“เจ้าเห็นความรักของข้าที่มีต่อเจ้า เป็นเรื่องล้อเล่นเช่นนั้นรึ! เจ้ามองข้าที่รักเจ้า เฝ้ารอเจ้ามานานนับสิบปี คือความหน้าหนาอย่างนั้นหรือ เหอะๆ ข้าไม่ยักรู้ว่าตัวเอง กลายเป็นคนแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่”
คำพูดตัดพ้อของอ๋องหนุ่ม ไม่ได้ทำให้ใจของหญิงสาวอ่อนลงแม้แต่น้อย เพราะภาพการตายของทุกคนในบ้าน มันฝังอยู่ในหัวของนางไม่เคยเสื่อมคลาย แค่รอวันที่นางจะทำให้คนตรงหน้า และทหารชั่วช้าของเขา ที่ทำร้ายมารดาเลี้ยงและน้องสาวของเขา ได้ชดใช้มันอย่างสาสม
“ข้าเป็นทหารยอมเผชิญโลกมาไม่น้อย สิ่งที่เห็นล้วนหลากหลายรูปแบบ ข้าย่อมมองออกว่าสิ่งใดแท้จริง สิ่งใดเสแสร้ง วันนี้ข้าเดินทางมาไกล ย่อมอยากอยู่กับครอบครัว หวังว่าท่านอ๋องจะเข้าใจนะเจ้าคะ”
เป็นการไล่ที่ถือว่าสุภาพมากแล้ว ในความคิดของหญิงสาว หากไม่เพราะเขายังไม่ถึงคราวแสดงธาตุแท้ นางจะทำสิ่งใดโดยพลการก็คงดูไม่เหมาะสมนัก ปล่อยให้เหยื่อดิ้นต่อไป ไม่ช้าก็ก้าวพลาดเข้าสู่กับดักของนางเอง ข้าจะให้เจ้าตายช้าๆ ทรมานกว่าครอบครัวของข้านับหมื่นเท่า จิ้งหยวน
“ข้าหวังว่าท่านแม่ทัพใหญ่ จะลองทบทวนอีกครั้ง อย่างไรข้าต้องขอตัวก่อน”
เมื่อถูกไล่ถึงขนาดนี้แล้ว อ๋องหนุ่มก็จำต้องล่าถอย แต่ก็มิวายจะหันไปพูดกับบิดาของหญิงสาว ว่าให้คิดให้ดีๆ กับการหักหน้าเขาเยี่ยงนี้
“ข้าไม่ส่ง ท่านอ๋องเดินดีๆ”
ลั่วเจิ้งคัง เอ่ยกับคนที่เดินสะบัดแขนเสื้อจากไป ด้วยท่าทางกรุ่นโกรธ นี่คือด้านที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ในตัวของอ๋องจิ้งหยวน เพราะที่ผ่านมาเข้าเห็นเพียงความสุภาพอ่อนโยน ไม่หยิ่งทะนงในอำนาจ แต่วันนี้มันกลับต่างออกไป มิใช่ที่วาจาแต่เป็นสายตาที่ฉายชัดออกมา
“มานั่งนี่มาลูกรัก เจ้าดูคล้ำไปมากเลยนะรู้ไหม”
ท่านแม่ทัพใหญ่ จูงมือบุตรสาวให้มานั่งลง ก่อนจะใช้มือจับปลายคางของนาง และดันให้หันขวาทีซ้ายที ทว่ามันกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม มากกว่าจะโกรธเคือง
“ข้าเป็นทหารนะเจ้าคะ จะให้ขาวใสราวหิมะได้อย่างไรกัน”
“พี่หญิง! ท่านกลับมาแล้วจริงๆ หรือ ข้าคิดถึงพี่หญิงเหลือเกิน”
ลั่วอันผิง วิ่งเข้ามาหยุดยืนต่อหน้าพี่สาว ด้วยท่าทางยินดีและนางยังคงไม่ยอมนั่งลง แต่โยกตัวไปมาเหมือนรออะไรอยู่
“มานี่ยัยตัวแสบ”
แม่ทัพสาวลุกขึ้นยืน ก่อนจะอ้าแขนออกกว้าง เพื่อรอรับร่างน้องสาว ที่โถมเข้ามาเต็มกำลัง ทว่าความแข็งแกร่งของแม่ทัพสาว แรงน้อยๆ ของคุณหนูเล็กสกุลลั่วน่ะหรือ จะทำให้ร่างนั้นซวนเซได้
“ข้าคิดถึงพี่หญิงกับพี่ใหญ่เหลือเกิน ทำไมครานี้พี่ใหญ่ไม่มาด้วยเจ้าคะ”
“กองทัพจะขาดผู้นำได้อย่างไรกัน พี่ใหญ่ต้องอยู่เฝ้าชายแดน หากเจ้าคิดถึงเขา เอาไว้ตอนพี่กลับชายแดน จะพาเจ้าไปด้วยก็แล้วกัน”
“เจ้าจะพานางไปเป็นภาระทำไมกัน”
หญิงสาวหันไปยังเจ้าของเสียง ก่อนจะค่อยๆ คลายอ้อมแขนจากน้องสาว แล้วก้าวตรงเข้าสวมกอดมารดาเลี้ยง ก่อนจะยกผู้เป็นแม่ขึ้นจนเท้าไม่แตะพื้น แล้วก็ขยับหมุนตัวไปรอบๆ โดยมีร่างของมารดากระชับอยู่ในอ้อมแขน เสียงหวีดเบาๆ ก่อนจะกลายเป็นเสียงหัวเราะของลั่วฮูหยิน ทำให้แม่ทัพสาวรู้สึกดีเหลือเกิน
ครอบครัวของนางยังอยู่กันพร้อมหน้า ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่น้องสาว พี่ชายรวมถึงบ่าวไพร่ในจวน นางจะไม่ยินยอมเสียใครคนใดคนหนึ่งไปเป็นอันขาด
“พอแล้ว...แม่จะอาเจียดรดเจ้าเอานะ”
ลั่วฮูหยินลูบเบาๆ ที่แผ่นหลังองอาจของบุตรสาว นางไม่เคยคิดว่าคังอันคือลูกเลี้ยง เพราะบุตรสาวคนนี้นางเลี้ยงมาเองกับมือ ด้วยความรักที่จริงใจ
“ข้าคิดถึงท่านแม่เหลือเกินเจ้าค่ะ ไม่ว่าจะขนมหรือกับข้าว ข้าคิดถึงทั้งหมดที่ท่านแม่ทำ”
แม่ทัพสาวค่อยๆ วางผู้เป็นแม่ลงจนเท้าแตะพื้น พร้อมหยอดคำหวานเอาใจ ซึ่งมันคือความรุ้สึกแท้จริงมิได้ปรุงแต่ง
“ช่างปากหวานเหลือเกินนะเรา แม่รู้ว่าเจ้าจะมา ย่อมตระเตรียมทุกอย่างเอาไว้ให้พร้อมเชียวล่ะ”
“ข้าลืมบอกไปว่ามื้อเที่ยงวันนี้ ต้องเพิ่มอาหารมากหน่อยนะเจ้าคะ ข้าเดินทางมาพร้อมสหายหลายคน”
“ใช่ชายหนุ่มทั้งหกที่ยืนอยู่หน้าเรือนหรือไม่”
“เจ้าค่ะ”
“ผิงเอ่อร์ ไปเชิยท่านพี่ทั้งหลายเขามาข้างในเถอะ แดดกำลังร้อนเสียด้วย มิไหม้ไปทั้งตัวกันแล้วหรือ”
ลั่วฮูหยิน รีบบอกบุตรสาวคนเล็ก ให้ไปตามสหายของบุตรสาวเข้ามาภายในเรือน นี่ล่ะน่าวิสัยของทหาร บอกให้ยืนก็ยืนกันเสียไม่คิดจะหาที่หลบแดดหลบฝน
“พี่สะใภ้มานั่นแล้วเจ้าค่ะ ท่านป้าท่านแม่” เพียงก้าวพ้นเขตเรือน เข้าไปในส่วนของสวนดอกไม้ เสียงของหยางหลิวหลีก็ดังขึ้นให้ได้ยิน ลั่วคังอัน ปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ก่อนจะเดินเข้าไปหาทุกคน “คังอันเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ลั่วฮูหยินรีบเดินเข้ามาถามบุตรสาว ด้วยเห็นว่าอยู่ๆ คนเป้นลูกก้หายไปนาน หากเพียงแค่ล้างหน้าล้างตา ก็ควรกลับมาตั้งนานแล้ว อีกทั้งยังเห็นคนของท่านหญิงหลิว วิ่งวุ่นราวกำลังตามหาใครอยู่ “ข้าเพียงออกไปเดินดูรอบๆ เรือนเพื่อผ่อนคลายเล็กน้อยเท่านั้นเจ้าค่ะ ข้าต้องขอโทษที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วง” แม่ทัพสาวไม่ได้บอกถึงความจริงใดๆ เพราะมันมิใช่สิ่งจำเป็น และนางรู้ว่ามารดาเอง ก็คงจะพอรู้ถึงเหตุผลที่นางยกมาอ้างแล้ว “เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว คงเพราะเมื่อคนนอนดึก ต้องตื่นแต่เช้าอีกในวันนี้ เจ้าคงเพลียสินะ เช่นนั้นเรากลับกันเลยดีไหม” หยางฮูหยินเอ่ยชักชวนสะใภ้กลับจวนเสีย นางเองก็ไม่ได้สนุกนัก ที่ต้องมานั่งฟังคนคอยเหน็บแนม เรื่องที่นางได้ไม้ใหญ่เช่นสกุลลั่ว มาเป็นที่ยึดเหนี่ยว “หากท่านแม่กับน้องหญิงอยากที่จะกลับ ข้าก็มิได้ขัดข้องเ
“อื้อ...ข้าชอบเจ้าที่แข็งแกร่งเยี่ยงนี้ โอ้ย!”ทว่ายังไม่ทันได้ทำสิ่งใดต่อ ร่างอิ่มของท่านหญิงหลิวก็ลงไปกองอยู่กับพื้น เมื่อนางถูกผลักออกจากตักของลั่วคังอัน จนเสียหลักล้มลงกับพื้น นั่นทำให้ท่านหญิง ตวัดสายตาคาดโทษแม่ทัพสาว ที่บังอาจปฏิเสธนางอย่างไม่คิดใยดีลั่วคังอันรีบลุกพรวดขึ้นในทันที หลังจากที่ผลักคนบนตักออกไปได้แล้ว ลั่วคังอันก้าวตรงไปที่ประตู เพื่อจะออกไปจากห้องนี้ให้เร็วที่สุด กึก! กึก! มือหยาบพยายามดันประตูให้เปิดออก ทว่ามันกลับไม่เป็นอย่างที่ตั้งใจ นั่นแสดงว่ามันถูกลงดานจากด้านนอกนั่นเอง ลั่วคังอันขบกรามแน่น ก่อนจะขยับถอยห่างจากประตูออกมาเล็กน้อย แล้วยกเท้าขึ้นถีบประตูเต็มแรง ปัง! ประตูบานใหญ่เปิดออกกว้างและนั่นทำให้สาวใช้ของท่านหญิง ที่รออยู่ด้านนอกถึงกับตกใจสุดขีด ที่อยู่ๆ ประตูก็เปิดออก ทั้งที่พวกนางปิดเอาไว้เป็นอย่างดี ตามคำสั่งของผู้เป็นนาย ก่อนที่ทุกคนจะพากันก้มหน้านิ่ง เมื่อเห็นสายตาดุดันของผู้ที่ก้าวออกมายืนมองพวกนาง อยู่ที่หน้าประตูห้องแม่ทัพสาวกวาดสายตามองคนเหล่านั้น ด้วยความรู้สึกขยะแขยงสิ้นดี ก่อนที่นางจะเดินจากไป โดยไม่สนใจเสียงเรียกจากคนภายในห้อง บ้าบอเกินไปแล
“ขะ...ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ถ้าอย่างไร ข้าขอตัวไปล้างหน้าล้างตาสักครู่ก่อนนะเจ้าคะ พอดีข้ารู้สึกว่าอากาศมันอบอ้าวไปสีกหน่อย”แม่ทัพสาวจำต้องเอ่ยปาก เมื่อร่างกายของนาง มันกำลังร่ำร้องให้ถูกสัมผัส ยิ่งมือนุ่มนิ่มของท่านหญิงหลิว วนเวียนกับใบหน้านางไม่ห่าง ความร้อนรุ่มในกาย ยิ่งปะทุรุนแรงขึ้นมากเท่านั้นต่อให้ใครจะไม่เชื่อว่าวันนี้ อากาศอบอ้าวจนไม่สบายตัว นั่นก็ปัญหาของคนเหล่านั้น แต่ปัญหาของนาง คือร่างกายที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน มิอาจรอช้าไปมากกว่านี้ได้แล้ว หาไม่คงเกิดเรื่องไม่เหมาะสมขึ้นได้“เช่นนั้นข้าพาเจ้าไปดีกว่า เพราะอย่างไรวันนี้ข้าก็คือผู้ดูแลงาน”ท่านหญิงหลิว รีบเสนอการช่วยเหลือในทันที ด้วยข้ออ้างเรื่องการเป็นผู้นำงานเลี้ยง ตัวแทนขององค์หญิงใหญ่ และนั่นทำให้ลั่วคังอันรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย เพราะนางไม่อาจคาดเดาได้ ว่าท่านหญิงหลิวคิดจะทำสิ่งใดกับนางต่อจากนี้“พี่หญิงเป็นอันใดไปเจ้าคะ”เป็นลั่วอันผิง ที่เดินเข้ามาถามพี่สาว โดยมีหยางหลิวหลีติดตามมาด้วย นางสักเกตมาสักพักแล้ว ว่าพี่สาวดูไม่ค่อยสบายเท่าใดนัก แต่เมื่อยังไม่ถูกเรียกนางก็มิอาจจะก้าวก่าย แต่เมื่อเห็นอยู่ๆ พี่สาวก็ล
“ขอบคุณท่านหญิง ที่ให้เกียรติข้าผู้น้อยเจ้าค่ะ”หลังจากวางจอกสุราลงในถาด คืนแก่สาวใช้ของท่านหญิง ลั่วคังอันจึงได้เอ่ยของคุณท่านหญิงหลิวอีกครั้ง นางจดจำไม่ได้เลยว่าชาติที่แล้ว นางมีเรื่องไม่ลงรอยใดกับท่านหญิงหรือไม่ ไยจึงได้ลงมือต่อนางเยี่ยงนี้ ทว่าลั่วคังอันยังคงไม่เผยสิ่งใดออกมา“มานั่งนี้เถอะ คุยกันสักหน่อย ตั้งแต่เจ้าออกจากเมืองหลวงไป น้อยนักที่จะได้พบกัน”มือนุ่มของท่านหญิงหลิว คว้าข้อมือของแม่ทัพสาว แล้วจูงพานางไปนั่งลงไม่ได้ห่างจากที่เดิมเท่าใดนัก ลั่วคังอันหันมองไปที่แม่สามี กับมารดาของตน ที่ตอนนี้ทั้งคู่ได้เพียงแค่ส่งยิ้มมาให้ ก่อนจะพากันเดินจากไป เพื่อพูดคุยกับบรรดาฮูหยินบ้านอื่นต่อ“งานเลี้ยงวันนี้ทำให้เจ้าลำบากใจหรือไม่ เมื่อคืนนี้เป็นคืนเข้าหอของเจ้า ทว่าเช้ากลับต้องมาที่นี่ ปล่อยสามีทิ้งร้างเฝ้าห้องหอเพียงลำพัง ทำให้ข้าที่เป็นเจ้าภาพรู้สึกผิดยิ่งนัก”เป็นคำถามที่ดูเหมือนจะทั่วไป ทว่าสายตาและน้ำเสียงนั้น คล้ายจะแสดงความตัดพ้อนางอย่างไรไม่รู้ หากจำไม่ผิดนางเคยพบท่านหญิงหลิวเมื่อปีกลาย ตอนที่ท่านหญิงติดตามบิดาไปชายแดน ถูกโจรป่าดักปล้น ก่อนจะถึงชายแดนเพียงเล็กน้อย เป็นนางที่ไ
“เจ้าบังอาจนัก! กล้าทำให้จวนอ๋องถูกมองไม่ดี เห็นทีข้าจะมองข้ามเจ้ามากเกินไป ใครอยู่ข้างนอก! นำนังบ่าวชั้นต่ำไปโบยให้ข้าที”ชูเฟยชี้นิ้วสั่นระริกไปที่สาวใช้ของอนุชิง นางไม่อยากจะเชื่อว่ายังมีคนโง่ขนาดนี้อยู่ในโลก ถึงขนาดกล้าไปดูหมิ่นขุนนางในราชสำนัก แม้ว่าลั่วคังอันจะเป็นสตรี แต่ก็คือหนึ่งในผู้เป็นกำลังสำคัญของแผ่นดิน ขนาดสามีของนาง ยังต้องไว้หน้าอีกฝ่ายอยู่หลายส่วน แล้วสาวใช้จากสกุลขุนนางเล็กๆ กล้าดีอย่างไรถึงพูดจาไม่คิดได้ขนาดนี้หากจะบอกว่าลั่วคังอันใส่ความ คงยากที่จะพูดแบบนั้นได้ เพราะดูจากสายตาของผู้อื่น ที่ยืนอยู่รายรอบ ทุกคนล้วนซุบซิบกันให้นางได้ยิน ว่าคนที่เริ่มเรื่องนี้ก่อน เป็นคนของจวนอ๋อง ชิงอวี่ถง สตรีน่าตายผู้นี้ ไยจึงต้องมาอยู่ร่วมบ้านกับนางด้วยนะ!“ท่านแม่ เรื่องนี้เป็นความผิดของข้าเอง ที่อบรมนางไม่ดี หากจะลงโทษ ให้ลงโทษที่ข้าเถอะเจ้าค่ะ อีกอย่างข้าไม่คิดว่าการหยอกเย้าของข้า จะทำให้ท่านทัพลั่วไม่พอใจ หรือเพราะนางมองข้าเป็นศัตรู ที่แย่งชิงความรักของท่านอ๋องมาก็มิรู้”ชิงอวี่ถง แสร้งแสดงตัวเป็นคนที่รู้ผิด แต่ยังมิวายโยนความคิดไม่ดีไปที่ลั่วคังอัน มีใครในเมืองหลวงไม่รู้ว่าล
“ท่านแม่ทัพล้อข้าเล่นแล้ว มีหรือข้าจะอาจหาญกล่าวหาท่านแม่ทัพเช่นนั้นได้”ชิงอวี่ถง เอ่ยด้วยรอยยิ้มไม่เต็มหน้านัก เพราะคำพูดของลั่วคังอัน มิได้เบาหรือดังไป แต่คนที่ร่วมงาน ก็วนเวียนอยู่ใกล้ๆ เพื่อจะฟังเรื่องราวการสนทนาระหว่างนางสองคน“ข้ามางานเลี้ยงตามคำเชิญ และข้าก็ไม่ได้คลั่งไคล้กับเรื่องในห้องนอน จนละเลยต่อหน้าที่ของตนเอง ดังนั้นการจะออกมาจากบ้าน หลังแต่งงานเพียงวันเดียว หาใช่เรื่องผิดต่อธรรมเนียมใดๆ ไม่”แม่ทัพสาวหันไปสบสายตา กับสตรีที่เคยทำให้ครอบครัวของนาง ต้องตายอย่างอนาถ คนที่ตั้งใจให้บุรุษมากมาย ข่มเหงน้องสาวคนเดียวของนาง หากนางจะแก้แค้นก็ย่อมไม่ถือว่าใจดำแต่วันนี้นางยังไม่อยากลงมือ เพราะมันจะทำให้อีกฝ่ายสบายเกินไป ต้องรอให้ถึงโอกาสที่เหมาะสม นางจะตอบแทนชายชั่วหญิงเลวไปพร้อมๆ กัน เช่นที่ทั้งคู่เคยร่วมมือกันสังหารนาง“ข้าก็มิได้หมายความเช่นนั้นสักหน่อยนี่เจ้าคะ ก็แค่แปลกใจว่าทำไมจึงไม่อยู่จวนอีกสักหน่อย ค่อยออกมาเริงร่านอกบ้าน”ชิงอวี่ถง ยังคงไม่ลดละที่จะทำให้อีกฝ่าย รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ที่ได้คู่ครองบกพร่อง ไม่เหมือนนางที่ได้สามี เป็นชนชั้นสูงและหล่อเหลา ร่างกายสมบูรณ์พร้อม เ