ผ่านไปกว่าสามเดือนแล้ว นับตั้งแต่มีราชโองการให้ทัพหลวงออกเดินทางไปปราบเผ่าซ่งหนูผู้คิดจะรุกราน สถานการณ์ตอนนี้ยังตึงเครียดเนื่องจากมีการร่วมมือกันของเผ่าซ่งหนูและห้าชนเผ่า
ที่ต้องการเขตพื้นที่ไว้สำหรับการดำรงเลี้ยงชีพของคนในเผ่า เนื่องจากพวกเขาต่างก็ไม่มีที่ให้ทำมาหากิน ต้องย้ายถิ่นฐานไปเรื่อยหากเมื่อพื้นที่ตรงนั้นไม่มีอาหารให้ล่าแล้ว ก็จะย้ายไปอีกที่เพื่อหาอาหารดำรงชีพต่อไป
เดิมทีหัวหน้าชนเผ่าทั้งห้าไม่คิดที่จะต่อกรกับใคร เนื่องจากพวกเขาชอบอยู่อย่างสงบไม่ชอบรุกรานผู้อื่น เมื่อมีผู้มายื่นข้อแลกเปลี่ยนเพื่อให้ช่วยทำศึกกับแคว้นหนาน หากเมื่อชนะสิ่งที่พวกเขาจะได้เป็นการตอบแทนนั้นก็คือ ผืนแผ่นดินบางส่วนให้เป็นของพวกเขาได้จับจองเป็นเจ้าของ นั้นจึงทำให้ทั้งห้าชนเผ่าร่วมมือด้วย
ทั้งสองฝ่ายต่างมีปะทะกันอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่มีฝ่ายใดแพ้หรือชนะ ต่างก็หยั่งเชิงกันรอเวลาที่อีกฝ่ายจะหลงกลและเพลี่ยงพล้ำ ด้วยความแข็งแกร่งของแคว้นหนานและกลยุทธ์ทางกลศึกที่ดี ถึงแม้ว่าจำนวนกำลังพลจะแตกต่างกันอยู่มาก ก็สามารถต้านไว้ได้
แต่ดูเหมือนสวรรค์จะไม่เข้าข้างฝ่ายแคว้นหนาน เพราะมีข่าวออกมาว่าท่านอ๋องผู้เป็นแม่ทัพใหญ่ เมื่อไม่นานมานี้เกิดล้มป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้ศัตรูเริ่มได้ใจ การเข้าปะทะแต่ละครั้งจึงเกิดความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้างท่านหมอ” เหล่าแม่ทัพทั้งหลาย ยืนรอหมอหลวงตรวจอาการป่วยของท่านอ๋อง ต่างรีบกรูเข้ามาถามถึงอาการป่วยเมื่อท่านหมอเดินออกมาจากม่านกั้น
“ไม่ดีขึ้นเลยขอรับ ข้าตรวจดูอย่างละเอียดแล้วก็ไม่พบสาเหตุการป่วย ร่างกายทุกอย่างปกติแข็งแรงดี” หมอหลวงผู้ตรวจอาการถึงกับส่ายหัวอย่างจนปัญญาในการรักษา
สิบวันมานี้ท่านอ๋องล้มป่วยถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อ อาเจียนอย่างหนักหน้ามืดอ่อนเพลียไร้เรี่ยวแรง กินอาหารแทบจะไม่ได้ เมื่อมีอะไรเข้าปากก็รังแต่จะขย้อนออกมาจนหมด หากแต่เมื่อท่านหมอทำการตรวจรักษา กลับไม่ทราบถึงสาเหตุและยังหาวิธีรักษาไม่ได้ จึงได้แต่ให้ยาบำรุงและให้นอนพักเพื่อพยุงอาการเพียงเท่านั้น
หากเป็นเรื่องพิษพวกเขามั่นใจว่าไม่ใช่อย่างแน่นอน เนื่องจากทุกวันจะมีการตรวจสอบอาหาร หรือแม้แต่น้ำดื่มด้วยเข็มเงินว่ามีพิษหรือไม่ เพื่อป้องกันศัตรูเล่นแผนสกปรกก็เป็นได้
เมื่อฝ่าบาททรงทราบเรื่องการป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุของท่านอ๋องผู้เป็นน้องชาย ถึงกับส่งหมอหลวงที่เก่งที่สุดเพื่อมารักษายังชายแดนอย่างเร่งด่วน แต่ก็มิมีหมอผู้ใดสามารถรักษาได้สักคน
ทุกคนต่างก็ตรวจอาการแล้วได้แต่ส่ายหน้าจนปัญญา เพราะไม่ว่าจะตรวจเช่นไรก็ไม่พบสิ่งปกติของร่างกายแม้แต่น้อย และหากคิดว่าท่านอ๋องเพียงแกล้งทำเท่านั้นคงจะเป็นไปมิได้ เพราะสิ่งที่พวกเขาเห็นนั้นมั่นใจได้ว่าพระองค์นั้นป่วยจริง
หนานฟาหยางที่นอนหมดเรี่ยวแรงเนื่องจากอาเจียนมาตั้งแต่เช้า ฟังการวินิจฉัยอาการจากหมอหลวงด้วยใบหน้าที่เป็นกังวล ภายในใจเขาในตอนนี้คิดถึงเพียงแต่ลูกและภรรยา หากเขาตายไปพวกนางจะอยู่กันอย่างไร จะมาตายอยู่ที่แห่งนี้มิได้ แต่ในตอนนี้เขาก็จนปัญญาเรี่ยวแรงที่มีมันหายไปหมด
เขาอยากจะลุกไปถล่มพวกนั้นให้ราบเป็นหน้ากลอง เรื่องมันจบ ๆ ไปซะให้เร็วที่สุด ถ้าหากว่าจะตายจริงขอกลับไปเห็นหน้าลูกและภรรยาสักครั้ง และในระหว่างที่หนานฟาหยางนอนครุ่นคิดอยู่นั้น ได้มีทหารนายหนึ่งรีบร้อนเข้ามารายงาน
“เรียนท่านอ๋องมีคนจากเมืองหลวงนำของที่ท่านอ๋องต้องการมาส่งพ่ะย่ะค่ะ”
“ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใด” เมื่อได้ยินว่ามีคนจากเมืองหลวงนำของมาส่ง ดวงตาอ๋องหนุ่มเปล่งประกายวาววับ กายหนาลุกจากเตียงนอนพร้อมกับสวมชุดคลุมเดินออกจากม่านกั้นทันที
ถึงแม้ใบหน้าจะยังซีดเซียวอยู่บ้างแต่หลายวันมานี้เขาได้พักผ่อนมามากแล้ว จึงทำให้พอที่จะมีเรี่ยวแรงอยู่บ้าง ด้านรองแม่ทัพหมิงเยี่ยนที่อยู่ประจำยังชายแดนแห่งนี้รีบเข้าไปประคองตัวฟาหยางทันที เพราะดูจากการยืนที่ไม่ค่อยจะมั่นคง เดินเพียงไม่กี่ก้าวคงได้ล้มลงแน่
“อยู่ที่ลานฝึกพ่ะย่ะค่ะ”
ทั้งหมดออกไปยังลานฝึกตามที่ทหารเข้ามารายงาน ตรงหน้าพวกเขาเป็นเหมือนรถเข็นขนาดปานกลาง และได้ถูกคลุมด้วยผ้าสีดำเอาไว้ จอดเรียงรายกันอยู่ราว ๆ ร้อยคัน และภายในเกวียนม้าอีกสิบคันมีหีบขนาดใหญ่บรรจุจนเต็มเกวียน
“เปิดผ้าคลุม”
สิ้นเสียงการสั่งของหนานฟาหยางผ้าคลุมได้ถูกเปิดออกพร้อมกันทั้งหมด เผยให้เห็นรถเข็นหน้าตาประหลาด มันมีขนาดไม่เล็กและไม่ใหญ่มาก บนรถเข็นมีช่องขนาดเท่ากำปั้นนับได้ราว ๆ ห้าสิบช่อง
ทุกคนต่างมองหน้ากันไปมา ด้วยความสงสัยว่าเจ้าสิ่งนี้ท่านอ๋องนำมาทำสิ่งใด แต่ก่อนที่จะมีผู้ใดเอ่ยถามได้มีชายวัยกลางคนร่างกายกำยำผู้หนึ่ง เดินออกมาด้านหน้า
“เรียนท่านอ๋องข้าน้อยมีนามว่าหม่าเย่า เป็นผู้ที่นายหญิงให้ติดตามขบวนส่งของ มาเพื่อสาธิตและบอกวิธีการใช้พ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วของในหีบนั้นคือสิ่งใด” หนานฟาหยางเอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัย เจ้ารถเข็นนั้นเขารู้อยู่แล้วว่ามันคือเครื่องยิงธนู หยุนชิงนางบอกแก่เขาว่ามันสามารถยิงได้ครั้งละหลายลูกพร้อมกัน จะยิงได้กี่ลูกก็ขึ้นอยู่กับช่องที่ใส่มีจำนวนมากแค่ไหน แต่ของในหีบนั้นเขามิทราบจริง ๆ เพราะหยุนชิงนางมิได้บอกเขาว่าจะมีของสิ่งอื่น นอกเหนือจากเจ้าเครื่องยิงธนูนั้น
แล้ววันงานบวงสรวงก็มาถึง ปะรำพิธีได้ถูกจัดขึ้น ณ ลานกว้างของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ กลางลานมีแท่นพิธียกขึ้นสูงบนโต๊ะรูปมังกรเหยียบเมฆา มีผลไม้และอาหารมงคล ตรงกลางมีกระถางสำหรับปักธูปลวดลายอ่อนช้อย สถานที่ถูกจัดเตรียมไว้อย่างสวยงามงานนี้เจ้ากรมพิธีการได้หน้าไปเต็ม ๆ ต่างถูกชมจากผู้คนมิขาดปากแต่ผู้ที่รับหน้าที่สำคัญที่สุดในวันนี้กลับนั่งเหงื่อตกรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ คิดจะหนีงานดีหรือไม่ แต่เมื่อมองไปยังที่ประทับของฮ่องเต้ ใบหน้าที่คาดหวังของท่านแม่และท่านพ่อ ไหนจะท่านลุงฮ่องเต้อีกคน จะถอยก็มิได้จะเดินต่อก็ไม่ได้และแล้วพิธีสำคัญได้ถึงเวลาที่เหมาะสมชาวบ้านที่เข้ามารอชมอย่างคาดหวัง หวังเยี่ยนฟางแต่งตัวด้วยชุดสีแดงอลังการ เดินนวยนาดออกมายังหน้าแท่นพิธีก่อนสายตาจะมองไปรอบ ๆ นางไม่พบเหล่าพี่ชายพี่สาวแฝดสามและอ๋องน้อยพวกนั้นหายไปที่ใดกัน“แด่ท่านเทพพิรุณเทพแห่งสายฝนที่เปี่ยมล้นไปด้วยความเมตตา ท่านได้โปรดทรงประทานหยาดฝนเพื่อดับทุกข์ร้อนของเหล่ามวลมนุษย์ด้วยเถิด” หวังเยี่ยนฟางกล่าวจบจึงได้ทำการปักธูปลงในกระถางทันใดนั้นเองท้องฟ้าแปรปรวนร้องสนั่นหวั่นไหว หมู่เมฆมืดครึ้มลมพัดแรง จนมงกุฎที่หวังเยี่ยนฟา
ในปีหนึ่งแคว้นหนานได้เกิดปัญหาภัยแล้งฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ขาดแคลนน้ำในการทำการเกษตรและใช้สำหรับอุปโภคบริโภคองค์ฮ่องเต้ทรงมองเห็นในความเดือดร้อนของพสกนิกร ทรงมีรับสั่งช่วยเหลือแจกจ่ายอาหารและสิ่งของจำเป็น เพื่อช่วยลดความอดอยากของประชาชน แต่เมื่อนานวันเข้าภัยแล้งกลับไม่มีท่าว่าจะดีขึ้นหัวข้อประชุมเช้าอันดุเดือดประจำท้องพระโรงคงจะหนีไม่พ้นเรื่องภัยแล้ง"ทูลฝ่าบาทหากเรายังคงเบิกจ่ายข้าวสารและตำลึงเงินอีกไม่เกินปีนี้ กระหม่อมเกรงว่าท้องพระคลังคงจะหมดในไม่ช้าพ่ะย่ะค่ะ" เจ้ากรมคลังกราบทูลถึงปัญหาที่เกิดขึ้น"ทูลฝ่าบาท จากที่กระหม่อมส่งคนออกสำรวจแหล่งน้ำทั่วแคว้น ปริมาณน้ำลดน้อยลงไปมากพ่ะย่ะค่ะ" เจ้ากรมโยธาก้าวออกมา ชี้แจงปัญหาที่ได้รับมอบหมายให้ออกสำรวจแหล่งน้ำ"มีผู้ใดจะเสนอความคิดในการแก้ปัญหาบ้างหรือไม่" หนานหยางจง เจ้าแห่งแคว้นถามขึ้นพร้อมกับกวาดสายตามองทั่วทั้งท้องพระโรง แต่ก็ไม่มีผู้ใดก้าวออกมาเสนอแนะวิธีการแก้ปัญหาอย่างเช่นเคยเหล่าเสนาอำมาตย์ต่างมองหน้ากันไปมา แต่ละคนต่างก็หาทางออกไม่ได้ เนื่องจากเป็นภัยธรรมชาติ อีกทั้งยังไม่เคยเจอปีไหนเลย ที่ภัยแล้งจะหนั
“ข้อหนึ่งหนูขอไปเกิดแบบโตเป็นผู้ใหญ่ค่ะ คือหนูไม่อยากกลับไปเป็นเด็กอีกแล้วค่ะ”อืม ข้อนี้ไม่ยากถือว่ายังให้ได้อยู่“ข้อสองหนูขอคนรักสักคนที่รักหนูคนเดียวไม่นอกใจค่ะ”ข้อนี้ก็ยังถือว่าง่ายไม่พิเศษอะไรนังหนูนี่ช่างมักน้อยซะจริง“และข้อสุดท้ายหนูขอความทรงจำเดิม และความสามารถทุกสิ่งทุกอย่างของชาติเดิมค่ะ”“ได้ถ้าอย่างนั้นเจ้าตามข้ามา” ยายเมิ่งตอบตกลงทุกเงื่อนไขที่ขอมาอย่างไม่ต้องคิด เพราะคำขอแต่ละข้อไม่ได้ถือว่าผิดต่อศีลธรรมอันใดแต่ก่อนจะให้เด็กสาวผู้นี้ลงไปเกิดนางอยากจะเอ่ยปาก พูดอะไรสักอย่างกับสตรีน้อยผู้นี้สักหน่อย“เดี๋ยวก่อนนังหนูเรื่องคนที่ทำให้เจ้าตาย เจ้าก็ให้อภัยเขาเถอะคนผู้นั้นไม่ได้ตั้งใจ อย่าแช่งกันอีกเลยสำนึกผิดไม่ทัน”สตรีผู้นั้นตอบรับด้วยสีหน้างุนงง แต่ก็ช่างเถอะไม่รู้เรื่องอันใดก็ดีแล้วกรี๊ดดดดดตู้มมมม"อภัยให้ข้าเถอะนังหนูเจ้าลีลาเกินไป หากเจ้าอยู่นานกว่านี้เห็นทีข้าจะโดนจับได้" แล้วยายเมิ่งก็เดินจากไปเหมือนกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน"อยากเรียกข้าว่าป้าดีนักขอสักทีเถอะ" ว่าจะไม่ทำอันใดแล้ว คำก็ป้าสองคำก็เรียกป้าแค่ถีบตกบ่อยังน้อยไปหลังจากนั้นข้าคิดว่าชีวิตจะสงบสุขส
ข้ามีนามว่าหวังเยี่ยนฟางเป็นบุตรสาวคนเล็กของบ้านตระกูลหวัง ทุกคนในบ้านต่างรักและตามใจข้าเป็นที่สุด ข้าคือสิ่งมหัศจรรย์และน่าเหลือเชื่อเพราะแม้ว่าท่านพ่อดื่มยาห้ามบุตรที่มีฤทธิ์แรงที่สุด แต่ตัวข้าหวังเยี่ยนฟางผู้นี้สามารถฝ่ายาห้ามบุตรมาเกิดได้ฮะฮ่าทุกคนต่างเอ่ยชมความสามารถของท่านพ่อหวังอี้หลินมิได้หยุด เขาคือสุดยอดแห่งบุรุษของแคว้นเป็นลูกรักของเทพพระเจ้า บางคนร่ำรวยอำนาจล้นฟ้าหรือแข็งแกร่งเพียงใด ก็ยังไม่สามารถมีบุตรได้ดั่งใจสั่งเช่นท่านพ่อของข้าได้ แต่ก็นะคนเหล่านั้นพูดเกินจริงไปมากโข เป็นเพราะข้าผู้นี้อยากมาเองต่างหากหากจะถามว่าข้าผู้ที่มีรูปโฉมงดงามราวกับเทพเซียน พูดจาไพเราะราวกับนกน้อยร้องรับอรุณยามเช้า ความสามารถหรือก็มิแพ้ใคร รูปร่างสูงโปร่งอกเป็นอกเอวเป็นเอว ข้าผู้นี้มีนามว่า เมิ่ง เมิ่ง หรือก็คือยายเมิ่งที่เหล่ายมโลกเรียกขานกัน หุ หุอะ แฮ่ม เอาล่ะกล่าวชมตนเองมามากพอแล้ว ข้าจะเล่าให้ฟังก็แล้วกันว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ย้อนไปเมื่อกาลก่อน"เมิ่ง เมิ่ง เจ้าฟังข้าก่อน งานข้ายุ่งมากไปกับเจ้ามิได้จริง ๆ อย่าโกรธข้าเลยนะ" ผู้คุมนรกชั้นอเวจีคอยควบคุมเหล่าวิญญาณชั้นเลว ชดใช้บาปกรรมโ
"อั๊กกก" ไม่ได้การแล้วมันช่างทรมานยิ่งนัก คงต้องหาอะไรที่ทำให้เขาหายจากอาการนี้หยงเจาฝืนทนพยายามลุกขึ้นยืนให้มั่น แต่ด้วยขาที่ไร้เรี่ยวแรงทำให้เซถลาชนเข้ากับโต๊ะกลางห้องจนกวาดเอาถ้วยน้ำชาร่วงลงกับพื้น"ท่านหยงเจาเป็นอะไรหรือเจ้าคะ ท่านรออยู่นี่ก่อนข้าจะไปตามหมอให้" อาลี่ที่บังเอิญเดินผ่านมาได้ยินเสียงดังจากห้องของชายหนุ่ม จึงรีบเดินเข้ามาดู ไม่รู้ว่าภายในห้องเกิดอะไรขึ้น หากเมื่อเดินเข้ามาสิ่งที่เห็นทำให้นางยิ่งตกใจ"ข้าไม่เป็นไร เจ้ารีบออกไปเถิดข้าขอร้อง" ข้าจะทนไม่ไหวแล้ว หากช้ากว่านี้คงได้หน้ามืดล่วงเกินสตรีที่หลงรักตรงหน้าแน่"ทะ ท่านเป็นอะไร ไม่สบายตรงไหนบอกข้าสิ" เพราะความเป็นห่วงอาลี่จึงไม่ยอมขยับไปไหนยาที่หยงเจาได้รับในปริมาณมาก ทำให้ชายหนุ่มครองสติไม่ได้แล้ว เขาคว้าคอหญิงสาวโน้มลงมาพร้อมกับจุมพิตอันร้อนแรงอาลี่พยายามดิ้นรนขัดขืนแต่ก็ไม่สามารถต้านทานแรงของชายหนุ่มได้ จากขัดขืนในตอนแรกกลับกลายเป็นคล้อยตาม จนนางได้ตกเป็นของหยงเจาในคืนนั้น"ข้าจะรับผิดชอบเจ้า" หยงเจายังคงยืนยันคำเดิม เพราะตั้งแต่รู้สึกตัวตื่น เขาพยายามจะหว่านล้อมให้ร่างบางตรงหน้ายินยอม แต่นางก็ใจแข็งเหลือเกิน
"หาา! นี่ท่านยังเกี้ยวอาลี่ไม่สำเร็จอีกหรือ จิ๊ก จิ๊ก ช่างไร้ฝีมือ" อาเล่อมองหน้าหยงเจาอย่างดูแคลน ขนาดว่านางเปิดโอกาสให้อยู่กันลำพังบ่อยครั้งก็ยังทำไม่สำเร็จ"แล้วเจ้าเล่าเกี้ยวหานลู่สำเร็จแล้วหรือ ทำมาเป็นเย้ยข้า" ชายหนุ่มมองอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ"ข้าไม่อยากจะคุย ข้ากับท่านหานลู่ตกลงศึกษาดูใจกันแล้วเจ้าค่ะ ไม่แน่ปลายปีนี้อาจจะมีข่าวดี" อย่างหลังไม่เป็นความจริงสักนิด นางก็แค่ใส่สีตีไข่เข้าไปให้ดูเหนือกว่าเท่านั้นเอง"จริงหรือ ข้าขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ได้หรือไม่" นางช่างเก่งกาจ"เรื่องเช่นนี้ขึ้นอยู่ที่ฝีมือของแต่ละคนเจ้าค่ะ มิใช่เรื่องที่จะสอนได้โดยง่าย" นางลงทุนไปตั้งเยอะยังได้เพียงแค่ศึกษาดูใจเลย"ถ้าเจ้ามีแผนอะไรดี ๆ แนะนำข้าทีเถิด" ตนได้ลองมาหลายวิธีแล้ว สาวเจ้ายังไม่แม้แต่จะใจอ่อนเลย จะล้มเลิกไม่ตามเกี้ยวต่อก็ไม่ได้ ก็คนมันรักไปหมดใจแล้วจะให้ทำเช่นไร โอ๊ย ข้ากลุ้ม"อย่างนี้ดีหรือไม่ คืนนี้พวกท่านเปิดใจคุยกันให้รู้เรื่อง ไม่ต้องห่วงเรื่องอาลี่ข้าจะเป็นธุระให้เอง" อาเล่อพอจะรู้ว่าสหายผู้นี้มีใจให้กับท่านหยงเจาไม่มากก็น้อย และท่านหยงเจาก็ใจตรงกันอีกด้วย แล้วเพราะอะไรสหายรักถึงได้ไม่ใจอ