ปกติหวงเชียนเล่อเป็นคนเดินเร็วยิ่งกว่าอะไรดี แต่ในครั้งนี้เขากลับทอดน่องสบายๆ กว่าจะวกกลับมาถึงจุดเกิดเหตุอีกครั้ง ก็เล่นเอากัวจิ้งอีกับโจวจื่อหมิงรอจนขาแทบแข็งเลยทีเดียว
ครั้นทั้งสองมาถึง หวงเชียนเล่อมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวลของกัวจิ้งอีกับโจวจื่อหมิง ถึงใจจะรู้สึกชิงชังคนประเภทนี้เยี่ยงไร แต่ดวงหน้าคมเข้มกลับฉาบไว้ด้วยรอยยิ้มบาง
“ดีที่ซื่อจื่อช่วยคุณหนูใหญ่สกุลกัวเอาไว้ก่อน เพราะต่อให้ข้ามีใจ แต่ก็คงไม่สามารถช่วยคนได้พร้อมกันถึงสองคน อย่างไรเสียนี่ก็เป็นเรื่องสุดวิสัย หวังว่าเจ้าจะไม่ถือสาที่ข้าถูกเนื้อต้องตัวฮูหยินของเจ้าใช่หรือไหม”
เดิมทีหากไม่มีพยานรู้เห็น ต่อให้กัวรั่วชิงตกน้ำไป เขากับกัวจิ้งอีย่อมทำให้คนเชื่อได้ว่านี่เป็นเพียงอุบัติเหตุ แต่พอมีหวงเชียนเล่อเข้ามาเกี่ยวข้อง เขาคงยากจะพ้นข้อหาทำร้ายคน และคนผู้นั้นก็มิใช่ใครอื่น แต่เป็นภรรยาเอกที่กราบไหว้ฟ้าดินอย่างถูกต้อง ต่อให้ชาวบ้านจะเห็นใจเรื่องเขากับกัวจิ้งอี ทว่าการทำร้ายภรรยาเพื่อสตรีอื่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนจะยอมรับได้ เมื่อครู่เขาหวาดหวั่นแทบตาย ว่าจะอธิบายอย่างไรให้หวงเชียนเล่อเชื่อว่าตนไม่ได้ตั้งใจลงไม้ลงมือกับสตรีน่าชังผู้นั้นแท้ๆ
‘กัวรั่วชิง ดูเหมือนเจ้าคงอยากทำตัวเป็นคนดีเพื่อให้ข้าไม่เอาความที่เจ้าทำร้ายอีอีสินะ เลยโป้ปดแม่ทัพฉีหลิงว่าเมื่อครู่เป็นเพียงเหตุสุดวิสัย ก็ดีเหมือนกัน เจ้าไม่ต้องถูกข้าเอาความ ส่วนข้าก็รอดพ้นข้อครหาจากแม่ทัพ นับว่าได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย เช่นนั้นก็แล้วไป’
ครั้นตกลงใจได้โจวจื่อหมิงก็ยิ้มกล่าว “ท่านแม่ทัพอุตส่าห์ช่วยเหลือฮูหยินของข้าไว้ แล้วผู้อื่นจะถือสาท่านด้วยเรื่องธรรมเนียมหยุมหยิมนั้นได้อย่างไร”
“ดี ดีมาก ชื่อจื่อจวงเซียงป๋อช่างเป็นบุรุษมากด้วยคุณธรรมเสียจริง”
“ขะ...ข้าก็แค่คิดไปตามหลักของเหตุผล” คำชมที่ไม่เหมือนคำชมเมื่อครู่ทำเอาเขากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“เช่นนั้น ข้าหวังว่าทุกอย่างจะจบลงที่ตรงนี้ ไม่มีการพูดถึงอีก เพราะข้าคงจะอารมณ์เสียไม่น้อยถ้าหากมีคนเล่าลือว่า แม่ทัพฉีหลิงแตะต้องสตรีของผู้อื่น เวลานั้นข้าคงไม่ยอมปล่อยให้ชื่อเสียงมัวมองแต่ผู้เดียวแน่ พวกเจ้าคงเข้าใจที่ข้าพูด ใช่หรือไม่”
“ข้าขอรับรองว่าเรื่องเช่นนี้จะไม่มีทางแพร่งพรายออกไปแน่นอน” โจวจื่อหมิงรับคำเป็นหมั่นเป็นเหมาะ
กัวจิ้งอีเดินกระมิดกระเมี้ยนเข้ามาแล้วยอบกายคำนับหวงเชียนเล่อ “ขอบคุณท่านแม่ทัพที่ช่วยเหลือน้องหญิงสามเอาไว้”
“ไม่เป็นไร ต่อไปพวกเจ้าควรระมัดระวังมากกว่านี้ อย่าได้หยอกล้อกันตรงริมตลิ่งอีก” พูดจบเขาก็หันหน้าไปหาโจวจื่อหมิง “ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัว เจ้าเองก็ควรรีบกลับเข้างานเลี้ยงไปได้แล้ว”
“เช่นนั้นเราก็ไปด้วยกันเถิด” หวงเชียนเล่อหมุนกายเดินนำ ส่วนโจวจื่อหมิงก็ต้องติดตามไปอย่างช่วยไม่ได้
กัวรั่วชิงไม่เสียเวลามองส่งผู้มีพระคุณกับสามี นางรีบหมุนกายหมายเดินไปยังเส้นทางที่เห็นเหยาหลิงจือลับหายไป
“นั่นเจ้าจะไปที่ใด” กัวจิ้งอีร้องถาม ทำท่าทางลุกลี้ลุกลน
กัวรั่วชิวเห็นท่าทางกัวจิ้งอีเหมือนไม่อยากให้ตนเองไปทางนั้น ก็นึกเอะใจขึ้นมา หรือว่าที่พี่สาวเข้ามาหาเรื่องนางตอนแรกยังมีสาเหตุอื่น
“น้องสาวจะไปพบคนที่อยากพบน่ะสิ”
“คนที่อยากพบ?”
“ข้าคงต้องไปแล้ว หาไม่คงต้องคลาดกับคนผู้นั้น หากครานี้ไม่ได้พบกันเกรงว่าอาจจะไม่มีโอกาสนั้นอีกในเร็ววัน พี่สาวได้โปรดหลีกทาง อย่าได้รั้งข้าไว้อีกเลย”
“คนผู้นั้น คนผู้ไหน เจ้านัดแนะกับผู้ใดไว้ ตอบข้ามาเดี่ยวนี้นะ”
“ขออภัย น้องสาวมิอาจบอกได้จริงๆ” คำพูดยั่วยุได้ผล ให้ยามนี้กัวจิ้งอีโกรธจนตัวสั่น ถึงกับเดินเข้ามาแล้วชี้หน้านาง
“กัวรั่วชิง เจ้าคิดจะทำสิ่งใด ยังฉาวโฉ่ไม่พอหรอกรึ หากไม่นึกถึงศักดิ์ศรีของสามี ก็หัดคำนึงถึงหน้าบิดามารดาบ้าง”
“ว่าแต่ข้า แล้วพี่สาวเล่า ไม่ใช่มาอยู่ที่นี่เพราะนัดพบผู้ใดเอาไว้หรือกหรือ อย่าบอกนะว่าเป็น...คนผู้เดียวกับข้า”
“นังแพทศยากัวรั่วชิง! เจ้าช่างไร้ยางอาย นัดพบผู้ชายในที่ลับตา”
“ที่แท้พี่หญิงใหญ่ผู้แสนดีงามของข้านัดพบผู้ชายเอาไว้หรอกรึ เช่นนั้นคงไม่ใช่ผู้เดียวกับคนที่ข้าต้องการพบดอก เพราะผู้ที่ข้าตามหาอยู่คือคุณหนูเล็กสกุลเหยาต่างหาก” รอยยิ้มบางเบาประดับที่มุมปาก เนตรหงส์หลี่ลงคล้ายจะมองทะลุกัวจิ้งอีให้เป็นพรุน
“กัวรั่วชิงเจ้าหลอกข้า”
“น้องสาวไม่ได้ทำอันใดท่านเสียหน่อย ว่าแต่พี่สาวเถิดทิ้งความสุขุมไว้ที่ใด ดีที่ท่านเจอกับข้าไม่ใช่ผู้อื่น”
“นี่เจ้าเห็นอะไร!!!”
“พี่หญิงสบายใจเถิด ข้าไม่รู้ดอกว่าท่านจะกำลังจะปีนป่ายกิ่งสูงจากไม้ใหญ่ต้นไหน และข้าไม่คิดจะเข้าไปวุ่นวานกับเรื่องดีๆ ของท่าน เพราะถ้าเทียบกันระหว่างพี่หญิงใหญ่กับข้า ผู้ที่คำนึงถึงความเป็นพี่น้องมากกว่าก็คือข้า ท่านว่าไม่จริงรึ”
“นะ...นั่นเป็นความผิดพลาดของเจ้าเอง อย่ามาโทษข้า”
“สิ่งใดเป็นสิ่งใดพี่สาวย่อมรู้อยู่แก่ใจดี ในเมื่อตอนนี้ข้ายอมเดินไปตามเส้นทางที่ท่านแพ้วถางไว้ให้แล้ว ท่านก็ควรปล่อยข้าให้อยู่อย่างสงบได้แล้วมิใช่หรือไร เอาเป็นว่าเรื่องวันนี้ข้าไม่พูด ท่านไม่พูด เราต่างคนต่างทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ แล้วรักษาสายใยความเป็นพี่น้องที่ยังหลงเหลือเอาไว้จะดีกว่า”
กัวจิ้งอีมองมาอย่างขุนเคือง เดิมกัวรั่วชิงเป็นคนอ่อนหวาน ว่านอนสอนง่าย นางชี้แนะอะไรไม่เคยขัดข้อง แต่กลับปฏิเสธหัวชนฝาตอนที่นางขอร้องให้ยอมรับการหมั่นหมายจากสกุลโจวแทนนาง นางจึงจำเป็นต้องลงมือผลักอีกฝ่ายไปให้โจวจื่อหมิงด้วยวิธีที่ไม่สง่างามนัก ในเมื่อกัวรั่วชิงทำตัวของตัวเอง แล้วจะมาโทษนางว่าใจร้ายได้อย่างไร
“เจ้าขู่ข้า?”
“มิได้ น้องสาวเพียงแค่เสนอให้พี่หญิงใหญ่พิจารณาก็เท่านั้น ยังไงข้าก็มีสายเลือดสกุลกัว ข้าย่อมนึกถึงหน้าของบิดามารดาและพี่สาวอย่างท่าน”
กัวจิ้งอีช่างใจอยู่ครู่หนึ่ง เรื่องนิสัยใจคอน้องสาวเป็นเช่นไรนางย่อมตระหนักดีกว่าผู้อื่น “เห็นแก่ความเป็นพี่น้องข้าจะเชื่อเจ้าสักครั้ง แต่ถ้าข้ารู้ว่าเจ้าปากมากละก็ เจ้าจะต้องเสียใจแน่”
“หากท่านไม่มีธุระอะไรแล้ว เช่นนั้นรั่วชิงขอไปตามหาสหายก่อน” พูดจบนางก็หันกายเดินเลี้ยวไปตามทางที่อยากไป ทิ้งกัวจิ้งอีที่ยังหายใจฟึดฟัดอย่างเคืองขุ่นไว้เบื้องหลัง
ภายในห้องหนังสือที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่สง่างามของจวนจวงเซียงป๋อ โจวจื่อหมิงกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม มือเรียวยาวที่ถือพู่กันนิ่งสนิท ดวงตาเหม่อลอยคล้ายกำลังครุ่นคิดถึงบางสิ่งบางอย่างที่รบกวนจิตใจเขามาตลอดทั้งวัน“ซื่อจื่อขอรับ” เสียงจากคนสนิทหน้าประตูทำให้เขากลับมาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง“มีอะไร”“คนขับรถม้าที่พาฮูหยินไปข้างนอกวันนี้ มาขอพบขอรับ”“ให้เขาเข้ามา” โจวจื่อหมิงตอบโดยไม่ลังเล เขารู้ดีว่าหากคนขับรถม้ามาหาถึงที่เช่นนี้ แสดงว่าต้องมีเรื่องสำคัญที่เขาต้องรับรู้พอเข้ามาด้านในคนขับรถม้าก็รีบโค้งคำนับอย่างนอบน้อม “คารวะซื่อจื่อขอรับ”“ไม่ต้องมัวโอ้เอ้ รีบรายงานมา”“ขอรับ” คนขับรถม้ารับคำ แล้วรีบเล่าทุกอย่างที่ตนเองเห็นในวันนี้ “ฮูหยินไปที่ร้านเครื่องหอมตามปกติ แต่แทนที่จะรีบกลับจวน นางกลับสั่งให้ข้าไปส่งที่ร้านหอชมจันทร์ ข้าเห็นกับตาว่าแม่ทัพฉีหลิง รอนางอยู่ที่นั่นขอรับ”ดวงตาของโจวจื่อหมิงเบิกกว้างด้วยความไม่พอใจ ความจริงเขาไม่เคยสนใจว่ากัวรั่วชิงจะไปที่ใด แต่เขาสนใจว่ายามนี้นางถึงกลับกล้าไปกับชายอื่นที่ไม่ใช่เขา“ฮูหยินกับแม่ทัพฉีหลิงดูเหมือนจะสน
ในขณะที่หวงเชียนเล่อออกไปข้างนอกอย่างเร่งรีบ กัวลี่ลี่สาวใช้คนสนิทที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็รีบเข้ามาปรนนิบัติรินน้ำชาให้เจ้านาย“ฮูหยิน ท่านก็จิบน้ำชาสักนิดนะเจ้าคะ เดี๋ยวท่านแม่ทัพก็คงจะกลับมาในไม่ช้า” กัวลี่ลี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนกัวรั่วพยักหน้าพลางรับถ้วยชามา แล้วหันไปมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างอย่างสบายอารมณ์ “ดูสิ ลี่ลี่ ทำเลที่ตั้งของที่นี่ช่างดียิ่ง มองเห็นลำธารและภูเขา ยามเย็นก็จะได้ชมพระอาทิตย์ตกดินอีกด้วย” “บ่าวก็ว่าสวยเจ้าค่ะ” กัวลี่ลี่ตอบรับในขณะแกะกางปลาใส่จานให้นายหญิงในขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น เสียงประตูห้องก็เปิดออกอีกครั้ง ทว่าผู้มากลับไม่ใช่หวงเชียนเล่อ แต่เป็นหวังหลิง เหมยซิน รวมถึงหลินซูก็เดินเข้ามา ใบหน้าของแต่ละคนเต็มไปด้วยความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด“หึ ไม่น่าเชื่อเลยว่าฮูหยินน้อยตระกูลโจวจะแอบนัดพบผู้ชายกลางวันแสกๆ” หวังหลิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างด้วยความดูแคลน “ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าใบหน้าหน้าจิ้งจอกของเจ้ามียางอายอยู่บ้างหรือไม่”กัวรั่วชิงวางถ้วยชาในมือลงอย่างแผ่วเบา แล้วหันมามองหญิงสาวตรงหน้าด้วยสีหน้าแววตาสงบนิ่ง ไร้ซึ่งความหวาดห
หลังจากที่พันธมิตรของหวงเชียนเล่อและกัวรั่วชิงก่อตัวขึ้นแล้ว เพียงสามวัน เขาก็ได้ส่งสาส์นเชิญนางมาพบที่ร้านอาหาร 'หอชมจันทร์' ซึ่งเป็นร้านที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวง ตัวร้านตั้งตระหง่านอยู่ริมแม่น้ำที่กว้างใหญ่ สายน้ำทอประกายระยิบระยับรับแสงอาทิตย์ยามบ่ายแก่ๆ มีเรือน้อยใหญ่ล่องผ่านไปมาอย่างเนิบช้า ริมสองฝั่งน้ำมีต้นหลิวที่ทอดกิ่งก้านพลิ้วไหวตามสายลม เป็นภาพทิวทัศน์อันงดงามที่ทำให้รู้สึกสงบใจอย่างยิ่งในยามเซิน[1]ของวัน กัวรั่วชิงพร้อมกัวลี่ลี่มาถึงหอชมจันทร์ตามนัดหมาย นางในชุดสีชมพูกลีบบัวอ่อนที่ตัดเย็บอย่างประณีต แต่ยังคงความเรียบง่ายสง่างาม รถม้าของนางเพิ่งจะหยุดลงที่หน้าประตูร้าน และเมื่อนางก้าวลงมา หวงเชียนเล่อในชุดผ้าไหมสีน้ำเงินเข้มที่ดูสุขุมสง่างามก็ยืนรอต้อนรับอยู่แล้ว เขาผายมือเชื้อเชิญนางให้เดินเข้าไปในร้านด้วยสีหน้าอ่อนโยนที่พวกคุณหนูไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้หวังหลิงและเพื่อนๆ ซึ่งกำลังนั่งดื่มน้ำชาอยู่บนโต๊ะริมหน้าต่างชั้นสองพากันกระซิบกระซาบด้วยความอิจฉาในความงามของนางและในท่าทางของเขา“สตรีผู้นั้นเป็นใครกัน” เหมยซินเอ่ยถามขึ้นและชี้ชวนให้สหายทั้งสองมอง “เหมือนว่านั่นจะเ
ในที่สุดก็มาถึงวันที่กัวรั่วชิงนัดกับแม่ทัพฉีหลิงไว้ที่ร้านเครื่องหอมของนาง ภายในร้านจื่อชิงถูกตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยความสง่า มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของสมุนไพรและดอกไม้อบอวลไปทั่ว เป็นสถานที่ที่เงียบสงบและเป็นส่วนตัวจนแทบไม่น่าเชื่อว่าตั้งอยู่ในย่านการค้าที่พลุกพล่านของเมืองหลวงกัวรั่วชิงในชุดสีฟ้าอ่อน ใบหน้าอันงดงามราวกับถูกสลักเสลามาอย่างประณีต ขนตางอนยาวทอดตัวเป็นเงาบนพวงแก้ม นางกำลังนั่งตรวจสมุดบัญชีอยู่ที่โต๊ะทำงานด้านหลัง ในขณะที่ลูกจ้างหญิงของร้านสองคนยืนจัดเครื่องหอมและเครื่องประทินผิวอยู่หน้าร้าน การที่นางเห็นตัวเลขในบัญชีมีแต่ผลกำไรทำให้ดวงตาหงส์ที่เคยหม่นหมองยามอยู่ในจวนของสามี บัดนี้กลับสุกใสมีประกายนางมีความสุขเสมอเมื่อได้มาตรวจตรากิจการ ที่นี่เปรียบเสมือนโลกส่วนตัว เป็นที่ที่นางสามารถเป็นตัวเองได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องสวมบทบาทภรรยาที่สามีคอยวางท่าห่างเหินเย็นชาให้ผู้อื่นนึกสงสารหรือหัวเราะเยาะนางเวลาที่เขามาหาเรื่องยามอู่[1]ของวันนั้น แม่ทัพฉีหลิงในชุดผ้าไหมสีเข้มที่ตัดเย็บอย่างประณีตก็มาถึงตามนัดหมาย ไม่มีการแห่แหนหรือผู้ติดตามใดๆ มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่เดินเข
ยามรุ่งสาง โจวจื่อหมิงตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกหงุดหงิดไม่สบายใจ ภาพของกัวรั่วชิงในศาลบรรพชนยังคงติดอยู่ในหัวของเขา การโต้ตอบที่แข็งกร้าวของนางเมื่อวานนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกท้าทายตลอดเวลา หลังจากจัดการธุระยามเช้าเสร็จ เขาก็เดินทอดน่องไปตามทางเดินอันเงียบสงบ มุ่งหน้าไปยังเรือนของกัวรั่วชิงอย่างไม่รู้ตัวเมื่อเดินมาถึงเรือนของนาง โจวจื่อหมิงไม่ได้ก้าวเข้าไปด้านใน เขาเดินไปยังทางเดินเชื่อมที่ทอดยาวเลียบสวน และเลือกที่จะหลบอยู่หลังเสาต้นใหญ่ ที่สามารถมองเห็นสวนด้านในได้อย่างชัดเจน ในใจนึกว่าตนเองจะได้เห็นภาพฮูหยินกำลังร้องไห้หรือเศร้าซึมอย่างที่ควรจะเป็นแต่ภาพที่โจวจื่อหมิงเห็นกลับทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกตบหน้าอย่างรุนแรง กัวรั่วชิงในชุดสีชมพูอ่อนที่ดูสดใส กำลังนั่งจิบชาอยู่บนศาลา นางมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า พร้อมกับเสียงหัวเราะที่ดังออกมาอย่างร่าเริงขณะพูดคุยกับสาวใช้ โจวจื่อหมิงมองเห็นภาพที่นางยื่นมือไปเด็ดดอกไม้ที่บานสะพรั่งอยู่ในสวนมาดมด้วยความเพลิดเพลิน ใบหน้าที่เคยบูดบึ้งของนางในความทรงจำของเขาถูกแทนที่ด้วยความสดใส และแววตาที่เคยหม่นหมองก็เต็มไปด้วยประกายแห่งความสุข“ฮูหยินเจ้า
โจวจื่อหมิงกำลังนั่งจิบชาและดูตำราพิชัยสงครามอยู่ในเรือนอย่างสงบ แต่แล้วประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างแรง หลิวซิ่วเหยาในชุดที่ดูยับยู่ยี่เล็กน้อยวิ่งเข้ามาพร้อมกับใบหน้าที่เปียกชื้นด้วยน้ำตา นางทำตัวน่าสงสารจนสาวใช้ที่ยืนอยู่หน้าห้องยังรู้สึกเห็นใจ“นายท่านเจ้าขา... ท่านต้องให้ความเป็นธรรมแก่ข้าด้วยนะเจ้าคะ” หลิวซิ่วเหยาเข้าไปเกาะแขนโจวจื่อหมิงไว้ด้วยความน่าสงสาร “ข้าแค่เป็นห่วงท่านที่ต้องเผชิญหน้ากับฮูหยินที่น่ากลัว... ข้าจึงไปเยี่ยมฮูหยินที่ศาลบรรพชน แต่กลับถูกดุด่าอย่างรุนแรง ทั้งฮูหยินและบ่าวรับใช้ของนางไม่ไว้หน้าข้าเลยเจ้าค่ะ”โจวจื่อหมิงขมวดคิ้วด้วยความรำคาญ เขาปัดมือของหลิวซิ่วเหยาออกอย่างไม่ใยดี “ไปร้องไห้ที่อื่นเถอะ ข้ากำลังดูตำราอยู่”หลิวซิ่วเหยาเบะปาก ทำท่าจะร้องไห้หนักกว่าเดิม “แต่ฮูหยิน... ฮูหยินถึงขั้นขู่จะลงโทษข้าเจ้าค่ะ ทั้งๆ ที่ข้าเป็นคนโปรดของท่าน”โจวจื่อหมิงที่ได้ยินดังนั้นดวงตาก็พลันเย็นชาลง เขาแสยะยิ้มอย่างเหี้ยมเกรียมในใจ 'ช่างกล้าดียิ่งนัก... เจ้ากำลังเรียกร้องความตายจากข้า' เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วมองหลิวซิ่วเหยาด้วยสายตาที่เย็นชา “เจ้ากลับไปรอที่เรือนของเจ้า