‘ตาถูกชะตาคุณจังเลย อยากลองคบคุณ ได้ไหมคะ’
สาวร่างอิ่มขยับขึ้นไปพูดใกล้ๆ ร่างสูงใหญ่โดยการเกาะไหล่เขาทั้งสองข้าง แล้วเขย่งตัวขึ้น
นี่คือภาพที่มาลินีแอบตามเพื่อนที่ดึงปัฐวิกรออกมาแล้วเห็นเข้า เธอบอกอธิปว่าจะไปเข้าห้องน้ำ ส่วนชายหนุ่มมีสายโทรศัพท์เข้ามาพอดีเขาจึงออกไปคุยด้านหน้า เพราะข้างในค่อนข้างเสียงดัง
แต่ถึงจะดังยังไง พรชิตาก็ไม่เห็นต้องขยับไปพูดใกล้ๆ ชายหนุ่มขนาดนั้น เพราะเธอยืนอยู่ตรงนี้ยังได้ยินเลย หญิงสาวค่อนขอดเพื่อนตัวเองในใจ
‘เราเพิ่งเจอกันเองนะครับ’
ปัฐวิกรแย้ง แต่ก็ไม่ได้ผลักพรชิตาออก คิดว่าเขาคงไม่อยากเสียมารยาท เพราะแขนกำยำแนบข้างลำตัว ไม่โอบหรือกอดอีกฝ่ายแต่อย่างใด
‘นั่นสิคะ ตาถึงได้บอกว่าถูกชะตา’
พรชิตาถอยออกมาเงยหน้ามองชายหนุ่มไม่ห่างนัก ตาคู่สวยพราวหยาดเยิ้ม
‘ผม...’
‘อย่าบอกนะคะ ว่าคุณไม่ถูกใจตา ของแบบนี้ต้องลองก่อนสิคะ ถึงจะรู้’
สาวสวยยิ้มอย่างขี้เล่นขณะพูด
คนแอบฟังอย่างมาลินีได้ยินคำนี้ของเพื่อนยังถึงกับอึ้ง เธอไม่ค่อยแปลกใจหรอก เพราะรู้จักนิสัยกันดีอยู่ แต่พรชิตาเพิ่งเจอปัฐวิกรวันนี้เอง อ่อยหนักขนาดนี้หมายความว่าอยากให้เขากลับไปด้วยคืนนี้แน่ๆ
คิดมาถึงตรงนี้มาลินีก็กัดริมฝีปากตัวเองเบาๆ เธอรู้จักก่อนยังไม่เคยแม้แต่จะพูดว่าสนใจเขาเลย เพื่อนเธอมาทีหลังก็ชวนเขานอนเสียแล้ว รู้สึกตัวเองช้าเป็นเต่าคลานยังไงไม่รู้
‘ว่าไงคะ คืนนี้เรา...’
‘ผมมีคนของผมอยู่แล้ว’
พรชิตายังพูดไม่ทันจบปัฐวิกรก็สวนขึ้นมา
‘คะ?’
คำพูดของเขาดูกำกวมจนเธอต้องย้ำ
‘ขอโทษนะครับ’
ชายหนุ่มไม่อธิบาย แต่เขาถอยออกห่างพรชิตา แล้วเดินมาทางเธอ มาลินีจึงรีบหลบผลุบไปทางห้องน้ำหญิง รอให้ทั้งสองคนเดินไปก่อนแล้วจึงตามไปอีกที
สถานการณ์ที่ได้เห็นเพื่อนอ่อยปัฐวิกรทำให้มาลินีวางเฉยใจเย็นเรื่องที่ชายหนุ่มบอกว่าคบกับน้องสาวของตน คิดว่าเธอควรจะขอบคุณเขาสักหน่อยเรื่องที่ช่วยมาธาวี เพราะยังไม่ได้พูดเลย หากไม่เอ่ยอะไรก็ไม่ได้ทำคะแนน
“คุณปัฐยังอยู่เชียงใหม่ต่อหรือกลับพรุ่งนี้เลยคะ”
มาลินีถามขึ้นขณะที่ชายหนุ่มกำลังขับรถไปส่งตนกับน้องสาวที่บ้าน
“อยู่ดูงานแทนนายกลางสักสามสี่วันน่ะครับ”
“อ๋อ งั้นดีเลยค่ะ หนึ่งอยากเลี้ยงข้าวขอบคุณที่คุณช่วยยายสอง”
“ไม่เป็นไรครับ ยังไงผมก็ต้องช่วยอยู่แล้ว”
“แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณค่ะ”
มาลินียืนยัน ขณะคนที่ได้รับความช่วยเหลือนั่งเงียบ ไม่เสนอตัวหรือพูดขอบคุณชายหนุ่มแม้แต่คำเดียว
“เอาอย่างนี้ไหมคะ ยังไงคุณแม่ก็ชวนคุณปัฐเอาไว้แล้ว คุณปัฐไปทานข้าวเย็นที่บ้านสักมื้อนะคะ”
เธอนึกขึ้นมาได้พอดี นับว่าเป็นความคิดที่ดีไม่น้อย เพราะจะช่วยให้ชายหนุ่มได้ทำความรู้จักกับครอบครัวของเธอมากขึ้นและเธอเองก็จะมีโอกาสใกล้ชิดกับเขาด้วย
“ใช่ไหมยายสอง”
หญิงสาวหันไปหาตัวช่วยเพราะอย่างน้อยมาธาวีก็ควรขอบคุณเขาเช่นกัน
“เอ่อ...”
“เธอต้องขอบคุณคุณปัฐนะ ถ้าคุณพ่อคุณแม่รู้ก็ต้องอยากตอบแทนที่เขาช่วยเธอ”
มาลินีเอาพ่อกับแม่มาอ้างทำให้มาธาวีชักหน้าเสีย
“เรื่องนี้สองว่าอย่าให้คุณพ่อคุณแม่รู้ดีกว่านะคะ”
มาธาวีไม่อยากให้พวกท่านไม่สบายใจกับเรื่องเล็กน้อยของเธอ
“เธอจะปล่อยให้เรื่องเงียบไปเฉยๆ หรือไง ศักดิ์ชายน่าจะโดนตักเตือนบ้าง ถ้าคุณพ่อรู้ต้องคุยกับท่านผู้ว่าแน่”
“สองไม่อยากให้มันเป็นเรื่องใหญ่ แล้วคุณพ่อคุณแม่ก็จะไม่สบายใจเปล่าๆ”
คนเป็นพี่กำลังจะโต้กลับแต่ชายหนุ่มพูดขึ้นมาเสียก่อน เพราะรู้สึกได้ว่าทั้งสองพี่น้องคงไม่มีใครยอมกัน
“เอาเป็นว่าผมจะไปทานข้าวที่บ้านตามที่แม่เลี้ยงกับคุณหนึ่งเชิญก็แล้วกันนะครับ ส่วนเรื่องสองผมว่าอย่าให้พวกท่านรู้เลยครับ เพราะอาจจะเป็นห่วงยิ่งขึ้นมากกว่า”
เมื่อเขาตัดสินใจ โดยทำตามความต้องการของทั้งคู่มาลินีจึงยิ้มหวาน ขอแค่ปัฐวิกรไปที่บ้านตามคำชวนเธอก็ไม่มีปัญหาอะไร
มาธาวีถอนหายใจโล่งอกที่เรื่องจะไม่ถึงหูพ่อกับแม่ของตน แม้จะสะดุดใจกับคำเรียกเธอของชายหนุ่มแต่ก็ปล่อยผ่านไป
รถเลื่อนมาจอดหน้าเรือนไม้สไตล์เหนือหลังใหญ่ที่มีพื้นที่ภายในค่อนข้างกว้าง เพราะเขาขับรถเข้ามาค่อนข้างไกลหลังผ่านประตูมากว่าจะถึงตัวบ้าน
ทั้งสองสาวกล่าวขอบคุณเขาก่อนจะลงจากรถ ซึ่งชายหนุ่มก็ตามลงมาด้วยเพราะไม่อยากขับออกไปโดยไม่ลงจากรถ ด้วยค่อนข้างเสียมารยาท
“คุณปัฐจำทางกลับได้ใช่ไหมคะ”
มาลินีถามขึ้นหลังจากสองสาวเดินมายังฝั่งที่เขายืนอยู่เพราะเป็นส่วนหน้าบ้าน
“ครับ”
“ขับรถดีๆ นะคะ”
คนเป็นพี่สาวบอกเขาพร้อมยิ้มหวานให้ ทว่าน้องสาวกลับมองเฉยๆ ปัฐวิกรจ้องเจ้าของร่างอรชรด้วยความขัดใจที่อีกฝ่ายดูไม่ใส่ใจเขาเท่าไรทั้งที่เขาช่วยเธอ คำขอบคุณมาธาวีก็ยังเอ่ยไม่สักคำ
“สองจะไม่พูดอะไรเลยเหรอ”
ชายหนุ่มถามขึ้นทำเอามาธาวีมีสีหน้างุนงง ขณะที่มาลินีมองเขาอย่างแปลกใจ
“อะไรล่ะคะ?”
มาธาวีถามกลับเพราะไม่เข้าใจคำถามของเขา
“มานี่สิ”
คนถูกเรียกยังยืนนิ่งไม่ขยับ พร้อมกับเริ่มมองชายหนุ่มด้วยสายตาระมัดระวัง มาลินีเห็นน้องสาวทำท่าทางเหมือนไม่ไว้ใจปัฐวิกรก็หงุดหงิดจึงพูดออกมา
“นี่ยายสอง ดูมองคุณปัฐเข้าสิเด็กคนนี้ เธอต้องขอบคุณเขานะ ไม่ใช่มามองเขาแบบนี้”
หลังจากดุน้องสาวด้วยท่าทางของคนที่โตและมีวุฒิภาวะกว่าแล้วมาลินีก็หันไปยิ้มให้ปัฐวิกรและออกตัวแทน อยากให้ชายหนุ่มเห็นถึงความเป็นผู้ใหญ่ของตัวเอง
“ยังไงหนึ่งต้องขอบคุณคุณปัฐแทนยายสองด้วยนะคะ ที่ช่วยยายสอง ถึงกับบอกว่าเป็นคู่หมั้นแน่ะ”
ท้ายประโยคพูดออกมาขำๆ เห็นว่าเป็นเรื่องตลก เพราะแค่อ้างว่าเป็นแฟนก็น่าจะพอแล้ว
ปัฐวิกรหันมาทางคนพูด ใบหน้าขาวคมเรียบสนิท แววตาคมล้ำลึกฉายแววบางอย่างที่คนมองรู้สึกหวั่นใจแปลกๆ หากก็ยังยิ้มสู้
“อายุอย่างผมพูดว่าคู่หมั้นน่าเชื่อถือกว่าครับ”
ชายหนุ่มยังอ้างเหมือนเดิม นั่นทำให้มาธาวีแอบเบะปาก
“ถึงจะแค่เป็นแฟนกันก็เถอะ”
คนที่เบะปากชะงัก ฉุกคิดตามที่ชายหนุ่มพูดแล้วหันไปมองเขาพร้อมกับคิดว่าเธอฟังหรือตีความผิดไปหรือเปล่า
ขณะที่มาลินีค่อยๆ หุบยิ้มลง คิ้วเรียวสวยขมวดฉับ แล้วเอ่ยถามออกไปตามตรงเพราะเธอเป็นคนไม่ชอบปล่อยให้อะไรค้างคาใจ
“คุณปัฐพูดว่ายังไงนะคะ”
“พูดว่า...ผมกับสองเป็นแฟนกันครับ”
ชายหนุ่มย้ำชัดถ้อยชัดคำ
“พูดอะไรของคุณ”
มาธาวีโพล่งออกมา ทว่าพอตาคมตวัดมาทางเธอและจ้องนิ่งหญิงสาวกลับพูดไม่ออก แม้ใบหน้าขาวคมเรียบเฉยแต่แววตาเขาสั่งให้เธอเงียบ
=====
หลังจากเอาของมาเก็บในวิลล่าแล้วมาธาวีก็อาบน้ำทันทีเพราะก่อนหน้านี้เธอเหงื่อท่วมไปทั้งตัวจึงอยากสบายตัว แล้วคิดว่าจะนอนเอาแรง เย็นกว่านี้หน่อยค่อยออกไปเดินเล่นข้างนอก แต่ก็ยังอดระแวงว่าอาจจะเจอคุณากรไม่ได้ ทว่ามาคิดอีกที ในเมื่อหมอนั่นมากับแฟนก็คงไม่มาวุ่นวายกับเธอ หญิงสาวพยายามคิดในแง่ดีระหว่างที่อาบน้ำ แต่เมื่อเปิดประตูห้องน้ำก้าวออกมาก็แทบกรีดร้องเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของใครคนหนึ่ง“กรี๊...อุ๊บ!”มือหนาปิดปากเธอพร้อมกับรวบเอวเล็กเข้าไปชิดทันที ที่สำคัญเธอเพียงแค่พันตัวด้วยผ้าขนหนูเพราะเห็นว่าอยู่ในนี้คนเดียว“อือ...อือ...”มาธาวีประท้วงพร้อมกับดิ้นรนจะให้หลุดออกจากอ้อมกอดอีกฝ่าย“ผมไม่อยู่ด้วยเมื่อไรสองชอบทำตัวเซ็กซี่ทุกทีเลย”ปัฐวิกรก้มลงมากระซิบข้างใบหูเล็ก ขณะที่คนตัวเล็กยังดิ้นไม่หยุด ทว่าเขายอมปล่อยแค่ปากเธอ เพราะคิดอยากใช้อย่างอื่นปิดแทนเมื่อได้เห็นเรือนร่างงามสุดล่อแหลมต่อหน้าต่อตา ไม่คิดว่าการตั้งใจเข้ามาเซอร์ไพรส์อีกฝ่ายจะโชคเข้าข้างขนาดนี้“คุณมาที่นี่ได้ยังไง”“ขับรถมาสิครับ”“คุณ...ไม่เห็นบอกว่าจะมา”คนที่ตั้งใจต่อว่าอีกฝ่ายในตอนแรกเสียงเบาลงเพราะรู้สึกว่า ชายหนุ่มเบียดชิด
มาธาวีไม่ได้ใส่ใจนักเมื่อกัญญานันบอกว่ามีคนรู้จักจะขึ้นไปพักบนภูด้วย แม้จะแปลกใจเล็กน้อยเมื่อรถมาจอดที่โรงแรมนี้ แต่คิดว่าอาจเป็นเพื่อนของเปรมินทร์ กระทั่งประตูรถตู้เปิดและเห็นคนที่ขึ้นมา เธอก็ชะงัก อีกฝ่ายมองเธอ ยิ้มแล้วยกมือไหว้เธอกับกัญญานัน ทว่าคนเพิ่งรู้เรื่องถึงกับหน้าร้อนเลยทีเดียว แต่เมื่ออีกคนตามขึ้นมา มาธาวีก็ถึงกับผงะหน้าถอดสี เธอนั่งอยู่ด้านนอกจึงเห็นคนขึ้นใหม่ชัดเจน ซึ่งอีกฝ่ายก็มองเธอเล็กน้อยแล้วตามไปนั่งกับหญิงสาวคนแรกมือบางกำแน่น เหงื่อเริ่มซึมและหายใจหนักขึ้นทั้งที่พยายามระงับตัวเองแล้ว แต่ใจมาธาวีเต้นรัว ความวิตกกลับมาครอบงำในทันใดกัญญานันมองเพื่อนข้างตัวที่รู้สึกว่าเงียบผิดปกติ เพราะไม่แอบกระซิบถามไถ่หรือโวยวายกับเธอสักนิด แล้วก็เห็นว่ามาธาวีนั่งก้มหน้านิดๆ คิ้วขมวดมุ่น เธอจึงยื่นมือไปจับมือเพื่อนที่กำอยู่เบาๆ“สอง เป็นอะไร”อีกฝ่ายสะดุ้งแล้วหันมามองเธอราวกับเพิ่งรู้สึกตัว ดวงหน้าใสซีดเผือด ดวงตาหวาดหวั่นอย่างเห็นได้ชัด มาธาวีไม่ตอบแต่เลื่อนอีกมือมาวางทับมือเธออีกที พร้อมกับกัดริมฝีปากล่าง ยิ่งทำให้เธอสะดุดใจ จึงจับมือเพื่อนทับอีกชั้น รู้สึกได้เลยว่าอีกฝ่ายตัวเย็น
“บ่ายนี้คุณไม่ต้องคุยกับผู้รับเหมาแล้วก็ได้นะ ผมจัดการเอง”ปัฐวิกรเอ่ยขึ้นเมื่อมาส่งเธอถึงโรงเรียนในตอนเช้า นับแต่ตื่นนอนทั้งสองคนเพิ่งคุยกันเป็นประโยคแรก ชายหนุ่มตื่นก่อนเธอ อาบน้ำแล้วออกจากห้องไปรอข้างล่างเลย มาธาวีตื่นขึ้นมาก็ไม่เห็นเข้าแล้ว ระหว่างมื้ออาหารเช้าเขาก็พูดคุยกับบิดาเธอเสียเป็นส่วนใหญ่ แม้ทุกอย่างจะดูปกติในสายตาคนมองทว่ามาธาวีกลับอึดอัดแต่ก็ยังวางเฉย เชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองทำเป็นแบบนี้ก็ดี เขาจะไม่ได้มายุ่งวุ่นวายกับเนื้อตัวเธออีก หญิงสาวบอกตัวเองอย่างนั้น“เหรอคะ ก็ดีค่ะ”เธอตอบกลับสั้นราวไม่ใส่ใจใดๆชายหนุ่มจึงเพียงพยักหน้ารับแล้วบอก“ผมจะเข้าร้านแล้วไปที่บ้านคุณ แล้วจะมารับไปคอนโด”เมื่ออีกฝ่ายพูดถึงคอนโดเธอก็ขมวดคิ้ว ทว่าไม่อยากทักท้วงให้เป็นเรื่องเป็นราว แต่กลับนึกบางอย่างขึ้นมาได้แทน“จริงๆ ฉันอยากขึ้นภูกับก้อย ไม่ได้ขึ้นไปเลย นานมากแล้ว อยากหาเวลาพักผ่อนบ้างน่ะ”“ได้สิ”ปัฐวิกรขมวดคิ้วเพียงชั่วอึดใจแต่สุดท้ายเขาก็ตอบรับโดยไม่ซักอะไรมาธาวีเองก็ยังงงที่ชายหนุ่มไม่มีปัญหาที่เธอจะไม่กลับคอนโดกับเขา หรือเขาจะตั้งใจเว้นระยะห่างกับเธออย่างที่บอก เลยไม่ได้สนใจนักว่าเ
ปัฐวิกรกับมาธาวีพักที่บ้านของหญิงสาวอีกครั้ง โดยชายหนุ่มบอกว่าเขานัดผู้รับเหมามาคุยแบบบ้านและดูที่ที่พ่อเลี้ยงจัดสรรปันส่วนให้ ซึ่งท่านก็รับรู้แล้ว และเขาอยากให้เธออยู่คุยด้วย“แต่ฉันมีสอนพรุ่งนี้นี่นา”มาธาวีนั่งขัดสมาธินั่งดูโซเชียลอยู่บนเตียงของตนขณะที่ชายหนุ่มซึ่งเพิ่งออกมาจากห้องน้ำชวนเธอคุยเธอเลี่ยงขึ้นมาทันทีที่เสร็จมื้อเย็นแล้วรีบอาบน้ำ ปล่อยให้ปัฐวิกรคุยกับบิดาและอธิปไป ชายหนุ่มมาก็ตอนที่อธิปกลับไปแล้ว“จะปล่อยให้ก้อยสอนคนเดียวได้ยังไง”อีกฝ่ายดูเงียบไปเมื่อเธอพูดแบบนั้น ก่อนจะถอนหายใจออกมา“แค่ช่วงเช้าไม่ใช่เหรอ”ปัฐวิกรรู้ทัน ก่อนจะพูดต่อ“ผมจะไปส่งแล้วก็รอรับคุณกลับเลย”“หา??”คนได้ยินมองคนพูดด้วยสีหน้าเหวอ“คุณดื้อ ผมไม่ไว้ใจ เกิดหนีผมออกไปที่อื่นก่อนอีกผมจะทำยังไง”เมื่อโดนดักทางเอาไว้ก่อน คนเคยมีประวัติหนีก็ได้แต่เบะปาก ก่อนจะนึกขึ้นได้“คุณไปดูร้านก็ได้มั้ง อยู่ใกล้ๆ กันเอง เด็กผู้หญิงเยอะแยะเห็นคุณนั่งอยู่คงเขินกันแย่”“ผมเข้าไปรอในห้องนอนก็ได้”“ไม่ได้!”มาธาวีสวนขึ้นทันที ทำเอาปัฐวิกรมองอย่างแปลกใจ ร่างสูงใหญ่ไปนั่งที่โต๊ะทำงานตัวเล็กของเธอเหมือนครั้งก่อน แม้จะดูไม
“จะเปิดตัวแฟนใช่ไหมเอ่ย?”คนถามเอามือไพล่หลัง ยื่นหน้าใส่คนที่เพิ่งก้าวออกจากประตูห้องนอนมา ทำเอาคนเป็นพี่สาวถึงกับสะดุ้งเบาๆ“โอ๊ย...ยายสอง อยู่ๆ ก็โผล่มา”มาลินีหันมาทำตาดุใส่น้องสาว“แน่ะ ทำดุกลบเกลื่อน ตอบมาซะดีๆ”มาธาวีไม่มีท่าทีกลัวอีกฝ่ายแต่อย่างใด ทั้งยังยักคิ้วให้อีกด้วย“แค่ชวนเขามา เธอก็คิดว่าเขาเป็นแฟนฉันหรือไง”ทั้งที่พูดเสียงเข้มแต่มาลินีหน้ามีสีเรื่อและหลบตา ทำให้คนที่จับตาดูอยู่แล้วยิ้มกว้าง“ก็มันไม่มีเหตุผลที่อยู่ๆ พี่หนึ่งจะชวนคุณอธิปมา แล้วพี่หนึ่งก็บอกไว้แล้วด้วยว่ามีเรื่องสำคัญจะบอกทุกคน พอชวนผู้ชายมาบ้านแบบนี้ มันใช่เลยค่ะ”มาลินีจ้องหน้าเธออย่างหงุดหงิดแล้วสะบัดหน้าก้าวหนี ทว่ามาธาวีรั้งเอาไว้“พี่หนึ่งอยากมีใครสักคนใช่ไหมคะ”เท้าของมาลินีชะงักกึก แต่ไม่ได้หันกลับมา เธอจึงพูดต่อ“วันนั้น...ที่ห้องสอง พี่หนึ่งได้ยินใช่ไหม”ไหล่บางเกร็งอย่างเห็นได้ชัด ทำเอาคนถามชักหน้าร้อนขึ้นมาเหมือนกัน“ได้ยินแล้วมัน...หวิวๆ รู้สึกเปลี่ยวใจล่ะสิ”คนฟังหันกลับมายกมือชูแล้ววาดใส่ทันที ขณะที่มาธาวีแกล้งสะดุ้งหากก็หลบได้ทันพร้อมกับยิ้มขำท่าทางของพี่สาว ใบหน้าสวยแดงเรื่อ แถมยังทำหน้
ใครหลายคนอาจยิ้มรับหรือไม่ก็คงขัดเขินหากว่ามีสามีมารับถึงที่ทำงาน ทว่ามาธาวีกลับเพียงเหลือบมองชายหนุ่มแล้วถอนหายใจ ซึ่งเธอรออยู่ที่โรงเรียนคนเดียวเช่นเคย เพราะรถบนภูมารับกัญญานันกลับไปแล้ว พนักงานต้อนรับก็เลิกงานแล้วปัฐวิกรเห็นหน้าภรรยาของตัวเองก็ถึงกับขมวดคิ้ว“นอกจากคุณไม่เคยโทรหาผมเลยตอนที่ผมไม่อยู่ คุณยังทำหน้าเหมือนไม่อยากเจอผมด้วยนะสอง”เขาตำหนิคนตัวเล็ก ทว่าอีกฝ่ายกลับยิ้มมุมปาก ลุกขึ้นสะพายกระเป๋าของตน“คุณก็ไม่โทรหาฉันเหมือนกันแหละน่า”ชายหนุ่มตาวาววับเมื่อหญิงสาวสวนกลับมาทันควัน“ก่อนหน้านั้นคุณยังบอกว่าจะโทรหาผมอยู่เลย ผมก็เลยรอให้คุณโทรมาทุกวัน”มาธาวีมองคนที่กวนแบบหน้าตายแล้วขุ่นใจจนต้องกำมือแน่น ระงับตัวเองไม่ให้ยกมือทุบเขาเข้าให้ แถมอีกฝ่ายก็อายุมากกว่าเธอหลายปี ทำแบบนั้นลงไปยิ่งไม่เหมาะสม เธอจึงเลือกเชิดหน้าเดินผ่านเขาออกไป ข้างนอกแทนปัฐวิกรมองตามคนที่เม้มปากเดินกำมือตัวตรงแน่วก้าวไปอย่างกระแทกกระทั้นแล้วก็ยิ้มบาง แปลกที่เห็นหน้าขุ่นเคืองของอีกฝ่ายแล้วเขาดันใจเต้นเสียอย่างนั้น นึกอยากจูบแก้มเนียนใสป่องๆ นั่นขึ้นมาร่างสูงใหญ่ตามหญิงสาวออกไป ช่วยปิดประตูเหล็กให้เธอ โด