"นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!" ภาคิน หรือ ภาคินัย เดชาบวรสกุล วัย 30 ปี ชายหนุ่มเอเชียไทยแท้ตั้งแต่หัวจรดเท้า รองประธานคณะกรรมการบริหารบริษัทเดชาบวรสกุลกรุ๊ป บริษัทโฆษณายักษ์ใหญ่...กำลังใช้ฝ่ามือฟาดลงบนโต๊ะของผู้เป็นบิดาซึ่งคือซีอีโออย่างแรงด้วยความโมโห
"เอะอะโวยวายอะไร ฉันไปทำอะไรให้แกไอ้ภาคิน" คุณดำเกิงผู้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริหารบริษัทเดชาบวรสกุลกรุ๊ปบริษัทโฆษณายักษ์ใหญ่ค่อยๆปิดแฟ้มเอกสารแล้วแหงนขึ้นไปมองหน้าบุตรชายคนรองทั้งขมวดคิ้วนิ่วหน้า "แม่นั่น เด็กฝากที่ใช้เส้นสายไต่เต้าขึ้นมาเป็นเลขาของผมคือใคร ทำไมคุณขวัญชีวินถึงบอกว่ามาจากพ่อ" ทันทีที่ผู้หญิงคนนั้นเคาะประตูแล้วบอกกล่าวกับเขาจบ...เขาก็หัวเสียเหวี่ยงสุดขีดแล้วรีบพุ่งตรงมายังห้องของผู้เป็นบิดาด้วยความฉุนเฉียว "แม่นั่นที่แกหมายถึงเขามีชื่อนะ เขาชื่อหนูมินตรา คนที่ฉันคัดเลือกว่าเหมาะสมดีละสำหรับการคอยดูแลแก" คุณดำเกิงคิดเอาไว้แล้วว่าจะต้องเกิดปัญหาเช่นนี้ขึ้นเพราะไอ้ความทิฐิสูงถือตัวของไอ้เจ้าบุตรชาย เขาจึงต้องไปขอร้องขอโพยให้มินตรามาคอยช่วยกำราบและรายงานเป็นระยะๆถึงพฤติกรรมพรรค์นั้น "เหมาะสมตรงไหน? หน้าตาก็จืดชืด ไร้รสนิยมสุดๆ พ่อจะให้แม่นั่นมายืนเคียงข้างผมในฐานะเลขาได้ยังไง อายเขาตาย" ภาคินทรุดตัวลงนั่งบนโซฟานุ่มเหยียดแขนขึ้นกอดอกแล้วยกขาอีกข้างไขว้ห้างลอยหน้าลอยตาอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว "หนูมินตราเรียนจบคณะบริหารธุรกิจมาด้วยเกรดนิยมอันดับหนึ่ง เคยผ่านประสบการณ์การทำงานจากบริษัทใหญ่ๆมาหลายต่อหลายแห่งแล้ว แค่นี้ก็คงจะการันตีความสามารถได้ ส่วนไอ้เรื่องหน้าตาหรือบุคลิกอื่นๆแกก็ค่อยปรับเปลี่ยนกันสิ ฉันว่านี่ไม่ใช่เรื่องยากมั้งนะ" คุณดำเกิงเหยียดแขนทั้งสองข้างประสานกันไว้วางบนโต๊ะทำงานแล้วเหลือบขึ้นมองหน้าบุตรชายคนรองเพื่อดูปฏิกิริยาการตอบโต้ของเขาอีกคราว "ปกติพ่อไม่เคยฝากงานให้ใคร แม่นั่นมีอะไรพิเศษกว่าคนอื่นเหรอครับ" ภาคินหรี่ตามองอย่างจับผิด ภาวนาให้สิ่งที่เขาคิดเป็นแค่เรื่องเพ้อฝันไปเพราะหากเกิดเป็นเช่นนั้นจริงเขาคงไม่ยอมแน่ๆ "ก็ไม่ได้พิเศษอะไร แค่เห็นว่าหนูมินตรามีความสามารถ ที่สำคัญเด็กมันเพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ ยังไม่มีงานทำและกำลังเดือดร้อนเพราะตอนนี้แม่ของหนูมินตราต้องเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ ฉันก็เลยฝากฝังงานให้ก็เท่านั้นเอง" แต่สำหรับภาคินมันไม่ใช่น่ะสิ...เขารักความยุติธรรมยิ่งกว่าอะไรดี พวกใช้เส้นสายไต่เต้าขึ้นมาเพื่อหวังจะได้งานไม่มีวันประสบความสำเร็จหรอก! ยิ่งได้รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังตกที่นั่งลำบาก...ต้องการนำเงินก้อนใหญ่ไปรักษาแม่ที่ป่วยเป็นโรคร้ายแรง ก็อาจมีความเป็นไปได้ว่าเจ้าหล่อนคิดเกาะผู้เป็นบิดาซึ่งมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพ่อเพื่อหวังเป็นปลิงดูดเลือด อย่าหวังว่าจะได้เข้ามาเป็นเห็บหมัดสูบเลือดสูบเนื้อแล้วเป็นส่วนแบ่งกองกลางมรดกที่มารดาและเขาควรจะได้รับอีกคน!...ให้มารดาของเขาต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้ก็เจ็บช้ำพอสมควรแล้ว หากรู้ว่าพ่อมีผู้หญิงตัวเล็กตัวน้อยอีกคนคงปวดใจไม่ใช่น้อย เพราะฉะนั้นเขาต้องรวบรัดเอาเธอมาไว้ใกล้ตัวจะได้คอยจับตามอง ดีกว่าปล่อยแล้วมันแว้งกลับมาฉกกินหาง "ครับ งั้นผมรับเธอเข้าทำงาน" คำตอบนี้ทำเอาคุณดำเกิงถึงกลับขมวดคิ้วนิ่วหน้า เมื่อครู่เจ้าลูกชายยังคัดค้านเสียงแข็งเอาเป็นเอาตายว่าอย่างไรก็จะไม่ใช้คนที่เล่นเส้นเล่นสายเข้ามาทำงานใกล้ตัวเด็ดขาด แต่นี่ดันตกปากรับคำง่ายๆเสียงนั้น "เริ่มงานได้เลย เพราะฉะนั้นผู้หญิงคนนี้คือคนของผม พ่อไม่มีสิทธิ์ยุ่ง เข้าใจตรงกันนะครับ" คุณดำเกิงทำท่าจะอ้าปากกล่าวก็ไม่ทันเสียแล้ว เพราะพ่อลูกชายตัวดีดีดตัวลุกขึ้นพรวดพราดเปิดประตูหุนหันพลันแล่นออกไปจากห้องเสียโดยเร็ว ... ... ปัง!! แฟ้มเอกสารถูกโยนลงบนโต๊ะทำงานของรองประธานคณะกรรมการบริหารบริษัทโดยฝีมือของเขา ก่อนจะแหงนหน้าชำเลืองตามองเลขาสาวสุดสวยที่ปัจจุบันนี้เข้ามาทำงานเป็นพนักงานเต็มตัวได้ประมาณหนึ่งปี "งานชุ่ยๆแบบนี้ จ้างพวกเด็กจบใหม่หรือเด็กที่กำลังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยก็ยังโอเคกว่าเลย" มินตรา สาวน้อยวัย 26 ปี ปัจจุบันนี้อยู่ในตำแหน่งเลขานุการรองประธานบริษัทเดชาบวรสกุลกรุ๊ป รีบก้มหน้างุด...หลุบตาลงมองต่ำเพราะไม่กล้าสบกับความแข็งกร้าวที่แผ่กระจายรังสีรอบๆกายเจ้านาย ภายในใจของเธอร้อนรุ่มเต้นตุบตับโครมครามไม่เป็นจังหวะ...ทำไมพ่อกับลูกถึงได้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงขนาดนี้นะ คุณภาคินไม่ได้นิสัยของพ่อมาเลยสักนิดหรือไง! "คุณภาคินต้องการให้ดิฉันแก้ตรงไหน บอกได้เลยนะคะ เดี๋ยวดิฉันจะรีบดำเนินแก้ไขให้ก่อนครบกำหนดส่งแน่นอนค่ะ" พูดในขณะที่ไม่ได้มองหน้าเขา "ฉันต้องการให้เธอแก้ทั้งหมดและส่งงานภายในตอนเที่ยงนี้" คำตอบนี้ทำเอามินตราถึงกับตาลุกวาว แล้วลอบกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่...จะบ้าหรือไงแฟ้มเอกสารกองเบอเร่อมีจำนวนแผ่นกระดาษ a4 อยู่ไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ แล้วนี่เวลาก็เดินเลยมาจนใกล้จะ 10 โมงแล้ว ต่อให้เธอบริหารจัดการดีแค่ไหนก็ไม่ทัน! "ดิฉันมีแค่สองมือนะคะคุณภาคิน นี่ก็เหลือเวลาอีกประมาณ 2 ชั่วโมงเอง ถ้าให้สรุปเอกสารใหม่ทั้งหมดคงจะไม่ทันแน่ๆ...หากดิฉันจำไม่ผิดเอกสารชุดนี้ไม่ใช่เอกสารเร่งด่วนเพราะทางฝ่ายบุคคลต้องการภายในวันศุกร์ที่จะถึงนี้นี่คะ" มินตราตอบกลับไปอย่างกล้าๆกลัวๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมภาคินถึงได้จงเกลียดจงชังเธอขนาดนี้ ทั้งๆที่เธอก็ไม่ได้ทำอะไรให้เขาต้องเดือดเนื้อร้อนใจหรือสร้างความวุ่นวายให้เลยสักครั้ง ในทางกลับกันเธอออกจะเชื่อฟังคำสั่งไม่ให้ขาดตกบกพร่องทุกประการเสียด้วย! "แต่ฉันต้องการวันนี้ไง" ภาคินยกสองแขนแกร่งค้ำยันลงบนโต๊ะ แล้วเลื่อนฝ่ามือจรดปลายคางมนเลิกคิ้วหลิ่วตาถามหล่อนอย่างกวนตีน "หรือว่าคุณมินตรามีปัญหา?" "ไม่มีปัญหาค่ะ ดิฉันจะรีบนำกลับไปแก้ไขให้" "ดีครับ" ภาคินเค้นเสียงหัวเราะอย่างพอใจ ก่อนที่มินตราเอื้อมลงมาหยิบแฟ้มเอกสารขึ้นแนบเสมอเนินอก ทำท่าทำทางหันหลังก้าวออกไป "คงจะผิดคาดไปหน่อยนะครับ ที่คิดว่าหากใช้เต้าไต่ขึ้นมาจะได้อยู่สุขสบาย...แต่กลับต้องทำงานงกๆเพื่อชดเชยเงินที่ผลาญไป" มินตรากลืนก้อนสะอื้นลงคอ...แล้วรีบสาวเท้าเดินออกไปจากห้องที่ร้อนรุ่มดังขุมนรกนี้ให้เร็วที่สุด! ถ้าไม่จำเป็นเหนือบ่ากว่าแรง กลัวโดนเขาแบล็คเมล์และดันตกหลุมรักเขาหัวปักหัวปำ เธอก็คงหนีออกไปเสียตั้งนานแล้ว! มินตราหย่อนสะโพกลงนั่งบนฝาโถส้วมด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ตีปนกันมั่วไปหมดในสมอง...เธอไม่น่าหลงกล หลงคารมคำปากหวานที่ถูกพ่นออกมาจากผู้ชายเจ้าเล่ห์อย่างภาคินเลย! เธอมันคงใจง่ายเอง...ตกหลุมรักเขาเพียงเพราะเขามาทำดีด้วยนิดๆหน่อยๆ ก็ดันปล่อยตัวปล่อยใจให้เขาทำเรื่องอย่างว่า สนับสนุนเขา จนเขาสามารถปิดจ๊อบเธอได้ภายในระยะเวลาสองเดือน!! คราวแรกมันก็หวานชื่นมื่น เขาคอยดูแลเอาใจใส่ ประคบประหงม พูดจาหวานเข้าหว่านล้อมจนใจเธอมันอ่อนน้วย เขาว่าอะไรก็ยอมไปเสียทุกอย่าง...แต่พอหลังจากนั้นเพียงหนึ่งสัปดาห์เนี่ยสิ ออกฤทธิ์ออกเดทไม่เว้นแต่ละวัน เปลี่ยนไปอย่างกับหน้ามือเป็นหลังมือ เธอไม่น่าใจง่ายเลย! แต่ยอมรับจริงๆว่าผู้ชายอย่างภาคินมีโคตรเสน่ห์บ่างอย่างน่าดึงดูดเพศตรงข้ามโดยเฉพาะตอนที่เขาอ้อนอยากจะมีอะไรด้วย...เขาทั้งหล่อ สมบูรณ์แบบ เพอร์เฟกต์ เป็นชายในฝันของใครหลายๆคน ถ้าย้อนเวลากลับไปเธอก็คงไม่ปฏิเสธอยู่ดีนั่นแหละ!@2 เดือนผ่านไป พิธีวิวาห์สมรสของทั้งคู่ถูกจัดขึ้นอย่างรวดเร็วท่ามกลางความตื่นตะลึงและเสียงเห่ร้องตกใจจากพนักงานในบริษัทญาติสนิทมิตรสหายเพื่อนฝูงและคู่ค้าทางธุรกิจต่างๆ แต่รับรองได้เลยว่าไม่น้อยหน้าผู้ใด ระดับออแกไนซ์มืออาชีพอันดับต้นๆ ของเมืองไทยเนรมิตเองตั้งแต่ประตูงานยันอาหารการกิน ทรงผม ชุดเจ้าสาวเอย รองเท้าเอย แก้วเอย ผ้าปูโต๊ะเอยหรือแม้กระทั่งทิชชู่ที่หยิบใช้ก็เป็นของแบรนด์ของมีคุณภาพทั้งนั้น...ทำให้มินตราตกเป็นเป้าสนใจและเป็นที่อิจฉาของเหล่าสาวๆ ทั้งน้อยทั้งใหญ่ที่หมายปองปรารถนาอยากจะเข้ามาเป็นสะใภ้เศรษฐีหมื่นล้านตระกูลเดชาบวรสกุล...ตอนนี้คงเหลือแต่พี่คนโตไว้ให้เป็นเป้าหมายใหม่สำหรับใช้ยิงธนูแล้วเล็งไปยังจุดกึ่งกลางเขา ทว่าความเป็นไปได้ช่างน้อยแสนน้อยเหลือเกินเพราะแอบมีข่าวลือหลุดมาว่ากำลังกิ๊กกั๊กอยู่กับลูกนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังคนหนึ่ง......แล้ววันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่ค่อนข้างสำคัญเป็นอย่างมากนั่นก็คือมินตราและภาคินจะได้รู้เพศลูกตัวเอง ซึ่งถูกจัดขึ้นตามสไตล์ของพวกชนชาติทางฝั่งตะวันตกฝั่งตะวันออกที่นิยมให้พ่อแม่มาลุ้นเพศลูกโดยจะมีเพียงหนึ่งคนเท่านั้นที่รับรู้นั่น
ผ่านไปประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง ประตูที่เคยถูกล็อคก็เปิดง้างออกเผยให้เห็นเรือนร่างแกร่งกำยำของชายหนุ่มที่มีชื่อว่าภาคินัย เดชาบวรสกุล สายตาของเขาซึ่งฉายมองทีเดิมช่างคลับคล้ายคับคลาเป็นดั่งพญาราชสีห์ สิงห์ เสือที่มีพละกำลังมาก ดูดุ ดูน่าเกรงขาม มิหวาดกลัวต่อใคร ทว่าตอนนี้กลับมีแต่แววรักฝังลึกอยู่เต็มเปี่ยม ความหวานเยิ้มดุจน้ำผึ้งเดือนห้าปรากฏชัด ค่อยๆ เดินเรียบแล้วหย่อนสะโพกนั่งท่าเทพบุตรลงบนพื้นตรงหน้าหญิงสาวที่เขาพึงใจรัก "ผมขอโทษ ผมขอโทษที่ผมทำแย่ๆ กับมินมาโดยตลอด ผมรู้ว่าคำขอโทษของผมมันไม่ได้ผล และมันไม่สามารถชดเชยชดใช้กับสิ่งที่ผมทำกับมินได้ แต่ผมอยากจะให้มินรู้ว่าผู้ชายคนนี้มันสำนึกผิดแล้วจริงๆ มันพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อไถ่โทษให้กับมิน" ภาคินก้มหน้างุดก่อนที่หยดน้ำจะเริ่มเอ่อล้นอาบสองพวงแก้วจรดบนพื้นกระเบื้องจนกลายเป็นคราบกว้าง "..." "ผมรู้ว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาผมไม่เคยดีกับมินเลย ผมเป็นผู้ชายร้ายๆ เป็นผู้ชายห่วยแตกที่ปากจัด อารมณ์ร้าย หัวร้อนไม่ฟังใคร รุนแรงในสายตาของมิน แต่ผมอยากจะขอโอกาสมินสักครั้งได้ไหม ขอโอกาสให้ผมได้ดูแลลูก ให้ผมได้ดูแลมิน ให้ผมได้ทำหน้าที่ของพ่อและหน้า
แล้วจะให้เธอทำเช่นไรล่ะ ในเมื่อนี่คือความสัตย์จริงที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เธอพูดถึงหลักความเป็นจริง หลักความเป็นไปของชีวิตที่คนทุกคนล้วนได้พบเจอเธอเห็นมานัดต่อนัดแล้วล่ะ ทั้งคนรอบตัว รอบกาย ญาติสนิทมิตรสหาย เพื่อนฝูงหลายต่อหลายเหล่า ยามที่คนรู้จักกลับไปกินของเก่า กลับไปกินขี้ที่ตัวเองพยายามตะเกียกตะกายฉุดรั้งขึ้นมาเพื่อให้หลุดพ้นก็มักจะถูกหัวเราะเยาะถูกว่ากล่าวซ้ำเติมสารพัดสาระเพ"แต่นี่แม่ แม่ไม่ใช่คนพันนั้น แม่ไม่ใช่พวกที่จะมานั่งหัวเราะเยาะลูก มินไม่จำเป็นต้องอาย แม่บอกมินเสมอว่าเวลาที่มินมีอะไรมินสามารถพูดคุย มินสามารถบอกแม่ได้ ถึงแม่จะให้ความปรึกษา ให้ความช่วยเหลือมิได้ไม่มากพอแต่แม่คนนี้ก็พร้อมรับฟังลูกเสมอ" คุณกลิ่นแก้วเลื่อนแขนเรียวบางขึ้นไปจับบ่าของลูกสาว "มินไม่ผิดเลยลูกที่มินจะยังรักคุณภาคินและมินอยากตัดสินใจให้โอกาสคุณภาคินอีกครั้ง มินไม่ได้เป็นคนโง่แต่เพราะมินรักเขา เพราะเขาคือผู้ชายที่มินรักต่างหากล่ะ ข้อนี้ที่มินควรจะสนใจมากที่สุด แม่ขอถามหน่อยคนพวกนั้นที่มินคิดว่าเขาจะมาหัวเราะเยาะมิน เขาได้หากับข้าวหุงข้าวหุงปลา หาเงินทำให้มินมีความสุขเหมือนตอนนี้ได้หรือเปล่า คนที่
โคร้ม!!"คุณ!!!" วินาทีแรกที่ภาพเขากำลังหล่นร่วงจากต้นไม้ฉายเข้ามาในแววตา โสตประสาทการรับรู้ของมินตราเธอก็รีบลุกขึ้นพรวดพราดเข้าไปประคองเขาอย่างอัตโนมัติราวกับหัวใจกดรีโมทคอนโทรลสั่งมาเสียกระนั้น"โอ๊ย!! ผมเจ็บมากเลยครับมิน" ใจหนึ่งก็เจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งเรือนร่างจริงๆ นั่นแหละ แต่ก็อาจใส่จริตใส่มารยาสาไถของเพศหญิงที่มักจะชอบใช้กับพวกผู้ชายด้วยหน่อยเพื่อออดอ้อนออเซาะเรียกร้องความเห็นใจจะได้อยู่ใกล้ชิดกับมินตรามากยิ่งๆ ขึ้นไปอีก"เจ็บมากไหม" สีหน้าของหญิงสาวดูเป็นกังวลและแสดงออกถึงความห่วงใยอย่างเห็นได้ชัดเจนแจ่มแจ้งจนรู้สึกว่ามันค่อนข้างตรงข้ามกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอเคยพยายามปฏิเสธเขาสารพัด ทว่าแท้จริงแล้วในใจไม่ได้คิดหรือไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นเลยด้วยซ้ำ "เจ็บมากเลยครับ..." ชายหนุ่มซบลงบนเนินหน้าอกของมินตราแล้วโอบกอดเรือนร่างเธอเอาไว้ "กล้าไปเอารถออกแล้วก็ช่วยตามคนงานมาซัก 2-3 คนด้วย ฉันจะพาคุณภาคินไปโรงพยาบาล" "ครับ""มินเป็นห่วงผมเหรอครับ ดีใจจังเลยมีคนเป็นห่วงด้วย" เขาแอบยิ้มเล็กยิ้มน้อย"อย่าสำคัญตัวเองผิดไปหน่อยเลย ฉันไม่ได้เป็นห่วงเป็นใยอะไรคุณสักนิด แต่ที่ฉันทำลงไปทั้งหมดก็เพร
รุ่งเช้าวันถัดมา...ยามนี้พระอาทิตย์ทอแสงจ้าสว่างไสวมีสายลมพัดปลิวให้ความร่มเย็นใต้โคนต้นทุเรียนหมอนทองของจังหวัดจันทบุรี ซ้ำเห็นคนงานชาวสวนทั้งลูกเด็กเล็กแดง เพศสตรีและเพศบุรุษมาทำงานกันอย่างขะมักเขม้นไม่ให้แคล้วคลาดหรือเสียเวลาสักนาทีเดียว...ภาคินยังคงลุกขึ้นทำอาหารตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อคอยเอาอกเอาใจดูแลปรนนิบัติพัดวีมินตราและเจ้าตัวเล็กที่กำลังต้องการสารอาหารอย่างครบถ้วนอยู่ในครรภ์...เขาแทบจะกลายเป็นลูกเขย กลายเป็นคนรับใช้และกลายเป็นแม่ครัวคนหนึ่งของบ้านหลังนี้ไปเสียแล้ว ทั้งๆ ที่ปกติไม่เคยแม้กระทั่งเหยียบย่างเข้ามาในห้องสี่เหลี่ยมแล้วลงมือหั่นผัก หั่นหมู หั่นเนื้อ หั่นไก่ด้วยตนเองสักครั้ง"ข้าวต้มไก่ไข่พร้อมกับตับครับ อาหารพวกนี้จะช่วยบำรุงมินและลูกให้แข็งแรง" "เอาวางไว้ตรงนั้นแหละ มีธุระอะไรทำก็ไปทำเสีย อย่ามายืนหัวโด่เกะกะรกหูรกตาอยู่ตรงนี้ สุขภาพทัศนวิสัยการมองเห็นฉันจะเสียเอาเปล่าๆ" แม้นพูดจาถากถางน้ำใจแต่ก็ไม่กล้าสบหน้ากับเขาเพราะกลัวใจตัวเองหวั่นไหวจึงจำเป็นต้องเบี่ยงเบนศีรษะเอนเอียงไปทางอื่นหลบหลีกให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้"ครับ" ภาคินทำได้เพียงกล้ำกลืนฝืนทนยอมรับกับชะตา
ภาคินไม่รู้จะทำเช่นไรจึงนำอาหารที่ตนเองปรุงเสร็จเรียบร้อยแล้ววางไว้ด้านหน้าห้องพร้อมกับเขียนโปสการ์ดบนกระดาษโพสอิทแผ่นเล็กๆ ไว้ว่า'กินข้าวเย็นเยอะๆ นะครับ สุขภาพร่างกายจะได้แข็งแรง ผมไม่ได้เป็นห่วงแค่ลูกแต่ผมเป็นห่วงมินด้วย' แต่ก็ไม่รู้เลยว่าเธอจะกินหรือเอาไปเททิ้งให้หมา...มินตราใจแข็งชะมัดยาก หากตามงอนง้อขอคืนดีเห็นทีคงใช้เวลานานพอสมควร ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาคงต้องรีบเร่งรวบรัดจับหัวจับท้ายกินกลางตลอดตัว ไม่ให้ดิ้นหลุดด้วยวิธีการของตนเอง!บรรยากาศแห่งค่ำคืนนี้ค่อนข้างเงียบสงัดได้ยินเพียงเสียงจั๊กจั่นเรไรร้องแซ่ซ้องก้องกังวาลเมื่ออาศัยช่วงจังหวะดีแท้แลแล้วว่ามิมีผู้ใดพลุกพล่าน ภาคินลุกย่องออกจากเต็นท์ซึ่งกางอยู่บริเวณชานระเบียงหน้าบ้านค่อยๆ ย่องเลียบผ่านด้านข้าง ก่อนใช้ราวบันไดที่ตนเองเสาะเล็งเอาไว้พาดลงบนระเบียงด้านบนตรงกับห้องของมินตรา ชายหนุ่มรูปร่างแกร่งกำยำก้าวขาฉับ ส่วนสองมือนั้นไซร้กำลังจับราวบันไดปีนป่ายขึ้นไปคล้ายกับพวกโจร 500 อย่างมุ่งมั่นและมีจิตใจแน่วแน่ในการกระทำเรื่องสิ้นคิดเช่นนี้... มินตราคงชะล่าใจ บวกกับนี่เป็นชนบทแถวจังหวัดจันทบุรีเหตุไม่ค่อยพลุกพล่าน ชาวบ้านส่วนใหญ่