“เมาแล้วก็กลับบ้าน หรือไปพักโรงแรมใกล้ๆ นี่ดีกว่าไป มา...เดี๋ยวฉันไปส่ง”
อธิปตัดบท พร้อมหันไปเรียกเพื่อนร่วมงานอีกคน
“ไอ้พีมาช่วยกันหน่อย”
“ไม่เมา ไม่กลับโว้ย”
ศักดิ์ชายโวยวาย แต่ไม่มีแรงสะบัดใครออก ที่อธิปเรียกคนมาช่วยเพราะอีกฝ่ายตัวหนากว่าเขา และคนเมาก็ยิ่งหนักขึ้นกว่าเดิม ถึงจะดูไม่ยินยอมเท่าไรหากอธิปกับเพื่อนก็สามารถรั้งให้คนก่อเรื่องออกไปได้
“เขายังไม่ได้ทำอะไรคุณใช่ไหม”
ปัฐวิกรหันไปถามหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างหลังตนเองทันที
มาธาวีส่ายหน้าเบาๆ ดวงหน้าเล็กค่อนข้างซีด แววตาบ่งบอกว่าไม่ค่อยสบายใจนัก
“พี่ต้องขอโทษด้วยนะจ๊ะสอง ที่เพื่อนก่อเรื่อง ขอโทษคุณปัฐด้วยนะคะ ไม่บาดเจ็บอะไรใช่ไหมคะ”
พรชิตาถามด้วยความเป็นห่วง ตอนนั้นเองมาลินีก็เข้ามายืนข้างชายหนุ่มท่าทางดูลำบากใจไม่น้อยเช่นกัน
“หนึ่งก็ต้องขอโทษนะคะ ที่น้องสาวพลอยทำให้คุณต้องเดือดร้อนไปด้วย”
ชายหนุ่มตวัดตาคมมามองคนพูดครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปมองน้องสาวของอีกฝ่าย เห็นมาธาวียังสีหน้าไม่ดี เขาจึงพูดขึ้น
“ผมไม่เป็นไร คุณควรห่วงน้องสาวคุณมากกว่า เพราะเธอถูกลวนลาม”
“เอ่อ...”
มาลินีถึงกับพูดไม่ออก เหล่มองน้องสาวแล้วก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายดูค่อนข้างตกใจไม่น้อยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เธอเองมัวแต่กลัวว่าชายหนุ่มจะโมโหจึงรีบพูดเอาใจเขา เพราะเห็นว่าพรชิตากำลังทำคะแนนอยู่ จนลืมสังเกตมาธาวีไป
“ช่างเถอะ ผมว่ากลับกันดีกว่า น้องคุณคงไม่อยากอยู่ต่อแล้ว”
ปัฐวิกรตัดสินใจแล้วหันไปพูดกับเจ้าของงาน
“ขอบคุณที่เชิญมานะครับ ผมกลับก่อนดีกว่า”
พูดแล้วก็หันไปทางมาธาวี ชนิดที่พรชิตายังไม่ทันขยับปากบอกเขาว่า ‘ยินดี’ ด้วยซ้ำ
“กลับกันเถอะ”
มือหนายื่นมาจับข้อมือเล็กของเธอแล้วพาให้ก้าวตามเขาไปโดยที่มาธาวีได้แต่มองพี่สาวทีมองพรชิตาทีอย่างไม่รู้จะพูดอะไร ขณะที่มาลินีมองมือของทั้งสองคนพร้อมขมวดคิ้ว ก่อนจะเดินไปด้วย ส่วนพรชิตารีบเอ่ยขึ้น
“เดี๋ยวตาไปส่งค่ะ”
เมื่อเจ้าของงานเดินออกไปข้างนอก และพนักงานในร้านเข้ามาเคลียร์พื้นที่เกิดเหตุการณ์ บรรดาแขกจึงได้แต่มองหน้ากัน แล้วก็กลับไปนั่งที่โต๊ะของตัวเองแบบกร่อยๆ แต่จะกลับเลยก็ต่างเกรงใจพรชิตาจึงรอให้หญิงสาวกลับเข้ามาก่อน
ร่างสูงใหญ่ก้าวยาวและเร็วจนมาธาวีแทบตามไม่ทัน หากก็พยายามเร่งฝีเท้าตามกระทั่งไปถึงรถของชายหนุ่ม เธอค่อยๆ ดึงมือออกจากมือของอีกฝ่ายเบาๆ ขณะที่พี่สาวของเธอกับเพื่อนพี่สาวมาถึงเช่นกัน
“ขอโทษสองกับคุณปัฐอีกครั้งนะคะที่เกิดเรื่องแย่ๆ ขึ้น”
พรชิตาเอ่ยซ้ำอย่างไม่สบายใจ อีกอย่างเธอมีบางเรื่องที่ยังต้องการความชัดเจนจึงพูดเข้าเรื่องด้วยความอยากรู้
“ว่าแต่เรื่องคู่หมั้นนี่ คุณปัฐอ้างกับศักดิ์ชายเพื่อช่วยสองใช่ไหมคะ”
นอกจากพรชิตาแล้วมาลินีเองก็อยากรู้เช่นกัน ทว่าเธอค่อนข้างมั่นใจว่าชายหนุ่มอ้างข่มอีกฝ่ายเพียงเท่านั้น เพราะเธอรู้ว่าน้องสาวกับปัฐวิกรก็ไม่ได้สนิทสนมหรือเจอกันบ่อยนัก เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นคู่หมั้นกัน
“ครับ ผมไม่ได้เป็นคู่หมั้นสอง”
คำตอบของชายหนุ่มทำให้สองสาวที่รอคอยอยู่ระบายยิ้ม ขณะที่มาธาวีไม่คิดอะไรเพราะรู้อยู่แล้วว่าปัฐวิกรตั้งใจช่วยเธอ
“แต่เป็นแฟน”
จบคำพูดนั้น ไม่ใช่มีเพียงสองสาวที่ถึงกับอึ้ง มาธาวีเองก็มึนไปด้วยเหมือนกัน ไม่เข้าใจว่าอยู่ๆ ทำไมปัฐวิกรต้องบอกพรชิตาแบบนั้น ในเมื่อเวลาไม่มีผู้ชายคนนั้นอยู่ด้วยสักหน่อย
“คุณ...กับสอง...คบกันเหรอคะ”
พรชิตาเป็นคนถามขึ้น
มาลินีเองก็ขยับปากเหมือนกันแต่ถามไม่ทันเพื่อน ทว่าพอมาคิดดูอีกทีเธอก็เงียบไปเพราะกำลังคาดเดาความคิดของปัฐวิกร
“ใช่ครับ เราคบกัน”
ชายหนุ่มตอบพร้อมหันกลับไปโอบไหล่บางให้ขยับมายืนข้างกับเขา
“ผมกำลังจะขอสองหมั้น ก็เลยบอกหมอนั่นไปแบบนั้น”
เขาบอกต่อราวกับมันเป็นเรื่องจริง
มาธาวีคงค้านออกมา หากไม่รู้สึกถึงแรงกระชับเล็กน้อยที่หัวไหล่ตนเองเหมือนครั้งที่เขาใช้เธออ้างกับสาวใหญ่คนนั้น
ปัฐวิกรกำลังต้องการให้พรชิตาเข้าใจผิดเรื่องเขากับเธอ
หญิงสาวเหลือบมองพี่สาวของตนก็เห็นว่าฝ่ายนั้นก็เพียงมองเงียบๆ และเม้มปากนิดๆ มาลินีน่าจะอ่านเกมของชายหนุ่มออก และอีกฝ่ายก็รู้ดีว่าเธอกับปัฐวิกรไม่ได้เป็นอะไรกัน แถมเขายังเป็นคนที่พี่สาวของเธอเล็งเอาไว้ด้วย
“เอ่อ...ถ้าอย่างนั้น...”
เห็นชัดว่าพรชิตาหน้าแห้งไปเลยทีเดียว แล้วยังเอ่ยอย่างอึกอักมองเธอกับชายหนุ่มสลับกันด้วยสายตาที่ราวกับเสียใจ
“ตาขอโทษกับเรื่องนั้นด้วยนะคะ”
หญิงสาวเสียงอ่อยลง
“คิดเสียว่าตา ไม่เคยทำอะไรแปลกๆ ...นะคะ”
พรชิตาย้ำกับชายหนุ่ม แล้วมองเธอแวบหนึ่งราวกับรู้สึกผิด นั่นทำให้มาธาวีเดาเอาว่าอีกฝ่ายอาจจะรุกหนักเกินไปจนปัฐวิกรต้องใช้เธอเป็นโล่ป้องกันซ้ำอีก
“ครับ”
ปัฐวิกรตอบรับเพียงสั้นๆ เป็นความนัยรู้กันเพียงสองคนเท่านั้น
จากนั้นพรชิตาก็ขอตัวแล้วเอ่ยลาเพื่อนของตนก่อนจะกลับเข้าไปข้างในด้วยท่าทางที่ดูหงอยเล็กน้อย
มาลินีมองตามเพื่อนแล้วจะหันกลับมาพูดบางอย่างทว่าปัฐวิกรเปิดประตูรถด้านข้างคนขับพร้อมกับดันให้มาธาวีขึ้นไปนั่งแล้ว คิ้วเรียวขมวดอย่างขุ่นใจ แต่เมื่อชายหนุ่มหันมาทางเธอพร้อมกับเปิดประตูทางด้านเบาะหลังให้หญิงสาวก็ยิ้มหวานกล่าวขอบคุณและขึ้นรถไป เก็บสิ่งที่อยากพูดเอาไว้ในใจ
=====
หลังทำบุญขึ้นบ้านใหม่ของปัฐวิกรกับมาธาวีที่ราวเป็นการรวมญาติเล็กๆ แล้วช่วงเย็นก็มีเลี้ยงภายในครอบครัว ครอบครัวอรรถพันธ์พงศ์มาครบเช่นเคย โดยคืนนี้ก็จะค้างที่บ้านหลังใหญ่ของพ่อเลี้ยงศราเช่นเดิม ซึ่งลัลนาเพียงนั่งเงียบๆ ข้างมารดาหากก็ไม่เย็นชาจนเกินงาม แม้จะมีโจทก์เก่าอยู่ถึงสองคนก็ตาม เพราะอย่างไรก็ต่างคนต่างอยู่กันแล้ว ชีวิตต้องเดินหน้าต่อไปบ้านที่เชียงใหม่เสร็จก่อนเพราะปัฐวิกรเห็นว่ามาธาวีอยู่ที่นี่ ส่วนที่บ้านอรรถพันธ์พงศ์ก็ค่อยเป็นค่อยไป ไว้ใช้ตอนเขาพาหญิงสาวไปเยี่ยมครอบครัว หรือเวลาที่จำเป็นต้องไปทำธุระ ส่วนงานชายหนุ่มให้กิตติกรดูแลทางกรุงเทพฯ เป็นหลักแล้วในตอนนี้ ทว่าทั้งสองคนก็ยังคุยกันทุกวันและปัฐวิกรบินไปมาแต่ไม่ทุกอาทิตย์เหมือนเมื่อก่อนทว่านั่นทำให้ปัญหาเกิดขึ้นกับทางโรงเรียน ‘นาฏช่างฟ้อน’ ของสามสาว“ปรางขอโทษนะคะคุณก้อย สอง”พิมพ์ปรางบอกเพื่อนหน้าละห้อยขณะพาลูกเข้ามากล่อมนอนในห้อง โดยมีสองสาวเพื่อนซี้ตามมาด้วย“ไม่เป็นไร ตอนนี้ก็ช่วยกันไปก่อน แต่ถ้าก้อยคลอด สองก็จัดการได้อยู่ดี”มาธาวียักไหล่ยิ้มๆ รู้ว่าพิมพ์ปรางไม่สบายใจ เพราะจนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถกลับมาช่วยเพื่อนที่โรงเร
“มาสิครับ”ปัฐวิกรเอ่ยด้วยเสียงเย้ายวนใจ เมื่อหญิงสาวกล้าที่จะเริ่มต่อจากนั้นเขาก็เป็นคนช่วยเธอ แล้วร่างสองร่างก็แนบสนิทอย่างที่สุดพร้อมเสียงครวญยาวในลำคอของคนตัวเล็กเพราะเธอเกร็งและกลัวจนเขาต้องลูบหลังปลอบใจเธอก้มหน้าลงซบซอกคอแกร่งเมื่อถูกกระแสรัญจวนครอบงำ ตัวสั่นเบาๆ ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร เพราะเพียงแค่นี้ทั้งร่างของเธอก็แทบจะระเบิดแล้ว แต่แล้วมือหนาก็วางลงบนเอวเธอชักนำพร้อมเอ่ยเสียงทุ้มพร่า“ทำให้ผมละลายเพราะคุณสิสอง”ไม่รู้เพราะเสียงบอกกระตุ้นหรือเพราะแรงรั้งจากมือหนาทำให้สะโพกเธอเริ่มขยับตาม แล้วก็ต้องปล่อยเสียงของความอัดอั้นออกมาเพราะรู้สึกถึงความทรมานแสนหวานที่มากยิ่งกว่า“ดีที่รัก”ปัฐวิกรยังให้กำลังใจขณะที่เขาเองก็เดินหน้าเช่นกันเพราะกำลังของคนตัวเล็กบางเบาเกินกว่าจะนำพาเขาได้ ทว่าก็สร้างความหวามในอกอย่างสุดแสนไม่น้อยเลย แต่เขารู้ว่ามาธาวีอายเกินกว่าจะก้าวไปไกลกว่านี้เขาจึงจัดการทุกอย่างเอง หากร่างทั้งสองก็เป็นท่วงทำนองเดียวกัน จนเขาได้ยินเสียงหอบหนักขึ้นเรื่อยๆ จากหญิงสาว ไม่นานร่างอรชรก็สะดุ้ง แขนเรียวกอดเขาฝังหน้าเล็กร้องในลำคอ นั่นทำให้เขาเร่งร้อนสะโพกแกร่งเพื่อจะตามคนตั
“แป๊บนะครับ”ปัฐวิกรถอนจูบแสนหวามออกมากระซิบเสียงพร่าแล้วถอดเสื้อยืดของตนออกอย่างรวดเร็วหญิงสาวกวาดตามองเรือนร่างกำยำของคนที่ตนนั่งอยู่บนตักเขาเร็วๆ แล้วก็เขินจนหน้าแดง เธอไม่ค่อยสนใจอีกฝ่ายเวลาใกล้ชิดกันก่อนหน้านี้เลยเพราะถูกฝืนใจ แต่เวลานี้ร่างกายและใจสาวกำลังรอคอยทำให้อดอายความรู้สึกของตัวเองไม่ได้อยู่ๆ ชายหนุ่มก็จับเอวเธอยกขึ้นทำให้มาธาวีตกใจนิดๆ จนตัวเกร็ง“อะ...อะไรคะ”แล้วเขาก็จับกางเกงขาสั้นของเธอ คราวนี้มาธาวีรู้ได้ทันทีว่าชายหนุ่มตั้งใจจะถอดท่อนล่างที่เหลืออยู่“อื้อ”หญิงสาวประท้วงอีกฝ่ายพร้อมจับมือเขาอย่างไม่ยินยอม เธอเขินจนทำตัวไม่ถูกแล้ว ตรงนี้เป็นห้องรับแขก แถมไฟสว่างจ้า ประสบการณ์รักของเธอก็น้อยนิด ทุกครั้งแทบจะหลับตาตลอดเพราะไม่พอใจและกลัว แต่เขาจะมาให้เธอถอดโชว์เผยสัดส่วนทั้งตรงนี้ ตอนนี้เลยได้อย่างไรปัฐวิกรสบตาเธอครู่หนึ่ง แววลุ่มลึกในนั้นคมเข้มจนหญิงสาวหวั่นใจ แต่เขาก็ไม่ได้บังคับ เมื่อยอมละมือจากกางเกงของเธอเขาก็เปลี่ยนมาเกาะกุมอกอวบที่ยังมีเสื้อชั้นในโอบรั้งไว้ เคล้าคลึงเบามือ จนคนที่ไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ทั้งที่จับมือเขาอยู่ถึงกับแอ่นเข้าหาชายหนุ่ม มือหนา
สามเดือนผ่านไป...ปัฐวิกรพามาธาวีมาทำบุญตามที่คุยกันเอาไว้ ร่างกายของหญิงสาวดีขึ้นมาก ส่วนที่มีปัญหามากที่สุดคือแขนข้างที่กระดูกร้าว แต่ก็ดีขึ้นมากแม้จะยังขยับไม่ค่อยคล่องก็ตาม เขาจึงไม่ให้อีกฝ่ายถือหรือยกอะไรหนักนอกจากทำกายภาพ แต่ปัญหาหลักๆ ก็คือ มาธาวียังรำไม่ได้ และนั่นคือเรื่องใหญ่สำหรับหญิงสาวเขาจำได้ว่าตอนที่รู้สึกตัวได้เต็มที่แล้วพยายามจะขยับแขนแต่ทำไม่ได้มาธาวีร้องไห้ออกมาเงียบๆ เขาต้องคอยถามคอยปลอบอยู่ตั้งนานกว่าจะรู้ว่าอีกฝ่ายกลัวรำไม่ได้อีกตอนนี้โรงเรียนเป็นหน้าที่ของกัญญานันเป็นหลัก นับตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุขึ้นกับมาธาวีเลยก็ว่าได้“ไปที่ไหนต่ออีกไหม”หลังออกมาจากวัดแล้วชายหนุ่มก็ถามขึ้น“สองห่วงก้อยค่ะ รีบกลับไปช่วยก้อยดูเด็กๆ ดีกว่า”มาธาวีรู้ว่าเพื่อนท้องก็ดีใจอย่างมาก หลังออกจากโรงพยาบาลก็ไปอยู่กับกัญญานันที่คลาสตลอด แม้จะไม่ได้ช่วยอะไรมากก็ตาม ส่วนตอนไปดูแลเด็กแสดงที่ร้านเป็นเปรมินทร์ไปกับภรรยาของเขา เพราะปัฐวิกรเห็นว่าร่างกายของมาธาวียังไม่เหมาะจะไปไหนมาไหนในเวลากลางคืนและต้องรีบพักผ่อน“หวังว่าคุณแน็ตคงยกโทษให้สอง”หญิงสาวพึมพำเสียงเบาขณะอยู่บนรถ“สองตั้งใจทำบุญให้
ขณะที่คุณากรยืนมองนิ่ง เขาพอมองออกว่าอะไรเป็นอะไร ดูออกตั้งแต่วันที่นันทิยาแอบนัดให้ปัฐวิกรมารับที่ผับตอนอ้างกับเขาว่าจะไปเข้าห้องน้ำ เห็นหายไปนานเขาก็ไปตามแต่กลับไม่เจอตามหาจนออกมาข้างนอก ก็เห็นหญิงสาวเดินไปกับผู้ชายคนอื่น ตอนแรกเขาไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ตอนเห็นปัฐวิกรมาช่วยมาธาวีแล้วพาเดินไปด้วยกันเขาก็จำด้านหลังอีกฝ่ายได้“บังเอิญยังไง”ปัฐวิกรถามออกไป ยังมีความคิดว่า อาจจะเป็นการเข้าใจผิดอยู่เพียงเล็กน้อย“นุ๊ก...พี่สองเขาหึงนุ๊ก เขาเรียกนุ๊กไปคุยด้วย ซักไซ้นุ๊กเรื่องพี่ปัฐนุ๊กบอกว่าไม่มีอะไรก็ไม่เชื่อ เราเลยยื้อยุดกัน แล้วมันก็...”นันทิยาหยุดพูดแล้วร้องไห้ออกมาไม่หยุดคุณากรถึงกับถอนหายใจแล้วส่ายหน้าเพราะไม่มีวันเชื่อ ทว่าก็เพียงยืนมองเงียบๆ อยากรู้ว่าปัฐวิกรจะคิดอย่างไรปัฐวิกรถึงกับไม่รู้จะตีสีหน้าอย่างไรเลยทีเดียว เขาอึ้งกับคำพูดของอีกฝ่าย เป็นไปได้ยากที่มาธาวีจะหึงเขาในเมื่อรู้แล้วว่าเขาดูแลนันทิยากับครอบครัวแทนพี่สาว และหญิงสาวเองก็ยังรู้สึกผิดอยู่ไม่น่าจะทำร้ายน้องสาวของณัฐวราได้ เศษเสี้ยวหนึ่งของใจชายหนุ่มอยากจะเชื่อนันทิยาแต่เพราะการพูดออกมาได้โดยไม่หยุดคิดของอีกฝ่ายทำให้เ
สิ่งที่ได้ยินจากหมอทำให้ปัฐวิกรถึงกับขมวดคิ้วมุ่น ร่างกายของมาธาวีกระแทกหลายจุด แต่ที่หนักคือไหล่กับแขนข้างหนึ่งกระดูกแตกร้าว ยังดีที่ไม่ถึงกับหัก หัวที่แตกไม่ได้รับการกระทบกระเทือนถึงสมอง คนไข้หายใจได้เองปกติ ไม่มีภาวะหยุดหายใจ นั่นทำให้ชายหนุ่มโล่งอกไปส่วนหนึ่ง หากก็ยังเคร่งเครียดอยู่เพราะหญิงสาวยังไม่รู้สึกตัว“สองต้องไม่เป็นอะไรค่ะพี่ปัฐ”กัญญานันเข้ามาเกาะแขนเขาพร้อมน้ำตาคลอแต่ก็เห็นว่าอีกฝ่ายพยายามกะพริบตาและกลั้นน้ำตาของตัวเอง ชายหนุ่มจึงดึงร่างน้องสาวมากอด อีกฝ่ายก็แนบหน้าลงซบอกเขา ได้ยินเสียงสูดน้ำมูกเบาๆระหว่างนั้นเปรมินทร์ที่ออกไปคุยโทรศัพท์กับทางไร่เพราะดิสกลส่งสายให้ก็กลับเข้ามา สีหน้าค่อนข้างเรียบสนิทเดาอารมณ์ไม่ถูก“ตำรวจสอบปากคำทุกคนที่บ้านครบแล้วครับ”พวกเขาที่อยู่โรงพยาบาลได้ให้ปากคำกับตำรวจเรียบร้อยไปก่อนหน้านั้นแล้ว“แล้วก็บอกว่ามีคนที่น่าสงสัย ตอนนี้กักตัวอยู่ครับ รอผลพิสูจน์ลายนิ้วมือจากก้อนหิน ที่คนร้ายอาจจะจับใช้ตีหัวน้องสอง”กัญญานันหน้าเสีย ยกมือปิดปากเพราะในหัวเธอมีภาพนั้นลอยเข้ามาแล้วก็นึกสงสารเพื่อนจับใจ“ดีนะที่ให้ดูคุณากรไว้ตั้งแต่เมื่อคืน”ปัฐวิกรพูดขึ