Share

14. อาการป่วย

last update Last Updated: 2025-06-25 22:17:41

“พี่ใหญ่ส่งคนไปเรียกท่านหมอที พี่สามแย่แล้ว” เยว่ชิงรีบวิ่งเข้าไปช้อนตัวพี่ชายของนางขึ้นมา ใบหน้าซีดเผือดและเนื้อตัวเย็นเฉียบของลี่อินยิ่งทำให้เยว่ชิงรู้สึกหวั่นใจ

“น้องรองเจ้ารับท่านหมอไปที่เรือนที พี่จะพาน้องสามกลับเรือนเอง” เฉินกงรีบเข้าไปอุ้มน้องชายของตนขึ้นรถม้ากลับเรือนทันที เยว่ชิงที่กำลังตกใจพยายามเรียกสติตนเองกลับมา พร้อมกับเอ่ยขออภัยต่อลูกค้าในร้าน แล้วจึงได้ไหว้วานให้เผิงจงดูแลทางนี้ ส่วนตนเองนั้นรีบกลับไปดูอาการของพี่สามต่อที่เรือน

“บุตรชายข้าเป็นอย่างไรบ้างท่านหมอ” ลู่หวังเหล่ยเร่งกลับเรือนทันทีหลังจากที่บ่าวในเรือนไปแจ้งว่าบุตรชายของตนนั้นล้มป่วย

“หากตรวจดูจากอาการของคุณชาย อาจเกิดจากหยินหยางไม่สมดุลกัน แต่อย่างไรข้าจะต้องสอบถามอาการจากคุณชายหลังจากที่เขาตื่นอีกครั้ง” ทุกคนเฝ้ารอไม่นานลี่อินก็ได้สติขึ้นมา

“ลี่อิน! ลูกแม่ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” น้ำสีใสเคล้าคลอในหน่วยตาแดงก่ำของผู้เป็นมารดา ซูเมิ่งตกใจจนแทบสิ้นสติ เมื่อเห็นว่าเฉินกงอุ้มลี่อินเข้ามาในเรือน ดวงใจของมารดาปวดหนึบราวกับถูกบีบรัด

“ท่านแม่ ข้ามิเป็นอันใดขอรับ คงเพราะเมื่อคืนข้านอนไม่หลับจึงได้อ่อนเพลีย” ลี่อินคิดว่าตนเองคงเหนื่อยล้าเนื่องจากพักผ่อนไม่เพียงพอ จึงได้เอ่ยเช่นนั้นกับมารดาไป

“อย่างไรเจ้าให้ท่านหมอตรวจดูก่อนเถิด แม่เป็นห่วง”

“ขอรับท่านแม่” ลี่อินจำใจพยักหน้ารับ ทั้งที่ในใจเขามิอยากให้ท่านพ่อ ท่านแม่เสียเงินทองค่าจ้างท่านหมอ

“คุณชาย ช่วงนี้ท่านมีอาการหนาวสั่นบ้างหรือไม่”

“ขอรับ ข้ารู้สึกหนาวสั่นในตอนกลางคืน แต่ก็เป็นปกติมิใช่หรือ เพราะช่วงนี้เริ่มเข้าเหมันตฤดูแล้ว”

“เป็นปกติ หากท่านมิได้มีอาการใบหน้าซีด มือเท้าเย็น ลิ้นซีดมีฝ้าขาว และชีพจรบกพร่องร่วมด้วย แต่อาการพวกนี้เกิดกับท่านทั้งหมด แล้วท่านมีอาการถ่ายหนักเหลวบ้างหรือไม่” ท่านหมอเอ่ยอธิบายอาการที่ลี่อินเป็นอยู่ตอนนี้อย่างละเอียด

“ขะ ขอรับ” ลี่อินเขินอายไม่น้อยที่ต้องตอบคำถามเช่นนี้ แม้ในห้องจะมีเพียงบิดา มารดา และพี่น้องทั้งสามของเขา แต่คำถามเช่นนี้มันออกจะน่าอายไปเสียหน่อย

“เช่นนั้นสิ่งที่คุณชายเป็นอยู่ตอนนี้คงเป็นภาวะหยางพร่อง”

“แล้วอันตรายหรือไม่เจ้าคะ” ซูเมิ่งร้อนรนถามออกไป

“หากได้รับการรักษาและดูแลร่างกายอยู่เสมอก็มิได้ถึงแก่ชีวิต”

“เช่นนั้นต้องรบกวนท่านหมอแล้วขอรับ” ลู่หวังเหล่ยเอ่ยกับท่านหมออย่างนอบน้อม

“เอ่อ แท้จริงแล้วมีวิธีรักษาอยู่สองวิธี วิธีแรกคือทานยาบำรุงและดูแลร่างกาย แต่วิธีนี้จะเห็นผลช้ามาก หากผู้ป่วยมีอาการหนักอาจทำให้การรักษาเช่นนี้มิทันการ” คำพูดของท่านหมอทำให้ครอบครัวสกุลลู่ถึงกับใจเสีย

“แล้วอีกวิธีเล่าขอรับ” เฉินกงจ้องมองไปที่ท่านหมออย่างคาดหวัง

“อีกวิธีได้ผลดีชะงัก แต่ทว่าสมุนไพรที่ใช้ในการปรุงโอสถรักษานั้นหายากมาก จึงมีราคาสูงถึงจินละห้าตำลึงทอง” ยังไม่ทันที่ท่านหมอจะเอ่ยจนจบประโยค ลี่อินก็รีบเอ่ยแทรกขึ้นมา

“รักษาวิธีแรกเถิดขอรับท่านหมอ” เขามิอยากให้ครอบครัวต้องเสียเงินทองไปกับยาสมุนไพรที่ว่า อีกอย่างเขาอาจจะมิได้มีอาการหนักถึงขนาดรักษาด้วยวิธีแรกไม่หาย

“ไม่!!!” สามพี่น้องเอ่ยขึ้นพร้อมกัน ชีวิตของคนในครอบครัวต้องมาก่อน จะเสียเงินทองมากเท่าใด หากรักษาชีวิตคนในครอบครัวไว้ได้ก็ถือว่าคุ้มค่า

“ใช้สมุนไพรที่ว่าเถิดเจ้าค่ะ ท่านหมอ…จะต้องเสียกี่ตำลึงทอง พวกข้าก็มีจ่าย ขอเพียงให้พี่สามหายขาดก็เพียงพอ” ลู่หวังเหล่ย ซูเมิ่ง เฉิงกง และหมิงยู่เองก็เห็นด้วยกับสิ่งที่เยว่ชิงพูด

“แต่ว่า…” ลี่อินพยายามเอ่ยค้านขึ้นมา

“พ่อเองก็คิดเห็นตามที่น้องของเจ้าว่า เงินทองที่หามาได้หากมินำมาใช้จะนำไปทำสิ่งใดเล่า ชีวิตของคนในครอบครัวเราย่อมสำคัญที่สุด”

“ใช่แล้วน้องสาม ขอให้เจ้าหายดีเท่านั้นก็เพียงพอ เงินทองจะหาเพิ่มเมื่อใดก็ได้” หมิงยู่ยกยิ้มให้กับน้องชายอย่างอ่อนโยน เขาเข้าใจดีว่าน้องสามคงจะมิอยากให้ครอบครัวเสียเงินทองที่เก็บออมมาได้

“…” ลี่อินก้มหน้าคิดหนัก

“พี่สามรักษาตัวให้หายเถิด เพราะค่าจ้างคนบรรเลงดนตรีในร้านคงจะราคาสูงไม่น้อย หากท่านไม่รีบหาย ร้านของเราอาจจะล่มจม เพราะจ้างคนบรรเลงดนตรีก็เป็นได้” เยว่ชิงส่งยิ้มขำให้กับพี่ชาย นางตั้งใจเอ่ยเรื่องเกินจริงหวังให้พี่ชายรู้สึกขบขันไปด้วย

“คิกๆ หากค่าจ้างแพงถึงเพียงนั้น พี่คงต้องรีบหายแล้วกระมัง” ลี่อินหัวเราะให้กับคำพูดเกินจริงของน้องสาว เขาเข้าใจความปรารถนาดีของทุกคน โชคดีเหลือเกินที่เขาได้เกิดมาในสกุลลู่

“ดีแล้วลูก รักษาตัวเองให้หายดีก่อน…รบกวนท่านหมอด้วยนะเจ้าคะ” ซูเมิ่งหันไปเอ่ยกับท่านหมอ

“มิต้องกังวลไป ข้าจะรีบไปเตรียมสมุนไพรมาทำโอสถให้ โอสถที่ว่าจะต้องให้คุณชายดื่มเป็นประจำทุกเช้า หากว่าอาการเริ่มดีขึ้น ข้าจะปรับให้คุณชายดื่มเพียงเจ็ดวันครั้ง และหากอาการคงที่ คุณชายก็จะได้ดื่มโอสถเพียงเดือนละครั้งเท่านั้น ฉะนั้นแล้วหากคุณชายกังวลเรื่องเงินที่ซื้อโอสถ ท่านจะต้องดูแลตนเองและรักษาอาการให้คงที่” หลังจากท่านหมอเอ่ยอธิบายวิธีการดูแลตนเองให้กับลี่อินและทุกคนฟังแล้ว จึงขอตัวกลับไปเตรียมสมุนไพรเพื่อทำโอสถทันที

.

.

.

“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะท่านหมอ” เยว่ชิงเอ่ยถามท่านหมอที่มาตรวจ อาการพี่สาม หลายเดือนที่ผ่านมาพี่สามได้ดื่มโอสถที่ท่านหมอปรุงให้หมดไปหลายขวด ซึ่งที่ผ่านมาอาการของพี่สามก็ดีขึ้นตามลำดับ

“อาการของคุณชายเริ่มดีขึ้นแล้ว ต่อไปข้าจะลดโอสถ ให้คุณชายดื่มโอสถเพียงเจ็ดวันครั้งเท่านั้น ทั้งคุณชายมิได้มีอาการอื่นมาแทรกซ้อน ถือว่าคุณชายดูแลตนเองได้ดีทีเดียว”

“เช่นนั้นข้าจออกไปทำงานได้หรือไม่ขอรับ” ลี่อินคิดถึงการบรรเลงกู่เจิงเหลือเกิน แม้เขาจะได้บรรเลงกู่เจิงอยู่ในเรือนตลอด แต่ทว่าเขากลับคิดถึงเสียงชื่นชมจากลูกค้าในร้านมากกว่า

“ไปได้ แต่อย่าได้หักโหมจนเกินไป มิเช่นนั้นค่ายาที่จ่ายไปจะสูญเปล่า หลังจากนี้หากว่าอาการคงที่แล้วคุณชายย่อมออกไปทำงานได้ตามเดิม”

“ขอบพระคุณท่านหมอขอรับ” ครอบครัวสกุลลู่เอ่ยขอบคุณท่านหมอจากนั้นลู่หวังเหล่ยและซูเมิ่งจึงเดินออกไปส่งท่านหมอที่หน้าเรือน อาการลี่อินดีขึ้นเช่นนี้ ครอบครัวสกุลลู่จึงเริ่มผ่อนคลายความตึงเครียดลงได้บ้าง ในมื้ออาหารจึงกลับมามีเสียงหัวเราะขบขันดังเก่าก่อน

เวลาล่วงเลยเข้าปลายยามห้าย (21:00-22:59 น.) แล้ว แต่ทว่าเยว่ชิงกลับยังมิอาจข่มตาหลับลงได้ นางย้อนนึกถึงเรื่องราวในนิยายเรื่องชะตาร้ายขึ้นมาอีกครั้ง ยามที่ลู่เยว่ชิงเจ็ดหนาวพี่สามล้มป่วย เรื่องราวตอนนี้ตรงกับที่นิยายได้บอกไว้ ฉะนั้นแล้ว เมื่อลู่เยว่ชิงอายุได้สิบหนาวพี่ใหญ่จะถูกทางการเกณฑ์ไปทำสงครามและกลับมาเมื่อลู่เยว่ชิงอายุสิบสองหนาว ในตอนนั้นพี่ใหญ่ก็พิการขาไปเสียแล้ว

“มีเวลาอีกสองหนาว ก่อนที่พี่ใหญ่จะถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร” เยว่ชิงพึมพำออกมาแผ่วเบา นางย้อนนึกถึงตอนที่นางอ่านเรื่องราวหลังจากพี่ใหญ่พิการขา

เฉินกงกลับมาจากสงครามพร้อมร่างกายและดวงใจที่บอบช้ำ ยามเห็นสายตาที่ครอบครัวมองมาทางเขาอย่างโศกเศร้า เขายิ่งนึกต่ำใจในโชคชะตา หากฟ้าจะลิขิตให้เขาต้องมีชีวิตอยู่อย่างคนไร้ค่าเช่นนี้ สู้ให้เขาตายจากไปอย่างสมเกียรติ ดีกว่าให้เขามีชีวิตอยู่เป็นภาระของครอบครัว ทั้งบิดา มารดา น้องชายและน้องสาวต้องทำงานหนักเพื่อหาเงินทองมาใช้จ่าย แต่เขากลับทำสิ่งใดไม่ได้ วันๆ กิน นอน เป็นภาระให้ผู้อื่นต้องมาดูแล

“พี่ใหญ่เรียกข้ากับน้องมา มีสิ่งใดหรือขอรับ”

“มิมีสิ่งใด พี่เพียงอยากฝากฝังพวกเจ้าให้ดูแลท่านพ่อท่านแม่เท่านั้น หมิงยู่ เจ้าจงเติบใหญ่เป็นเสาหลักให้สกุลลู่ของเรา อย่าได้อ่อนแอ เยว่ชิง พี่ขอให้เจ้าเติบใหญ่มีชีวิตที่สดใส แม้วันหน้าจะแต่งออกไปแล้ว แต่อย่าได้ลืมสกุลเดิมของเราเล่า”

“แต่งออกอันใดกันเจ้าคะ น้องยังมิพ้นวัยปักปิ่นเลยด้วยซ้ำ” สามพี่น้องหัวเราะร่า เสียงดังลั่นจนบ่าวในเรือนยกยิ้มตาม แต่กลับมิมีผู้ใดรับรู้เลยว่านั่นจะเป็นเสียงหัวเราะสุดท้ายของเฉินกง…คุณชายใหญ่สกุลลู่

“ชีวิตนี้เยว่ชิงจะไม่ยอมให้พี่ใหญ่ต้องพบเจอสิ่งเลวร้ายเช่นนั้นเป็นแน่”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • พอกันทีกับบทนางเอกแสนอาภัพ   100. บทเรียนจากมารดา (ตอนพิเศษ)

    “เสด็จพ่อ มิอยู่หรือเพคะ อื้ม” เสียงเล็กของเด็กหญิงวัยหกหนาวเอ่ยถามมารดาทั้งที่มือยังคงนำขนมเข้าปากน้อยๆ ไม่หยุด“ฉิเงอ๋อร์ เจ้าเรียบร้อยให้สมกับเป็นสตรีเสียบ้างเถิด” เยว่ชิงนำผ้ามาเช็ดปากให้บุตรสาวตัวน้อย ดูทีเถิดอันเอ๋อร์บุตรสาวของพี่ใหญ่กับเสี่ยวจูอายุเพียงสี่หนาวยังนั่งกินเรียบร้อยมิเลอะเทอะแม้แต่น้อย“มิจำเป็นเพคะ ท่านลุงรองเอ่ยว่ายามเสด็จแม่เด็กก็แก่นเซี้ยวเช่นฉิงเอ๋อร์” แม้จะถูกมารดาดุ แต่เด็กหญิงตัวน้อยกลับมาใส่ใจ เอาแต่กัดกินขนมด้วยท่าทีสบายอารมณ์“เสด็จแม่คงต้องทำใจเสียแล้วพ่ะย่ะค่ะ บุตรของผู้ใดย่อมเหมือนผู้นั้น ฉิงเอ๋อร์ย่อมซุกซนเหมือนเสด็จแม่ อันเอ๋อร์ย่อมเรียบร้อยเหนียมอายดั่งท่านป้าเผิงจู ส่วนอาหรานเองก็ปากเก่งเช่นท่านลุงรอง” อาหรานที่จางหย่งเอ่ยถึงคือ ลู่ห่าวหราน บุตรชายของพี่รองและพี่ฟางเอ๋อร์ที่อายุได้เพียงสี่หนาว แต่กลับช่างพูดช่างเจรจาดั่งพี่รองมิมีผิด“คิกๆ”“เสี่ยวจู เจ้าหัวเราะข้าหรือ”“มิได้เพคะพระชายา เพียงแต่หม่อมฉันนึกถึงยามที่พระชายาเป็นเด็ก ท่านหญิงมิมีสิ่งใดต่างจากพระชายาเลยเพคะ” เผิงจูยกมือปิดปากหัวเราะ ท่านหญิงช่างเหมือนพระชายาเหลือเกิน ส่วนท่านชายใหญ่ก็

  • พอกันทีกับบทนางเอกแสนอาภัพ   99. ขอบคุณ

    “ปล่อยอาหย่งกับฉิงเอ๋อร์ไว้กับเหล่าองค์ชายจะดีหรือเพคะ เยว่ชิงกลัวว่าเจ้าก้อนของเราจะไปทำให้เหล่าองค์ชายลำบากเอาได้” บุตรชายและบุตรสาวของนางนั้นแม้จะเลี้ยงไม่ยาก ทว่าเอาแต่ใจตนเองเป็นที่หนึ่ง อยากร้องก็ร้อง อยากหยุดก็หยุด ชอบเล่นสนุกจนบางครั้งทำให้ขันทีฟ่งหรานถึงกับเหนื่อยหอบลมแทบจับ นางเกรงว่าเจ้าก้อนทั้งสองของนางจะทำให้เหล่าองค์ชายปวดหัวเอาได้“ฮ่าๆ มิได้ห่วงเจ้าก้อนหรอกหรือ” หลิวหยางพาเยว่ชิงควบม้าออกมาห่างจากเมืองหลวงพอควร เพื่อพาร่างบางไปยังสถานที่หนึ่ง ที่เขาได้ตระเตรียมเอาไว้นานแล้ว“เจ้าก้อนทั้งสองของเรา หากว่ามีพี่สามอยู่ เยว่ชิงก็มิห่วงอันใดแล้วเพคะ ทั้งเหล่าองค์ชายเองก็เอ็นดูอาหย่งและฉิงเอ๋อร์ของเราถึงเพียงนั้น จะต้องห่วงอันใดอีกเล่า…ว่าแต่ท่านพี่จะพาเยว่ชิงไปที่ใดหรือเพคะ” นัยน์ตาสดใสมองไปรอบข้างอยู่นาน แต่ก็มิคุ้นกับที่ทางเหล่านี้สักเท่าใด“พี่พาเจ้าออกมาเที่ยวเล่นอย่างไรเล่า จะได้มิน้อยใจ หาว่าพี่สนใจแต่บุตรมิสนใจมารดา”“โถ่~ เรื่องเพียงเท่านี้ ผู้ใดจะน้อยใจเล่าเพคะ” แขนเล็กถูกยกขึ้นกอดอก ดวงหน้างดงามเชิดขึ้นดั่งถือดี เพื่อกลบเกลื่อนความเขินอายที่ถูกสวามีจับได้ว่าแอบน้อย

  • พอกันทีกับบทนางเอกแสนอาภัพ   98. พบปะเสด็จอา (3)

    “อู้ๆ คิก เจี่ยมๆ”“โอ้ ฉิงเอ๋อร์ของลุงวาดภาพได้งดงามยิ่ง หากอาหย่งก็กลับมาแล้ว เราเอาไปอวดเขาดีหรือไม่ หืม” หมิงยู่ว่า พลางนำผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดคราบสีที่ติดใบหน้าหลานสาวตัวน้อยออก อีกสองเดือนข้างหน้าก็จะถึงฤกษ์แต่งของเขากับฟางเอ๋อร์แล้ว ถึงครานั้นเขาจะรีบมีบุตรให้ทันใช้ เดิมทีมีการกำหนดฤกษ์แต่งก่อนหน้านี้ แต่ทว่าพี่ชายของฟางเอ๋อร์ออกเรือไปส่งสินค้าต่างแคว้นมิอาจมาร่วมงานได้ พวกเขาจึงเลื่อนออกไป เพราะอยากให้ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าในวันสำคัญ“คารวะองค์ชายทั้งห้าพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมพาอาหย่งไปเปลี่ยนอาภรณ์ตัวใหม่มาแล้ว รับรองว่ากลิ่นหอมฉุย” ลี่อินอุ้มจางหย่งเข้ามาในศาลาที่เหล่าองค์ชายนั่งอยู่ รอยยิ้มหวานหยดของคุณชายรองลู่ทำเอาใครบางคนถึงกับหันมองมิวางตา จนเหล่าพี่น้องจับสังเกตได้“เชิญคุณชายรองและคุณชายสามลู่ตามสบาย ถือว่าพวกข้ามาพักผ่อนดั่งครอบครัวทั่วไป ใช่หรือไม่น้องสี่” จ้านฉือที่เห็นว่าน้องชายยังมิละสายตาจากใบหน้างามจึงได้เอ่ยเรียกสติ“พ่ะย่ะค่ะเสด็จพี่ คุณชายลู่พาอาหย่งมานั่งเถิด” เมื่อองค์ชายสี่เอ่ยเรียกคุณชายลู่ ทำให้ทั้งลี่อินและหมิงยู่ชะงักมองหน้ากัน เพราะมิรู้ว่าองค์ชายเอ่ยเรี

  • พอกันทีกับบทนางเอกแสนอาภัพ   97. พบปะเสด็จอา (2)

    “ข้าฝากเจ้าพวกเจ้าด้วย มิถึงสองชั่วยามข้าก็กลับมาแล้ว หากว่ามีสิ่งใดก็เรียกฟ่งหราน หรือไม่ก็ขอคุณชายสามลู่ช่วยได้” ในยามเว่ย (13:00 – 14.59 น.) หลิวหยางตั้งใจจะออกไปที่หนึ่งกับเยว่ชิงตามลำพัง ทั้งบรรดาน้องชายอยากออกมาสังสรรค์กันที่จวนอ๋องของเขา เขาจึงใช้โอกาสนี้ขอให้น้องชายมาช่วยอยู่เป็นเพื่อนเล่นกับบุตรทั้งสองเดิมทีเฉินกงและเผิงจูคิดจะตามไปด้วย แต่เขาคิดว่าควรจะให้เฉินกงได้พักเสียบ้าง จึงให้คู่บ่าวสาวที่พึ่งจะตบแต่งกันไปเมื่อสามเดือนก่อนได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันบ้าง เฉิงกงจึงพาเผิงจูออกไปอารามเพื่อขอบุตร“เสด็จพี่ใหญ่ไว้ใจข้าได้ ข้าน่ะเลี้ยงเด็กมามาก เพียงแค่หลานสองคนจะยากสักเท่าใดกันเชียว” องค์ชายห้าเฉิงเฟยฟาตบอกตนเองอย่างมั่นอกมั่นใจ“หึ เด็กที่เจ้าเลี้ยงมิใช่เด็กทารกนะเจ้าห้า” องค์ชายสี่ส่ายหัวอย่างเอือมระอา เด็กที่น้องชายเขาว่าคงมิพ้นสาวงามในหอนางโลมเป็นแน่เหล่าองค์ชายต่างหัวเราะออกมาเมื่อรู้ว่าองค์ชายสี่หมายถึงเรื่องใด เว้นก็แต่ผู้ที่ถูกว่าอย่างองค์ชายห้า“เอาเถิดๆ บุตรของข้าเลี้ยงง่าย มิทำให้พวกเจ้าหนักใจเป็นแน่ ถือเสียว่าออกมาพักผ่อนนอกวังเสียบ้าง” หลิวหยางว่าพลางก้มลงจุมพิตบุตร

  • พอกันทีกับบทนางเอกแสนอาภัพ   96. พบปะเสด็จอา (1)

    กว่าเจ็ดเดือนที่หลิวหยางและเยว่ชิงแทบจะมิอยู่ห่างบุตรทั้งสอง โดยเฉพาะหลิวหยางที่ถึงขั้นหอบงานมาทำด้วยยามที่บุตรหลับ“บู้ๆ เอิ้ก แอ๊!” เสียงทารกน้อยวัยเจ็ดเดือนกำลังนอนสนทนากันอยู่บนเตียงสองคนเบาๆ ทั้งจางหย่งและอ้ายฉิงเป็นเด็กเลี้ยงง่าย มีร้องไห้งอแงตามประสาเด็กบ้าง แต่เมื่อได้ดื่มนมจากอกมารดาก็หยุดงอแงทันใด เพราะเหตุนี้ทารกน้อยทั้งสองจึงได้อ้วนท้วมสมบูรณ์ ประกอบกับผิวที่ขาวราวหิมะ ทำให้ผู้เป็นบิดามารดาและข้ารับใช้ในจวนอ๋องต่างเอ็นดูท่านชาย ท่านหญิงเป็นที่สุด“หึๆ ฉิงเอ๋อร์กับอาหย่งพูดคุยเรื่องใดกันอยู่หรือ ให้พ่อพูดคุยด้วยได้หรือไม่ หืม” หลิวหยางยื่นหน้าเข้าไปจุมพิตแก้มกลมของบุตรทั้งสองคนละทีให้หายคิดถึง เขาพึ่งจะกลับมาจากการประชุมในท้องพระโรงจึงได้ตรงกลับจวนทันที แต่ก็มิทันได้ทานมื้อเช้ากับชายาและบุตรอยู่ดี ร่างสูงจึงรีบทานอาหารและผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ก่อนเข้ามาหาเยว่ชิงและบุตรทั้งสอง“ท่านพี่” เยว่ชิงเมื่อเห็นว่าสวามีหอมแก้มบุตร จึงได้ยื่นแก้มของตนเองให้สวามีได้หอมบ้าง ตั้งแต่มีบุตร ดูเหมือนว่าท่านอ๋องจะมิสนใจเยว่ชิงแล้ว เมื่อก่อนกลับมาจากการทำงานจะต้องมาหานางเป็นคนแรก แต่บัดนี้กลับมุ่ง

  • พอกันทีกับบทนางเอกแสนอาภัพ   95. เจ้าก้อนตัวน้อย

    “โอ๊ยยย ฮื่อ! เหตุใดจึงเจ็บเช่นนี้ ฮึก ท่านแม่ช่วยเยว่ชิงที” เสียงกรีดร้องของเยว่ชิงทำให้ผู้เป็นสวามีนั่งไม่ติด ร่างสูงเดินไปมาอยู่หน้าห้องอย่างร้อนรน เยว่ชิงมิใช่สตรีที่อ่อนแอ แต่บัดนี้นางกลับกรีดร้องออกมา ย่อมตีความได้ว่านางกำลังลำบากอยู่เป็นแน่“ท่านอ๋องนั่งลงก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ มารดาของพระชายาเข้าไปอยู่ด้วยเช่นนี้ พระชายาย่อมอุ่นใจแล้ว” ลู่หวังเหล่ยและครอบครัวสกุลลู่กำลังเตรียมตัวเข้านอน แต่กลับมีทหารองครักษ์ของฮ่องเต้มาแจ้งข่าวถึงหน้าเรือน พวกเขาจึงได้รีบกลับมาที่จวนอ๋องอีกครั้ง“ท่านพ่อตา เยว่ชิงจะไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” ใบหน้าคมของชินอ๋องแคว้นเฉิงซีดเผือด ยิ่งได้ยินเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดดังลอดออกมาเช่นนี้ ยิ่งทำให้เขาขลาดกลัวมากขึ้น“พระชายาจะปลอดภัยพ่ะย่ะค่ะ”“เจ้าอย่าได้วิตกไปหลิวหยาง สตรีคลอดลูกก็เป็นเช่นนี้ รอไม่นานบุตรของเจ้าก็จะคลอดแล้ว” ฮ่องเต้เจี้ยนกั๋วเข้ามาโอบบ่าของโอรส บีบเคล้นบ่าแกร่งเบาๆ ให้หลิวหยางได้คลายกังวลลงบ้าง“อื้ออออ กรี๊ดดดดดด”อุแว้! อุแว้! อุแว้!“นั่นอย่างไร ได้ยินหรือไม่ ฮ่าๆ ข้าได้หลานชายหรือหลานสาว!” ฮ่องเต้เจี้ยนกั๋วหัวเราะออกมาเสียงดัง เสียงทร

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status