“นี่หมายความว่า...”
มาลินีพึมพำเสียงเบา แววตาและสีหน้ามองเขาอย่างว่างเปล่า
“ใช่ครับ ผมกับสองคบกัน”
ปัฐวิกรยืนยันซ้ำอีก เขาไม่อยากให้ความหวังกับมาลินีเพราะดูออกว่าหญิงสาวสนใจเขาเหมือนกับเพื่อนของเธอ
“หนึ่งไม่เห็นรู้เลย”
เธอถามออกไปอย่างอ่อนล้าราวกับคนพ่ายแพ้ หากน้องสาวตนเองเป็นคนพูด เธอยังเชื่อน้อยกว่าผู้ชายตรงหน้า เพราะไม่มีเหตุผลที่เขาต้องโกหกเธอ แต่ที่น่าแปลกใจคือทำไมเธอไม่เคยระแคะระคายมาก่อน ช่วงที่ชายหนุ่มมาในตอนมีปัญหาของกิตติกรครั้งก่อน น้องสาวของเธอกับปัฐวิกรก็แทบจะไม่คุยกันเลย
แล้วทั้งสองคนไปคบหากันตอนไหน
“ตั้งแต่สองไปงานแต่งนายกลางเราก็คุยกันมาเรื่อยๆ ครับ ถึงจะไม่ค่อยได้เจอกันก็เถอะ สองเขายังไม่กล้าจริงจัง ก็เลยยังไม่ได้บอกใคร แต่ผมจริงจังเพราะอายุมากแล้ว”
คำพูดของปัฐวิกรดูน่าเชื่อถือจนแม้แต่มาธาวีเองก็คงหลงเชื่อไปด้วย หากคนที่เขาเอามาอ้างไม่ใช่เธอเอง
“เหรอคะ”
มาลินีเหมือนจะถามแต่กลับพยักหน้าเบาๆ ราวกับยอมรับ
ส่วนปัฐวิกรเหลือบไปยังหญิงสาวอีกคนที่ยืนนิ่งเงียบ แต่แววตาคู่กลมโตกลับมองเขาอย่างไม่พอใจ ริมฝีปากได้รูปสวยยกยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับก้าวเข้าไปหาเจ้าของร่างอรชรแบบบาง
“อย่ามองผมด้วยสายตาแบบนั้นสิ สักวันที่บ้านสองก็ต้องรู้”
เสียงทุ้มดูอ้อนนิดๆ สำหรับมาลินีจนชวนน่าอิจฉา แต่ในความคิดของมาธาวีแล้วเธอรู้ว่าเขากำลังบังคับให้สงบปากสงบคำเข้าไว้
หญิงสาวไม่เข้าใจเลยว่าทำไมปัฐวิกรยังเล่นละครต่อ ทั้งที่พี่สาวเธอก็แสดงออกว่าสนใจเขา ทำแบบนี้มันหาเรื่องให้เธอชัดๆ เลย
ขณะที่เธอแหงนขึ้นมองคนที่มาหยุดยืนตรงหน้าด้วยสายตาขุ่น ทว่าอีกฝ่ายกลับมองด้วยแววอ่อนละมุน มือหนาวางลงบนไหล่ทั้งสองข้างของเธอกระชับมั่นอย่างกดดัน
“อย่าเคืองผมนะคนดี ฝันดีครับ”
พูดจบใบหน้าขาวคมก็เคลื่อนลงมาหา มาธาวียืนนิ่งงัน ตาโต รับรู้ได้ถึงปากอุ่นที่แนบสนิทบนหน้าผากเธอทำเอาหน้าร้อนวูบ เข้าใจในทันทีว่าทำไมเขาถึงจับไหล่เธอล็อกไว้แน่น
เมื่อทำในสิ่งที่ยืนยันความสัมพันธ์ได้อย่างดีแล้วปัฐวิกรก็พอใจ ร่างสูงใหญ่ขยับออกมาสบตากับดวงตาคู่สวยที่ดูตระหนกชั่วอึดใจ ก่อนจะหันไปหามาลินีที่กำลังยืนอ้าปากค้างนิดๆ ตาขยายกว้างขึ้น
“ถ้าเคลียร์งานเรียบร้อยแล้ว ก่อนกลับผมจะมาที่นี่ตามคำเชิญนะครับ ยังไงจะโทรบอกสองอีกที”
ชายหนุ่มบอกกับคนเป็นพี่สาวแล้วหันไปยิ้มบางให้มาธาวีก่อนจะกลับขึ้นรถไป
รถคันหรูเคลื่อนออกไปแล้ว สองสาวไม่ได้มองตามรถปัฐวิกร ทว่าต่างก็จมอยู่กับความคิดของตัวเอง แล้วก็เป็นมาธาวีที่ถอนหายใจหงุดหงิดออกมาก่อนจะหันหลังเดินกลับเข้าบ้านอย่างกระแทกกระทั้น จนคนเป็นพี่มองตามด้วยสายตาไม่พอใจ สุดท้ายก็อดใจไม่อยู่ ก้าวเร็วๆ ไปดึงแขนน้องสาวเอาไว้
“ทำไมเธอไม่บอกฉันตั้งแต่แรกว่าคบคุณปัฐอยู่”
มาลินีเสียงแข็ง ตาวาววับด้วยความโกรธ
มาธาวีเหลือบมองพี่สาวอย่างเซ็งๆ แล้วก็ส่ายหน้าดึงมือออกตั้งใจจะเดินหนีอย่างไม่มีอารมณ์จะคุยด้วยในตอนนี้ แต่อีกฝ่ายไม่ยอมง่ายๆ ยังเดินตามมาขวางหน้าเธอเอาไว้
“เดี๋ยว ตอบฉันมาก่อน”
“ก็...อย่างที่เขาบอกนั่นแหละ”
หญิงสาวอึกอักก่อนจะพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก
“เธอก็ดูออกว่าฉันถูกใจเขา ถ้าคบเขาแล้วก็ต้องพูดกับฉันสิ นี่เป็นบ้าอะไร ปล่อยให้ฉันตามจิกเขาเป็นไก่อยู่คนเดียวทั้งที่ไม่มีความหวัง”
“พี่ไม่ได้ออกตัวแรงขนาดนั้นสักหน่อย พูดเว่อร์ไปได้”
มาธาวีตีสีหน้าเบื่อหน่าย ยังไงอีกฝ่ายก็มักจะหาเรื่องกัดเธอได้ตลอด นี่ไม่ใช่ครั้งแรก เธอจึงไม่ค่อยใส่ใจนัก
“หึ นั่นสินะ ฉันช้าเป็นเต่าคลานด้วยซ้ำ มัววางแผนพาเขาไปทักทายคุณพ่อคุณแม่ ยายตามาเห็นแป๊บเดียวก็ให้ฉันชวนเขาไปต่อด้วย กะจะสอยไปคืนนี้แล้ว”
หญิงสาวระบายสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจตนเอง
“แต่ยายตา ก็ยังช้ากว่าเธอ”
มาลินีมองน้องสาวด้วยสายตาไม่พอใจ
“ซิวปาดหน้าทุกคนไปตั้งนานแล้วยังอมพะนำไม่บอกใคร แอบยิ้มเยอะชาวบ้านอยู่ในใจล่ะสิ”
“สองเปล่า”
เธอพูดได้เพียงแค่นี้ ทั้งที่ตนเองก็หงุดหงิดไม่แพ้พี่สาว ทว่าไม่อาจทำอะไรได้
“อย่ามาโกหก ฉันรู้จักเธอดี ได้แกล้งฉันแล้วมันสนุกนักใช่ไหม”
“มันไม่ใช่อย่างนั้น”
คนเป็นน้องบอกเสียงเอื่อย หมดอาลัยกับคนที่กำลังสติแตกเพราะเข้าใจว่าโดนตัดหน้าแย่งผู้ชายไปก่อน
“ไม่ใช่ยังไง ฉันพูดผิดตรงไหน เธอไม่เคยเห็นฉันเป็นพี่เลยหรือไง เรื่องผู้ชายยังไม่เว้น แค่สะกิดบอกฉันสักนิด ฉันก็ไม่เอาเขาแล้ว ไม่อยากได้ชื่อว่าแย่งผู้ชายคนเดียวกันกับน้องหรอก ขายขี้หน้าชาวบ้านเขา”
“พี่หนึ่งเล่นใหญ่ไปแล้ว”
เมื่อเห็นว่ามาลินีดูจะไม่หยุดง่ายๆ แถมพูดเสียงดังขึ้นกว่าเดิมมาธาวีก็เริ่มเบรกพี่สาวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ผู้ชายดีๆ เพอร์เฟกต์ เป๊ะตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าเยอะแยะไป ฉันก็มีปัญญาหาได้ย่ะ ไม่ต้องลงทุนอ่อยแฟนน้องหรอก”
“ค่า รู้แล้ว พี่หนึ่งเก่ง สวยมาก”
เธอยอมจำนน เพราะไม่อยากมีปัญหาให้อีกฝ่ายเสียงดังไปกว่านี้ ร่างบางเดินเลี่ยงพี่สาวเพื่อจะเข้าบ้าน แต่แล้วก็ต้องชะงักเพราะเสียงเครือสั่นของที่ดังขึ้น
“ถึงเราจะไม่ลงรอยกันนัก แต่ฉันก็ไม่คิดว่าเธอจะใจดำกับฉันขนาดนี้นะสอง”
มาธาวีรู้สึกไหล่หนักอึ้งราวกับแบกความเสียใจของมาลินีเอาไว้
=====
หลังทำบุญขึ้นบ้านใหม่ของปัฐวิกรกับมาธาวีที่ราวเป็นการรวมญาติเล็กๆ แล้วช่วงเย็นก็มีเลี้ยงภายในครอบครัว ครอบครัวอรรถพันธ์พงศ์มาครบเช่นเคย โดยคืนนี้ก็จะค้างที่บ้านหลังใหญ่ของพ่อเลี้ยงศราเช่นเดิม ซึ่งลัลนาเพียงนั่งเงียบๆ ข้างมารดาหากก็ไม่เย็นชาจนเกินงาม แม้จะมีโจทก์เก่าอยู่ถึงสองคนก็ตาม เพราะอย่างไรก็ต่างคนต่างอยู่กันแล้ว ชีวิตต้องเดินหน้าต่อไปบ้านที่เชียงใหม่เสร็จก่อนเพราะปัฐวิกรเห็นว่ามาธาวีอยู่ที่นี่ ส่วนที่บ้านอรรถพันธ์พงศ์ก็ค่อยเป็นค่อยไป ไว้ใช้ตอนเขาพาหญิงสาวไปเยี่ยมครอบครัว หรือเวลาที่จำเป็นต้องไปทำธุระ ส่วนงานชายหนุ่มให้กิตติกรดูแลทางกรุงเทพฯ เป็นหลักแล้วในตอนนี้ ทว่าทั้งสองคนก็ยังคุยกันทุกวันและปัฐวิกรบินไปมาแต่ไม่ทุกอาทิตย์เหมือนเมื่อก่อนทว่านั่นทำให้ปัญหาเกิดขึ้นกับทางโรงเรียน ‘นาฏช่างฟ้อน’ ของสามสาว“ปรางขอโทษนะคะคุณก้อย สอง”พิมพ์ปรางบอกเพื่อนหน้าละห้อยขณะพาลูกเข้ามากล่อมนอนในห้อง โดยมีสองสาวเพื่อนซี้ตามมาด้วย“ไม่เป็นไร ตอนนี้ก็ช่วยกันไปก่อน แต่ถ้าก้อยคลอด สองก็จัดการได้อยู่ดี”มาธาวียักไหล่ยิ้มๆ รู้ว่าพิมพ์ปรางไม่สบายใจ เพราะจนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถกลับมาช่วยเพื่อนที่โรงเร
“มาสิครับ”ปัฐวิกรเอ่ยด้วยเสียงเย้ายวนใจ เมื่อหญิงสาวกล้าที่จะเริ่มต่อจากนั้นเขาก็เป็นคนช่วยเธอ แล้วร่างสองร่างก็แนบสนิทอย่างที่สุดพร้อมเสียงครวญยาวในลำคอของคนตัวเล็กเพราะเธอเกร็งและกลัวจนเขาต้องลูบหลังปลอบใจเธอก้มหน้าลงซบซอกคอแกร่งเมื่อถูกกระแสรัญจวนครอบงำ ตัวสั่นเบาๆ ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร เพราะเพียงแค่นี้ทั้งร่างของเธอก็แทบจะระเบิดแล้ว แต่แล้วมือหนาก็วางลงบนเอวเธอชักนำพร้อมเอ่ยเสียงทุ้มพร่า“ทำให้ผมละลายเพราะคุณสิสอง”ไม่รู้เพราะเสียงบอกกระตุ้นหรือเพราะแรงรั้งจากมือหนาทำให้สะโพกเธอเริ่มขยับตาม แล้วก็ต้องปล่อยเสียงของความอัดอั้นออกมาเพราะรู้สึกถึงความทรมานแสนหวานที่มากยิ่งกว่า“ดีที่รัก”ปัฐวิกรยังให้กำลังใจขณะที่เขาเองก็เดินหน้าเช่นกันเพราะกำลังของคนตัวเล็กบางเบาเกินกว่าจะนำพาเขาได้ ทว่าก็สร้างความหวามในอกอย่างสุดแสนไม่น้อยเลย แต่เขารู้ว่ามาธาวีอายเกินกว่าจะก้าวไปไกลกว่านี้เขาจึงจัดการทุกอย่างเอง หากร่างทั้งสองก็เป็นท่วงทำนองเดียวกัน จนเขาได้ยินเสียงหอบหนักขึ้นเรื่อยๆ จากหญิงสาว ไม่นานร่างอรชรก็สะดุ้ง แขนเรียวกอดเขาฝังหน้าเล็กร้องในลำคอ นั่นทำให้เขาเร่งร้อนสะโพกแกร่งเพื่อจะตามคนตั
“แป๊บนะครับ”ปัฐวิกรถอนจูบแสนหวามออกมากระซิบเสียงพร่าแล้วถอดเสื้อยืดของตนออกอย่างรวดเร็วหญิงสาวกวาดตามองเรือนร่างกำยำของคนที่ตนนั่งอยู่บนตักเขาเร็วๆ แล้วก็เขินจนหน้าแดง เธอไม่ค่อยสนใจอีกฝ่ายเวลาใกล้ชิดกันก่อนหน้านี้เลยเพราะถูกฝืนใจ แต่เวลานี้ร่างกายและใจสาวกำลังรอคอยทำให้อดอายความรู้สึกของตัวเองไม่ได้อยู่ๆ ชายหนุ่มก็จับเอวเธอยกขึ้นทำให้มาธาวีตกใจนิดๆ จนตัวเกร็ง“อะ...อะไรคะ”แล้วเขาก็จับกางเกงขาสั้นของเธอ คราวนี้มาธาวีรู้ได้ทันทีว่าชายหนุ่มตั้งใจจะถอดท่อนล่างที่เหลืออยู่“อื้อ”หญิงสาวประท้วงอีกฝ่ายพร้อมจับมือเขาอย่างไม่ยินยอม เธอเขินจนทำตัวไม่ถูกแล้ว ตรงนี้เป็นห้องรับแขก แถมไฟสว่างจ้า ประสบการณ์รักของเธอก็น้อยนิด ทุกครั้งแทบจะหลับตาตลอดเพราะไม่พอใจและกลัว แต่เขาจะมาให้เธอถอดโชว์เผยสัดส่วนทั้งตรงนี้ ตอนนี้เลยได้อย่างไรปัฐวิกรสบตาเธอครู่หนึ่ง แววลุ่มลึกในนั้นคมเข้มจนหญิงสาวหวั่นใจ แต่เขาก็ไม่ได้บังคับ เมื่อยอมละมือจากกางเกงของเธอเขาก็เปลี่ยนมาเกาะกุมอกอวบที่ยังมีเสื้อชั้นในโอบรั้งไว้ เคล้าคลึงเบามือ จนคนที่ไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ทั้งที่จับมือเขาอยู่ถึงกับแอ่นเข้าหาชายหนุ่ม มือหนา
สามเดือนผ่านไป...ปัฐวิกรพามาธาวีมาทำบุญตามที่คุยกันเอาไว้ ร่างกายของหญิงสาวดีขึ้นมาก ส่วนที่มีปัญหามากที่สุดคือแขนข้างที่กระดูกร้าว แต่ก็ดีขึ้นมากแม้จะยังขยับไม่ค่อยคล่องก็ตาม เขาจึงไม่ให้อีกฝ่ายถือหรือยกอะไรหนักนอกจากทำกายภาพ แต่ปัญหาหลักๆ ก็คือ มาธาวียังรำไม่ได้ และนั่นคือเรื่องใหญ่สำหรับหญิงสาวเขาจำได้ว่าตอนที่รู้สึกตัวได้เต็มที่แล้วพยายามจะขยับแขนแต่ทำไม่ได้มาธาวีร้องไห้ออกมาเงียบๆ เขาต้องคอยถามคอยปลอบอยู่ตั้งนานกว่าจะรู้ว่าอีกฝ่ายกลัวรำไม่ได้อีกตอนนี้โรงเรียนเป็นหน้าที่ของกัญญานันเป็นหลัก นับตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุขึ้นกับมาธาวีเลยก็ว่าได้“ไปที่ไหนต่ออีกไหม”หลังออกมาจากวัดแล้วชายหนุ่มก็ถามขึ้น“สองห่วงก้อยค่ะ รีบกลับไปช่วยก้อยดูเด็กๆ ดีกว่า”มาธาวีรู้ว่าเพื่อนท้องก็ดีใจอย่างมาก หลังออกจากโรงพยาบาลก็ไปอยู่กับกัญญานันที่คลาสตลอด แม้จะไม่ได้ช่วยอะไรมากก็ตาม ส่วนตอนไปดูแลเด็กแสดงที่ร้านเป็นเปรมินทร์ไปกับภรรยาของเขา เพราะปัฐวิกรเห็นว่าร่างกายของมาธาวียังไม่เหมาะจะไปไหนมาไหนในเวลากลางคืนและต้องรีบพักผ่อน“หวังว่าคุณแน็ตคงยกโทษให้สอง”หญิงสาวพึมพำเสียงเบาขณะอยู่บนรถ“สองตั้งใจทำบุญให้
ขณะที่คุณากรยืนมองนิ่ง เขาพอมองออกว่าอะไรเป็นอะไร ดูออกตั้งแต่วันที่นันทิยาแอบนัดให้ปัฐวิกรมารับที่ผับตอนอ้างกับเขาว่าจะไปเข้าห้องน้ำ เห็นหายไปนานเขาก็ไปตามแต่กลับไม่เจอตามหาจนออกมาข้างนอก ก็เห็นหญิงสาวเดินไปกับผู้ชายคนอื่น ตอนแรกเขาไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ตอนเห็นปัฐวิกรมาช่วยมาธาวีแล้วพาเดินไปด้วยกันเขาก็จำด้านหลังอีกฝ่ายได้“บังเอิญยังไง”ปัฐวิกรถามออกไป ยังมีความคิดว่า อาจจะเป็นการเข้าใจผิดอยู่เพียงเล็กน้อย“นุ๊ก...พี่สองเขาหึงนุ๊ก เขาเรียกนุ๊กไปคุยด้วย ซักไซ้นุ๊กเรื่องพี่ปัฐนุ๊กบอกว่าไม่มีอะไรก็ไม่เชื่อ เราเลยยื้อยุดกัน แล้วมันก็...”นันทิยาหยุดพูดแล้วร้องไห้ออกมาไม่หยุดคุณากรถึงกับถอนหายใจแล้วส่ายหน้าเพราะไม่มีวันเชื่อ ทว่าก็เพียงยืนมองเงียบๆ อยากรู้ว่าปัฐวิกรจะคิดอย่างไรปัฐวิกรถึงกับไม่รู้จะตีสีหน้าอย่างไรเลยทีเดียว เขาอึ้งกับคำพูดของอีกฝ่าย เป็นไปได้ยากที่มาธาวีจะหึงเขาในเมื่อรู้แล้วว่าเขาดูแลนันทิยากับครอบครัวแทนพี่สาว และหญิงสาวเองก็ยังรู้สึกผิดอยู่ไม่น่าจะทำร้ายน้องสาวของณัฐวราได้ เศษเสี้ยวหนึ่งของใจชายหนุ่มอยากจะเชื่อนันทิยาแต่เพราะการพูดออกมาได้โดยไม่หยุดคิดของอีกฝ่ายทำให้เ
สิ่งที่ได้ยินจากหมอทำให้ปัฐวิกรถึงกับขมวดคิ้วมุ่น ร่างกายของมาธาวีกระแทกหลายจุด แต่ที่หนักคือไหล่กับแขนข้างหนึ่งกระดูกแตกร้าว ยังดีที่ไม่ถึงกับหัก หัวที่แตกไม่ได้รับการกระทบกระเทือนถึงสมอง คนไข้หายใจได้เองปกติ ไม่มีภาวะหยุดหายใจ นั่นทำให้ชายหนุ่มโล่งอกไปส่วนหนึ่ง หากก็ยังเคร่งเครียดอยู่เพราะหญิงสาวยังไม่รู้สึกตัว“สองต้องไม่เป็นอะไรค่ะพี่ปัฐ”กัญญานันเข้ามาเกาะแขนเขาพร้อมน้ำตาคลอแต่ก็เห็นว่าอีกฝ่ายพยายามกะพริบตาและกลั้นน้ำตาของตัวเอง ชายหนุ่มจึงดึงร่างน้องสาวมากอด อีกฝ่ายก็แนบหน้าลงซบอกเขา ได้ยินเสียงสูดน้ำมูกเบาๆระหว่างนั้นเปรมินทร์ที่ออกไปคุยโทรศัพท์กับทางไร่เพราะดิสกลส่งสายให้ก็กลับเข้ามา สีหน้าค่อนข้างเรียบสนิทเดาอารมณ์ไม่ถูก“ตำรวจสอบปากคำทุกคนที่บ้านครบแล้วครับ”พวกเขาที่อยู่โรงพยาบาลได้ให้ปากคำกับตำรวจเรียบร้อยไปก่อนหน้านั้นแล้ว“แล้วก็บอกว่ามีคนที่น่าสงสัย ตอนนี้กักตัวอยู่ครับ รอผลพิสูจน์ลายนิ้วมือจากก้อนหิน ที่คนร้ายอาจจะจับใช้ตีหัวน้องสอง”กัญญานันหน้าเสีย ยกมือปิดปากเพราะในหัวเธอมีภาพนั้นลอยเข้ามาแล้วก็นึกสงสารเพื่อนจับใจ“ดีนะที่ให้ดูคุณากรไว้ตั้งแต่เมื่อคืน”ปัฐวิกรพูดขึ