เมื่อครู่หวงเชียนเล่อพากั่วรั่วชิงทะยานมายังเกาะกลางสระ หากจะกลับไปที่เดิมพวกเขาต้องข้ามสะพานแล้วเดินอ้อมไปอีกทาง
หญิงสาวเยื้องย่างตามหลังแม่ทัพหนุ่มในระยะที่ไม่ห่างเหิน และไม่ใกล้ชิดจนเกินไป เพียงแค่พอให้สนทนากันได้เท่านั้น
ในระหว่างที่ข้ามสะพานนางมองไปยังจุดที่ตนเองเกือบจะพลัดตกลงสระ เห็นว่ายามนี้กัวจิ้งอีกับโจวจื่อหมิงก็ยังอยู่ตรงนั้น
แม้กัวรั่วชิงรู้อยู่แก่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็อดทอดถอนใจไม่ได้ เพราะตั้งแต่นางต้องแต่งให้โจวจื่อหมิงแทนกัวจิ้งอี ทำให้ไม่ว่าเกิดเหตุอันใดระหว่างตนกับชายหญิงคู่นั้นทุกคนล้วนพร้อมใจกันชี้หน้าแล้วตัดสินว่านางเป็นคนผิดเสมอ เพียงเพราะเห็นใจสงสารคู่เหมยเขียวม้าไม่ไผ่ที่ถูกสตรีร้ายกาจเช่นตนตัดวาสนา
“ไยเจ้าถอนหายใจเยี่ยงนั้นเล่า” แม้จะเพียงแผ่วเบา แต่ประสาทหูของผู้ฝึกวรยุทธย่อมไม่ธรรมดา
“ผู้น้อยไม่ต้องการให้เรื่องนี้ลุกลามใหญ่โต เพราะอย่างไรคู่กรณีก็เป็นพี่สาวแท้ๆ กับสามีของผู้น้อย”
“ไยพูดเยี่ยงนั้น ข้าไม่มีทางปล่อยคนผิดให้ลอยนวลไปได้แน่”
“ตั้งแต่แรกท่านแม่ทัพคิดจะมอบความเป็นธรรมให้ผู้น้อย?” ดวงตาหงส์พลันเบิกกว้าง ไม่แน่ใจว่าตนเองหูฟาดไปหรือไม่ นางไม่พบพานคนที่มีน้ำใจไมตรีเยี่ยงนี้มาสักพักแล้ว
“ย่อมแน่อยู่แล้ว ไม่ว่าเจ้ากับพี่สาวจะทะเลาะเบาะแว้งกันเรื่องใด โจวจื่อหมิงก็ไม่ควรกระทำรุนแรงถึงขั้นลงไม่ลงมือกับภรรยา หรือเจ้ากลัวว่าเขาจะได้รับโทษถึงได้ปริวิตก”
“มิใช่ แต่ยังไงผู้น้อยก็อยากปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปจริงๆ”
“ปล่อยผ่านรึ เหลวไหล! หากข้ามิได้มาพบเห็นเหตุการณ์ เจ้าคิดหรือไม่ว่าตัวเองจะตกอยู่ในสภาพเยี่ยงไร”
กัวจิ้งอีให้ซาบซึ้งใจ แต่ก็กล่าวตอบไปด้วยเหตุผลที่ตนยึดถืออยู่ในยามนี้ เพราะหากทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ ระยะเวลาที่นางต้องเก็บตัวเงียบหลังกำแพงจวนคงยืดยาวต่อไปอีก ทั้งหมดนี้นางคิดเพื่อตัวเอง ไม่ใช่อยากจะขอร้องแทนผู้อื่นเลย
“บางคราคนเราก็ต้องเป็นเสมือนต้นหญ้าเหนือกำแพง หากแข็งขืนยืนต้นราวไม้ใหญ่อยู่ร่ำไป รั้งแต่จะถูกพายุพัดพาจนโค่นลงในสักวัน”
“เจ้าจะยอมให้พวกนั้นรังแกเฉยๆ จริงหรือ”
“ขอบคุณท่านแม่ทัพที่อยากมอบความเป็นธรรมให้ แต่ผู้น้อยก็มีความลำบากใจของผู้น้อย” ต่อให้เขาตัดสินว่านางถูก แต่อย่างไรก็คงไม่พ้นต้องแบกหม้อดำ[1] ที่สองคนนั้นโยนมาให้อยู่ดี ไม่สู้ยอมถอยเพื่อจะได้รุกในวันหน้าดีกว่า
“นี่เจ้าต้องเจออะไรมาบ้าง ถึงได้ไม่เชื่อว่าข้าสามารถให้ความเป็นธรรมกับเจ้าได้”
“แต่ว่าสิ่งที่ผู้น้อยต้องการตอนนี้หาใช่ความเป็นธรรม ผู้น้อยเพียงต้องการที่จะอยู่เงียบๆ อย่างไร้เรื่องไร้ปัญหาต่อไปอีกสักพักต่างหาก”
ต่อให้งานนี้ทุกคนตัดสินว่านางเป็นคนถูก แต่ฝีมือการกลับขาวให้เป็นดำของกัวจิ้งอีก็ไม่อาจดูแคลนได้ ไหนจะเสี่ยงถูกโจวจื่อหมิงเกลียดชังหนักขึ้นกว่าเดิม หากเป็นเช่นนั้นนางคงอยู่ในจวนจวงเซียงป๋ออย่างสงบต่อไปมิได้แน่
“อีกสักพัก?”
“ถูกต้องแล้ว”
“นี่คือความลำบากใจของผู้น้อยที่เจ้าว่างั้นรึ”
กัวจิ้วอีพยักหน้า
“จะบอกว่าเจ้ามีความคิดของตัวเอง?” นัยน์ตาพยัคฆ์กวาดสำรวจดวงหน้างามพริ้มเพราเพื่อหาคำตอบ
หญิงสาวพยักหน้าเบาๆ อีกครั้ง นางไม่ต้องการทำตัวเป็นจุดสนใจใดๆ จนกว่าจะแน่ใจว่าควรจะเคลื่อนไหวต่อในรูปแบบใด
หวงเชียนเล่อรู้สึกวูบวาบในอกอย่างบอกไม่ถูก แต่ถึงกระนั้นก็เลือกที่จะไม่ถามต่อ เพราะพอจะคาดเดาได้แล้วว่า กั่วรั่วชิงมิได้เห็นโจวจื่อหมิงเป็นท้องฟ้าดังที่คนเป็นภรรยาควรจะเห็น
ถ้าอย่างนั้นเสียงเล่าลือว่าคุณหนูรองสกุลกัวเล่นเล่ห์จนได้ซื่อจื่อจวงเซียงป๋อมาครอง ดูเหมือนจะเชื่อถือมิได้เสียแล้ว
“ได้ ข้ารับปากว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่เจ้าต้องการ”
“ขอบคุณท่านแม่ทัพ บุญคุณในครั้งนี้ ข้ากัวรั่วชิงสลักไว้ในใจแล้ว”
“แต่ข้ายังมีข้อแม้อีกสามข้อ”
คิ้วเรียวเคลื่อนมาชนกัน กั่วรั่วชิงรู้สึกว่าตนเองพลาดท่าเสียแล้ว ก็อย่างว่า ใครเล่าจะช่วยผู้อื่นเปล่าๆ โดยไม่หวังสิ่งใด แต่เป็นเช่นนี้ก็ดี หากนางทำตามเงื่อนไขของเขาครบ ก็ถือว่าได้ตอบแทนบุญคุณ ไม่มีสิ่งใดติดค้างกันอีก
“หากข้อแม้นั้นไม่ใช่เรื่องขัดกับกฎหมายบ้านเมือง ผู้น้อยก็ยินดีรับปากเจ้าค่ะ”
หวงเชียนเล่อหัวเราะเบาๆ ให้กับความรอบคอบของโฉมงาม ดูท่าตอนนี้เขาคงจะกลายเป็นพวกว่านพืชหวังผลสำหรับนางไปแล้วกระมัง
“ได้ข่าวว่าเจ้าเปิดร้านเครื่องประทินผิวในเมืองด้วยมิใช่หรือ”
“เจ้าค่ะ แต่ก็แค่ร้านเล็กๆ เท่านั้น มิได้โด่งดังเช่นร้านของสกุลชุน”
“อีกสามวันให้หลัง ข้าจะไปรับเครื่องประทินผิวที่ดีที่สุดของร้านชุดหนึ่ง เพื่อนำไปมอบแด่เต๋อเฟย รบกวนฮูหยินเตรียมของเอาไว้ด้วย”
กัวรั่วชิงไม่ได้เขลาเสียจนไม่รู้ว่า หวงเชียนเล่อมิได้สนใจเครื่องประทินผิวของร้านนางจริงๆ หากแต่ข้อแม้ของเขาคงไม่สะดวกที่จะตกลงกันที่นี่มากกว่า
“เช่นนั้นยามอู่ในอีกสามวันให้หลัง เชิญท่านแม่ทัพมารับของที่ร้านจื่อชิง(หอมละมุน) ผู้น้อยจะเตรียมไว้รอ”
“ดี ตกลงตามนี้”
หลังจากพูดคุยกันเรียบร้อยทั้งสองพลันเยื่องย่างต่อไปโดยไร้บทสนทนา
[1] แบกหม้อดำ เป็นสำนวนหมายถึง ต้องแบกรับความผิด ความอยุติธรรม
กัวรั่วชิงจำได้ว่าทางสายนี้นำไปยังภูเขาจำลอง ซึ่งนางกับคุณหนูเล็กสกุลเหยาชอบมาเล่นซ่อนแอบกันบริเวณนี้เป็นประจำ ด้วยที่นี่มีความพิเศษกว่าภูเขาจำลองของที่อื่น ตรงที่ถูกจัดวางเอาไว้เสมือนกับวงกต หากใครไม่รู้ทางแล้วเผลอเดินเข้าไปก็จะหลงอยู่ในนั้นโชคดีที่นางจำทางได้ ไม่ว่าจะเจอคนหรือไม่ก็ไม่มีทางหลง และแล้วเมื่อนางไปตามเส้นทางคดเคี้ยวสักระยะ ก็พบสตรีงดงามในชุดกระโปรงหรูฉวินสีเขียวตัดกับสีกลีบบัวกำลังเพลิดเพลินอยู่กับการเก็บดอกไม้ที่ริมน้ำ“เหยาหลิงเจิน! เจินเจิน เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย” คนได้เจอสหายเก่าก้าวเท้าไวๆ ไปหาเหยาหลิงเจินด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความยินดี“จะ...เจินเจินงั้นเหรอ” ดวงตาดุจลูกวางสุกใสจดจองกัวรั่วชิงด้วยความไม่แน่ใจ “เจ้ารู้จักข้า?”“แน่นอนว่าต้องรู้จัก ข้าคือชิงชิงอย่างไรเล่า”“ชิงชิง?” เหยาหลิงเจินที่เหมือนจำอะไรไม่ได้พลันหันไปขอความช่วยเหลือจากคนสนิทข้างกายหลังจากกระซิบกระซาบกันอยู่ครู่หนึ่ง สาวใช้คนสนิทของเหยาหลิงเจินก็เดินหน้าขึ้นมากล่าวกับกัวจิ้งอี “คุณหนูของเราเพิ่งหายจากอาการป่วยได้ไม่นาน อาจจะยังมีอาการหลงลืมอยู่ ขอฮูหยินอย่าได้ถือสาเลยเจ้าค่ะ”“เจ้าจะบอกว่านางจ
ปกติหวงเชียนเล่อเป็นคนเดินเร็วยิ่งกว่าอะไรดี แต่ในครั้งนี้เขากลับทอดน่องสบายๆ กว่าจะวกกลับมาถึงจุดเกิดเหตุอีกครั้ง ก็เล่นเอากัวจิ้งอีกับโจวจื่อหมิงรอจนขาแทบแข็งเลยทีเดียวครั้นทั้งสองมาถึง หวงเชียนเล่อมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวลของกัวจิ้งอีกับโจวจื่อหมิง ถึงใจจะรู้สึกชิงชังคนประเภทนี้เยี่ยงไร แต่ดวงหน้าคมเข้มกลับฉาบไว้ด้วยรอยยิ้มบาง“ดีที่ซื่อจื่อช่วยคุณหนูใหญ่สกุลกัวเอาไว้ก่อน เพราะต่อให้ข้ามีใจ แต่ก็คงไม่สามารถช่วยคนได้พร้อมกันถึงสองคน อย่างไรเสียนี่ก็เป็นเรื่องสุดวิสัย หวังว่าเจ้าจะไม่ถือสาที่ข้าถูกเนื้อต้องตัวฮูหยินของเจ้าใช่หรือไหม”เดิมทีหากไม่มีพยานรู้เห็น ต่อให้กัวรั่วชิงตกน้ำไป เขากับกัวจิ้งอีย่อมทำให้คนเชื่อได้ว่านี่เป็นเพียงอุบัติเหตุ แต่พอมีหวงเชียนเล่อเข้ามาเกี่ยวข้อง เขาคงยากจะพ้นข้อหาทำร้ายคน และคนผู้นั้นก็มิใช่ใครอื่น แต่เป็นภรรยาเอกที่กราบไหว้ฟ้าดินอย่างถูกต้อง ต่อให้ชาวบ้านจะเห็นใจเรื่องเขากับกัวจิ้งอี ทว่าการทำร้ายภรรยาเพื่อสตรีอื่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนจะยอมรับได้ เมื่อครู่เขาหวาดหวั่นแทบตาย ว่าจะอธิบายอย่างไรให้หวงเชียนเล่อเชื่อว่าตนไม่ได้ตั้งใจลงไม้ลงมือกับ
เมื่อครู่หวงเชียนเล่อพากั่วรั่วชิงทะยานมายังเกาะกลางสระ หากจะกลับไปที่เดิมพวกเขาต้องข้ามสะพานแล้วเดินอ้อมไปอีกทางหญิงสาวเยื้องย่างตามหลังแม่ทัพหนุ่มในระยะที่ไม่ห่างเหิน และไม่ใกล้ชิดจนเกินไป เพียงแค่พอให้สนทนากันได้เท่านั้นในระหว่างที่ข้ามสะพานนางมองไปยังจุดที่ตนเองเกือบจะพลัดตกลงสระ เห็นว่ายามนี้กัวจิ้งอีกับโจวจื่อหมิงก็ยังอยู่ตรงนั้นแม้กัวรั่วชิงรู้อยู่แก่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็อดทอดถอนใจไม่ได้ เพราะตั้งแต่นางต้องแต่งให้โจวจื่อหมิงแทนกัวจิ้งอี ทำให้ไม่ว่าเกิดเหตุอันใดระหว่างตนกับชายหญิงคู่นั้นทุกคนล้วนพร้อมใจกันชี้หน้าแล้วตัดสินว่านางเป็นคนผิดเสมอ เพียงเพราะเห็นใจสงสารคู่เหมยเขียวม้าไม่ไผ่ที่ถูกสตรีร้ายกาจเช่นตนตัดวาสนา“ไยเจ้าถอนหายใจเยี่ยงนั้นเล่า” แม้จะเพียงแผ่วเบา แต่ประสาทหูของผู้ฝึกวรยุทธย่อมไม่ธรรมดา“ผู้น้อยไม่ต้องการให้เรื่องนี้ลุกลามใหญ่โต เพราะอย่างไรคู่กรณีก็เป็นพี่สาวแท้ๆ กับสามีของผู้น้อย”“ไยพูดเยี่ยงนั้น ข้าไม่มีทางปล่อยคนผิดให้ลอยนวลไปได้แน่”“ตั้งแต่แรกท่านแม่ทัพคิดจะมอบความเป็นธรรมให้ผู้น้อย?” ดวงตาหงส์พลันเบิกกว้าง ไม่แน่ใจว่าตนเองหูฟาดไปหรือไม่ นางไม่พบพานคนท
สองพี่น้องสกุลกัวพัวพันกันอยู่ริมตลิ่ง คนหนึ่งยื้อยุด คนหนึ่งพยายามดิ้นหนี แต่มองจากไกลๆ ประกอบกับเสียงกรีดร้องของกัวจิ้งอีที่หากใครเข้ามาเห็นเหตุการณ์ขณะนี้ย่อมต้องนึกว่ากัวรั่วชิงกำลังพยายามจะผลักพี่สาวตนเองลงสระบัวอยู่แน่นอน“กัวรั่วชิง! เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือไง หยุดเดี๋ยวนี้นะ” โจวจื่อหยวนพลันตวาดลั่น เขาไม่เห็นกัวจิ้งอีในงานเลยออกมาตามหาเผื่อว่าจะพบคนที่ใจคิดถึง กระทั่งเข้ามาพบเห็นเหตุการณ์นี้เข้าพอดี แต่ไม่ว่าจะร้องห้ามเท่าไรคนสองคนตรงหน้ายังไม่มีทีท่าว่าจะแยกจากกัน“พี่จื่อหยวน ช่วยข้าด้วย” กัวจิ้งอีส่งเสียงเรียกสามีของน้องสาวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว“ข้าบอกให้เจ้าปล่อยอีเอ๋อร์อย่างไรเล่า”โจวจื่อหยวนเห็นกัวจิ้งอีเป็นเช่นนั้น ก็ให้ปวดใจเหลือประมาณ และเพื่อจะช่วยเหลือสตรีในดวงใจจากนางจิ้งจอกอย่างกัวรั่วชิง เขาพุ่งกายออกไปราวลูกธนูที่หลุดออกจากแล่ง ชายหนุ่มคลั่งรักคว้าสตรีในดวงใจเข้าสู่อ้อมแขน พร้อมกับผลักคนที่ตนนึกรังเกียจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันไปทางสระบัวอย่างไม่ไยดีแทน“ว้าย!!!”กัวรั่วชิงไม่อาจต้านแรงผลักของโจวจื่อหยวนได้ นางพลันเสียหลักซวนเซ จนเหลืออีกเพียงก้าวเดียวก็
ฉินหวางเฟย เยี่ยนเยว่ฉีเดินนวยนาดเข้ามา ทุกคนเห็นเช่นนั้นก็พากันลุกขึ้นต้อนรับสตรีสูงศักดิ์ที่สุดผู้หนึ่งในแคว้นหานอย่างพร้อมเพรียง“พวกเรากำลังชื่นชมของขวัญที่เจิ้นหนิงโหวฮูหยินมอบให้ฮูหยินซื่อจื่อท่านนี้อยู่เพคะ” ถางซือเซียนซึ่งสนิทสนมกับชายาฉินอ๋องมากที่สุดตอบคำถามแทนทุกคน“ข้ากับท่านโหวกลับมาไม่ทันร่วมแสดงความยินดีกับบุตรสาวของสหาย วันนี้ได้พบหน้าจึงถือโอกาสมอบของขวัญให้เพคะ” ฮูหยินเจิ้นหนิงโหวอธิบายถึงที่มาของการมอบของขวัญให้กัวรั่วชิง“เป็นเช่นนี้เอง” เยี่ยนเยว่ฉีคลี่ยิ้มงดงามปานล่มเมือง พลางมองไปที่ข้อมือของกัวรั่วชิงแล้วพยักหน้าน้อยๆ “เจ้าเป็นคนรูปร่างหน้าตาอ่อนหวานหมดจด พอสวมหยกมันแพะไร้ตำหนิเยี่ยงนี้เข้าไป ยิ่งดูงดงามมากขึ้นจริงๆ”“ขอบพระทัยหวางเฟยที่ทรงชื่นชมเพคะ” กัวรั่วชิงกล่าวกับผู้สูงศักดิ์ที่สุดในที่นี้อย่างนอบน้อม“ไม่ต้องมากพิธี ข้าก็แค่พูดไปตามความจริงเท่านั้นแหละ” ว่าแล้วเยี่ยนเยว่ฉีก็เดินตรงไปยังที่นั่งของตนเอง ไม่ใส่ใจเรื่องนี้อีกพอเห็นเช่นนั้น จงกงโหวฮูหยินที่บรรลุเป้าหมายของตนเองแล้วจึงกล่าวว่า “ยามนี้ดอกไม้ที่จวนกำลังเบ่งบานหอมกรุ่น หากพวกเจ้ากินอาหารกันอิ่มแ
ตามหลักการเรื่องชายหญิงไม่อาจใกล้ชิด เวลาจัดงานเลี้ยงจึงต้องแยกส่วนรับรอง ถึงแม้จะต้องทำตามธรรมเนียม แต่หลายครั้งเจ้าของงงานเลี้ยงก็เพียงตั้งกระโจมห่างกันไม่ใกล้ไม่ไกลอย่างครานี้ เจิ้นหนิงโหวใช้คูน้ำทางเชื่อมภายในเป็นตัวแยกอาณาเขตระหว่างบุรุษและสตรี ทำให้หากมองไป ก็ยังคงเห็นความเคลือนไหวของฝั่งตรงข้ามได้อยู่เนืองๆหลังหญิงนำทางจากไปแล้ว กัวรั่วชิงเดินนำกัวลี่ลี่สาวใช้คนสนิทไปคารวะเจิ้นหนิงโหวฮูหยินเป็นอันดับแรกตามมารยาท แน่นอนว่านางพยายามไม่ให้ความสนใจกับสายตาของบรรดาฮูหยินจวนอื่นๆ ที่กำลังนั่งสนทนากันอยู่กับเจ้าบ้าน รวมไปถึงกัวจิ้งอีพี่สาวของนางด้วยครั้นเห็นน้องสาวก้มหน้าก้มตา ไม่แม้แต่จะมองหน้ากัน สีหน้าของกัวจิ้งอีพลันหม่นหมอง พาให้คนมองรู้สึกสงสารนางมากยิ่งขึ้น แล้วให้ตำหนิกัวรั่วชิงในใจแทนแต่นายหญิงของที่นี่กลับทักทายผู้มาใหม่อย่างเป็นมิตรยิ่ง“คุณหนูรองสกุลกัวนี่เอง” ผู้อาวุโสรับการคารวะด้วยรอยยิ้ม “ไม่เจอกันเสียหลายปี ตอนนี้กลายเป็นฮูหยินซื่อจื่อจวงเซียงป๋อไปแล้วใช่หรือไม่”“เจ้าค่ะ” กัวรั่วชิงตอบรับสั้นๆ ด้วยท่าทางสำรวม“เสียดายข้ากับท่านโหวกลับมาไม่ทันงานมงคลของเจ้า ไม่อย