ว่ากันว่าตระกูลเฉินเฝ้าปราการแดนใต้มาเนิ่นนาน แต่ฝ่าบาทกลับไม่เคยตกรางวัลใหญ่เพื่อตอบแทนความจงรักภักดีให้เลยสักครั้ง มากสุดก็เป็นที่ดินห้าสิบหมู่ บ่าวไพร่ ตลอดจนหญิงงาม แต่ถึงกระนั้นก็ไม่สมกับผลงานที่ตระกูลเฉินได้ทุ่มเทแลกมาด้วยหยาดเหงื่อและการเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเลยแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ดี เรื่องนี้ถูกลือกันไปอย่างหนาหูว่า เหล่าผู้บัญชาการกองทัพของแคว้นสือจ้าวนั้นได้ดิบได้ดีถ้วนหน้า
ผู้บัญชาการกองทัพชิงหลงแดนตะวันออกครองบรรดาศักดิ์หนาน
ผู้บัญชาการกองทัพไป๋หู่แดนตะวันตกครองบรรดาศักดิ์หนานเหมือนแดนตะวันออก
ส่วนผู้บัญชาการกองทัพเสวียนอู๋แดนเหนือนั้น ยิ่งใหญ่เกรียงไกรกว่าเขตแดนใด เนื่องจากได้นั่งครองบรรดาศักดิ์จื่อ ซึ่งสูงกว่ากองทัพชิงหลงกับกองทัพไป๋หู่
ในขณะที่ผู้บัญชาการกองทัพจูเชว่กลับไร้ยศถาบรรดาศักดิ์ดูต่ำต้อยด้อยค่าในสายตาฝ่ายทหารจนแลดูน่าเวทนา จนไม่อาจคะเนได้ว่าน้ำหนักพระทัยของฝ่าบาทที่มีต่อกองทัพทั้งสี่นั้นแตกต่างกันถึงเพียงนี้ด้วยเหตุใด
ระหว่างที่ผู้คนมากมายต่างรายล้อม และไปร่วมแสดงความยินดีกับการกลับมาของเหล่ากองทัพ อีกด้านหนึ่งได้มีสองสาววัยแรกแย้มรีบเร่งเดินสวนผู้คนไปยังที่นัดหมายด้วยสีหน้ากระวนกระวาย
“คุณหนู! ระวังเจ้าค่ะ” สาวใช้คนสนิทที่เดินนำหน้าคอยกันผู้คนไม่ให้โดนตัวคุณหนูของนาง
“เร็วเข้าจื่อผิง ป่านนี้พี่เต๋อรอนานจนเบื่อแย่แล้ว” ฝ่ายผู้เป็นนายเอ่ยเร่งเร้าสาวใช้ด้วยความเร่งรีบ
“เจ้าค่ะ คุณหนู” สาวใช้นามว่าจื่อผิงรีบขานรับ พร้อมกับใช้สองมือแหวกกลุ่มคนออกอย่างยากลำบาก ตัวนางนั้นเล็กนิดเดียวแต่ก็ไม่คิดยอมแพ้ พยายามกวาดต้อนผู้คนให้เปิดทาง พร้อมทั้งหันมองคุณหนูโฉมงามเป็นระยะ แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่วายหน้านิ่วคิ้วขมวด
“พวกกองทัพจูเชว่นี่ก็กระไร ทำไมต้องเคลื่อนทัพกลับเมืองหลวงวันนี้ด้วยนะ”
“จื่อผิง อย่ามัวแต่บ่นอยู่เลย เรารีบไปเร็วเข้าเถอะ”
คุณหนูคนงามเอ่ยกับสาวใช้คนสนิท เพราะตอนนี้ล่วงเลยเวลานัดหมายมานานมากแล้ว นางสาวเท้าอย่างเร่งรีบ ในขณะที่จื่อผิงยังคงพร่ำบ่นไม่เลิก จนผู้เป็นนายเริ่มนึกรำคาญ
“พวกเขาจะมาเมื่อไรนั้นล้วนไม่เกี่ยวกับพวกเรา อีกทั้งยังเป็นถึงคนสำคัญของแคว้น พวกเราต่างหากที่ต้องหลบหลีก ฉะนั้นเลิกบ่นแล้วรีบไปเถอะ ข้าไม่อยากให้พี่เต๋อรอนานไปมากกว่านี้”
เมื่อได้ฟังคำพูดของผู้เป็นนาย จื่อผิงก็ได้แต่นิ่งเงียบ เพราะนางเผลอทำเรื่องที่ไม่ควรเข้าเสียแล้ว อีกทั้งสาเหตุที่ทำให้คุณหนูของนางไปตามเวลานัดหมายกับบุรุษที่คบหาดูใจล่าช้า ก็เป็นเพราะคุณหนูใหญ่คอยหาเรื่องกลั่นแกล้ง ไม่ยอมให้คุณหนูของนางออกมาพบกับคุณชายกัว
คอยดูเถอะ! กลับไปเมื่อไร นางจะเอาเรื่องนี้ไปฟ้องฮูหยินผู้เฒ่า
‘เหอะ! พูดไปก็น่าอายยิ่งนัก คุณหนูใหญ่หมายตาคนรักของน้องสาวตัวเอง หากมีใครล่วงรู้เข้าไม่รู้ว่าตระกูลจางจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน’
ประโยคเหล่านี้จื่อผิงได้แต่นึกคิดในใจ ถึงอย่างไรนางก็เป็นเพียงบ่าวไพร่ การนินทาเจ้านายถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
หญิงสาวรูปร่างบอบบางสวมชุดกระโปรงผ้าโปร่งแขนกว้างสีชมพูหวาน ทว่าช่างน่าเสียดายนัก ที่ไม่เคยมีผู้ใดเคยได้ยลความงดงามบนดวงหน้าที่ซุกซ่อนไว้ภายใต้หมวกสานที่ถูกคลุมไว้อย่างมิดชิด
“เป็นอะไรไปจื่อผิง ทำไมต้องทำสีหน้าเหมือนคนไม่สบอารมณ์เช่นนั้นด้วย”
“ปะ...เปล่าเจ้าค่ะ บ่าวเพียงแค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้นเอง”
จื่อผิงหัวเราะแห้ง ๆ พลางสาวเท้าเดินแหวกผู้คนเพื่อหาทางออก ปากก็ร้องขอทางไปเรื่อย
“พี่ชาย ช่วยหลีกทางให้คุณหนูของข้าหน่อยได้หรือไม่”
จื่อผิงไม่กล้าบอกว่าตนเองกำลังแอบนินทาคุณหนูใหญ่อยู่ในใจ นางยอมรับว่ารู้สึกไม่พอใจที่คุณหนูใหญ่ชอบเข้ามาหาเรื่องคุณหนูรองอยู่เป็นประจำ
คุณหนูใหญ่เป็นบุตรสาวที่เกิดจากอนุภรรยา นางเป็นคนมีนิสัยเย่อหยิ่งจองหองและชอบทำตัวสูงส่ง ประหนึ่งว่าตนเองเป็นหญิงงามที่มีความงามหาใดเปรียบ ชนิดที่ว่าหากเป็นเซียนสาวมาแข่งขันก็อาจแพ้พ่ายไป
แต่ก็น่าแปลกที่สตรีที่หลงตัวเองเป็นที่หนึ่งเช่นนั้น ยังมีแก่ใจมาอิจฉาริษยาน้องสาวต่างมารดาของตนจนออกนอกหน้า ทว่ามารดาก็ช่างเปรียบเสมือนไม้หลักปักบนโคลนตมเสียจริง เพราะนอกจากจะไม่คิดสั่งสอนตักเตือนบุตรสาว ซ้ำร้ายยังช่วยกันหาเรื่องข่มเหงรังแกคุณหนูของนางอยู่เนือง ๆ
ช่างเป็นคู่แม่ลูกที่น่ารังเกียจยิ่งนัก!
“คุณหนูของเจ้า…หมายถึงคุณหนูรองสกุลจางอย่างนั้นรึ!”
เสียงบุรุษหนุ่มในอาภรณ์ผ้าเนื้อหยาบดังขึ้น ใบหน้าของเขาฉายแววฉงน เนื่องจากเขาคุ้นหน้าของสาวใช้นางนี้ เนื่องจากนางมักมาเดินซื้อข้าวของแถวนี้บ่อยๆ และทุกครั้งที่มาก็มักจะมาพร้อมกับรถม้าของสกุลจาง
“ถูกแล้ว! คุณหนูรองของข้ากำลังจะไปเหลาอวิ๋นเซียน” จื่อผิงใช้ร่างกายของตนบดบังคุณหนูรอง ด้านหน้ามีผู้คนมากเกินกว่าที่แรงของนางจะฝ่าไปได้จึงขอใช้วิธีลัด บอกกล่าวศักดิ์ฐานะของผู้เป็นนายเพื่อให้คนที่
ได้ยินช่วยเปิดทาง“ใช่ที่นัดหมายกับคุณชายกัวหรือไม่?” ชายหนุ่มผู้นั้นชะโงกหน้าเข้ามาถามด้วยความสงสัย ดวงตาทอประกายระยิบระยับ สีหน้าอยากรู้อยากเห็นเป็นที่สุด เขามองจื่อผิงสลับกับหญิงสาวที่สวมหมวกสานปิดบังใบหน้าจนมิดชิด ในใจนึกชื่นชมอยู่ไม่น้อย
‘คู่หยกงามแห่งเมืองหลวง’
ใครบ้างไม่รู้จักคู่รักที่โด่งดังไปทั่วใต้หล้า หนึ่งคือบุรุษสกุลกัวนามว่ากัวจิ้นเต๋อ ว่าที่บัณฑิตหนุ่มอนาคตไกล ซึ่งกำลังเตรียมตัวสอบเค่อจู่ปลายปีนี้ สามอันดับสำคัญ จอหงวน ปั๋งเหยียน ทั่นฮวา มาตรว่าต้องมีนามของเขาติดหนึ่งในสามอันดับนั้นแน่นอน
อีกหนึ่งคือหญิงงามสกุลจาง นามว่าจางเหม่ยอวี้ ดรุณีผู้เพียบพร้อมและโดดเด่นในศิลปะทั้งสี่ กาพย์ กลอน เดินหมาก วาดภาพ งานเรือนคล่องแคล่ว จรรยามารยาทล้วนดีเลิศ
ตอนที่2.2 ผู้บัชชาการทัพจูเซว่เมื่อขบวนแม่ทัพเดินทางมาถึง พวกเขามุ่งหน้าสู่ท้องพระโรง คุกเข่ากล่าวสรรเสริญฮ่องเต้ ท่ามกลางสายตาขุนนางที่ทอดมองมาด้วยความรู้สึกหลากหลายฝ่ายพลเรือนเหยียดหยามต่างดูหมิ่นกันว่า ‘ทหารพวกนี้ ดีแต่ใช้กำลังไม่มีมันสมอง’ ขุนนางสังกัดฝ่ายพลเรือนหยิ่งผยองและจองหองพองขนนัก กดข่มฝ่ายทหารว่าโง่เขลาเบาปัญญา มองแม่ทัพเฉินราวกับเป็นสุนัขบ้าข้างทางที่มีประโยชน์ไว้กัดผู้รุกรานเท่านั้นบ้างก็เบะปากรังเกียจ บ้างก็แค่นเสียงหยัน คลี่ยิ้มแดกดัน หรือแม้กระทั่งไหวไหล่อย่างไม่สนถึงความดีความชอบตรงกันข้ามกับฝ่ายทหาร ขุนนางสวมชุดแดงปักลวดลายพยัคฆ์กลางแผ่นหลังทั้งหลาย ดวงตาลุกวาวราวเปลวเพลิง จิตใจสั่นสะท้านดั่งถูกสายฟ้าฟาดส่วนใหญ่ริษยา ส่วนน้อยศรัทธา นั่นก็เพราะบุรุษหนุ่มที่คุกเข่าเบื้องหน้า นับเป็นอัจฉริยบุคคลที่ร้อยปีจะมีสักคน เฉินชิงซงถือเป็นคนฉลาดหลักแหลม อีกทั้งยังมีความเก่งกล้า วาจาคมคาย เป็นคนเคร่งครัดในกฎและระเบียบวินัย ทั้งยังมีไหวพริบปฏิภาณดีเลิศอย่างมิอาจหาจุดด้อยพบคิดดูเอาเถิด เหล่าองค์ชายของฮ่องเต้ยังไม่อาจเทียบเคียงแม่ทัพหนุ่มแห่งสกุลเฉินได้แม้เพียงเสี้ยวขุนนางฝ
ตอนที่2.1ผู้บัญชาการทัพจูเชว่แม่ทัพเฉินชิงซงทอดสายตามองชาวเมืองที่ยืนสรรเสริญตนเองตลอดเส้นทาง สายตากวาดมองไปตามบ้านเรือนที่อยู่รายรอบด้วยใบหน้าสง่างามสงบนิ่ง จนคาดเดาอารมณ์ไม่ออก ดวงตาดุจดวงดาวยามเหมันต์เป็นประกายวาววับ แยกแยะไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไรท่าทางดุดันน่ายำเกรงนั่น ชวนให้ผู้คนเสียวสันหลังวาบยามเข้าใกล้ ทำเหมือนโลกทั้งใบมีเขากับม้าศึกคู่กายเพียงหนึ่ง นอกนั้นล้วนเป็นธาตุอากาศหมดสิ้น ไม่มีผู้ใดรู้ว่าแม่ทัพหนุ่มปลื้มปีติกับการต้อนรับของชาวเมืองหรือไม่หรือว่าในใจเขากำลังหมกมุ่นครุ่นคิดเรื่องใดอยู่ ล้วนคาดเดาไม่ออก ดูท่าหากภูเขาไท่ซานถล่มลงตรงหน้า ท่าทีของเขาก็น่าจะยังคงเฉยชาไม่เปลี่ยน“ท่านแม่ทัพ...จุดประสงค์ที่ฝ่าบาทเรียกท่านเข้าวังครั้งนี้คือสิ่งใด ท่านพอคาดเดาได้หรือไม่ขอรับ” เผิงเสียนจือหรือรองผู้บัญชาการกองทัพเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดแม้จะมีใบหน้าประดับรอยยิ้มสดใสแจกจ่ายแก่ชาวเมือง ทว่าแววตาดำลึกล้ำกลับแฝงโทสะ แสดงให้รู้ว่ากองทัพจูเชว่มิได้เต็มใจที่จะเคลื่อนพลเข้าเมืองหลวงแม้แต่น้อยกองทัพจูเชว่คุ้มครองทิศใต้ โดยมีตระกูลเฉินดำรงตำแหน่งแม่ทัพคอยบัญชาการ บุรุษสกุลเฉินล้
ตอนที่1.2 คุณหนูรองสุลจางจางเหม่ยอวี้ หรือคุณหนูรอง บุตรีของขุนนางตำแหน่งรองเจ้ากรมพิธีการ ถือกำเนิดจากฮูหยินสามแห่งสกุลตู้ ตอนเป็นเด็กน้อยนางช่างอาภัพน่าสงสาร เมื่ออายุย่างเข้าห้าหนาวมารดาก็สิ้นใจตาย ทิ้งเด็กน้อยไว้กับความเปล่าเปลี่ยวเดียวดายตระกูลจางทำได้เพียงปล่อยข่าวการตายของฮูหยินสามออกไปว่าจากไปเพราะโรคประหลาดที่ยากรักษา ทั้งที่คนในจวนต่างก็ทราบดีว่ามีผู้ประสงค์ร้าย คิดสกปรกลอบวางยาในน้ำชาของนาง ทว่ายังจับมือใครดมไม่ได้ จนตอนนี้ผู้ร้ายก็ลอยนวลไปถึงเก้าปีแล้วอันที่จริงยามไร้มารดาอุ้มชูดูแล คุณหนูรองจะต้องถูกโยกย้ายเข้าไปอยู่ภายใต้ความดูแลและสั่งสอนของฮูหยินใหญ่ ทว่าด้วยชะตาฟ้ากำหนดหรือพระโพธิสัตว์เล็งเห็นแล้วเวทนาก็มิอาจทราบได้ จึงดลจิตดลใจให้ฮูหยินผู้เฒ่าต้องตาเด็กหญิงตัวน้อยอวบอ้วน จนถึงขั้นรับจางเหม่ยอวี้มาเลี้ยงดูด้วยตนเองรองเจ้ากรมพิธีการที่เห็นพ้อง และอยากเอาใจมารดาตัดสินใจอุ้มเด็กน้อยไปส่งถึงเรือนท้ายจวน แบบชนิดที่ไม่หันมามองสีหน้าบูดบึ้งของฮูหยินใหญ่สักนิดเดียวหลังจากฮูหยินใหญ่ให้กำเนิดบุตรชาย ร่างกายของนางก็เริ่มอ่อนแอ จนไม่อาจตั้งครรภ์ได้อีก ทำให้ที่คิดอยากมีบุตรสา
ตอนที่1.1 คุณหนูรองสกุลจางแคว้นสือจ้าว…ดรุณีน้อยวัยแรกแย้มอายุราวสิบสี่ปี พยายามเดินฝ่าฝูงชนที่เบียดเสียดยัดเยียดเข้ามา ซึ่งในเวลานี้ผู้คนมากมายต่างมายืนมุงกันอย่างแออัด เพื่อเฝ้ารอการมาถึงของกองทัพจูเชว่ กองทัพที่มีความสำคัญไม่แพ้ผู้มีอำนาจสูงสุดของแคว้นยามเมื่อเห็นขบวนแม่ทัพเคลื่อนใกล้เข้ามา เสียงโห่ร้องสรรเสริญของผู้คนมากมายก็ดังขึ้นพร้อมกัน สร้างความปลื้มปีติและขวัญกำลังใจให้แก่ทหารกล้าได้ไม่น้อยดูเอาเถอะ! ในครั้งนี้ท่านแม่ทัพเฉินสร้างความดีความชอบมากมาย ฝ่าบาทจะต้องประทานรางวัลใหญ่ให้เป็นแน่” ชายหนุ่มในกลุ่มชาวบ้านที่มายืนดูพูดขึ้น ก่อนที่อีกฝ่ายจะหันมาถามด้วยความสนใจ“เจ้าคิดว่าอย่างนั้นหรือ”“ก็แน่ล่ะสิ ทำคุณงามความดีเสียขนาดนี้แล้ว จะได้ของกำนัลเล็กๆ น่ะหรือ ไม่มีทางเป็นเช่นนั้นแน่ เจ้ารอดูต่อไปเถอะ”เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังเซ็งแซ่ไปตลอดถนน บ้างก็มีการวางเดิมพันถึงรางวัลพระราชทานที่อีกฝ่ายจะได้รับแต่ก็มีข่าวเล่าลือกันไปทั่วว่า ราษฎรทั่วแคว้นล้วนชื่นชอบวีรบุรุษผู้กล้า ในขณะที่ฮ่องเต้กลับชื่นชอบขุนนางฝ่ายบุ๋นมากกว่าฝ่ายบู๊ ขนาดขอทานหรือเด็กน้อยยังรู้เรื่องนี้ จึงไม่แปลกที่เส
Comments